"เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 12 : ชีวิตฟ้าหลังฝน ✈️✨"

สวัสดีค่ะ วันนี้เจ้าของกระทู้ขอมาอัพเดทภาคต่อเรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 12 นะคะ เราหายไปนานเช่นเคย ต้องขออภัยด้วยนะคะ 🙏😰
สำหรับคุณผู้อ่านที่ยังเหนียวแน่น เจ้าของกระทู้ขอบคุณมากๆเลยค่ะ พอเครียดแล้วเขียนไม่สนุกเลยกว่าจะเสร็จหนึ่งตอนมันเลยช้ามาก ขอบคุณที่ยังรอนะคะ ยังไงวันนี้ลองมาอ่านตอนที่ 12 กันดูนะคะ กับตอนที่ชื่อว่า
" ชีวิตฟ้าหลังฝน ✈️✨ " ต่อจากตอนที่แล้วค่ะ

"สองสัปดาห์หลังจากวันสัมภาษณ์ วันเวลาช่างผ่านไปไวเหมือนโกหก
ด้วยตารางบินที่แน่นขนัด เราจึงแพ็คกระเป๋าจนงงและจำไม่ได้ ..ว่าวันไหนกันแน่คือวันที่ประกาศผลสัมภาษณ์

ตกค่ำคืนหนึ่ง
เราเดินลากกระเป๋าซังกะตายเข้าตึกหลังจากบินกลับมาจากไฟลท์นิวยอร์ค
หึหึ หากพูดว่าไปนิวยอร์ค คนภายนอกคงจะกรี๊ดกันสินะ จะมีก็แต่ผู้ที่มีประสบการณ์บนไฟลท์นี้เท่านั้น จึงจะรู้ว่ามันคือไฟลท์เดลฮี บอมเบย์ โคชิน การาจี และลาฮอร์มาต่อกันจนครบ 14 ชั่วโมงนี่เอง

ตลอดทาง หมู่เราทำงานเหมือนวิ่งหลบระเบิดในสมรภูมิ เพราะนอกจากจะวิ่งแจกอาหารพิเศษกันพัลวันแล้ว ไฟเรียกลูกเรือยังละลานตา ปัญหาสารพัดปัญหา ทั้งหิวน้ำ หิวข้าว ปวดหัว ตัวร้อน เด็กวิ่งไล่กรีดร้อง ขอของเล่น ฝากล้างขวดนม
..จนเครื่องจะลง เราจึงได้นั่งกัน
ก่อนจะต้องปั้นยิ้มบอกลาท่านผู้โดยสารด้วยหัวที่กระเซิงจนกิ๊บแทบหลุด ขวัญหนีดีฝ่อ
บอกเลย พ่อแก้วแม่แก้วคุ้มครองจริงๆที่รอดชีวิตจากไฟลท์นี้มาได้

เราลากกระเป๋าพลางบ่นอยู่ในใจเป็นหมีกินผึ้ง
แต่พอเหยียบเข้าตึก เอ๊ะ.. "นี่มันอะไรกัน?"
คอมทั้งสี่เครื่องใต้ตึกได้มีคนมาใช้กันเต็ม แถมมีคนมานั่งรอต่อคิวอีกต่างหาก

"เย้! ชั้นผ่านล่ะๆ ตาเธอเช็คผลบ้าง!” แอร์นางหนึ่งกำลังยกมือยกไม้บอกข่าวดีให้เพื่อนที่ยืนคร่อมเก้าอี้นางอยู่ฟังด้วยความดีใจ
นี่สินะ! สาเหตุของมหกรรมรุมคอมพิวเตอร์ในครานี้
ทันทีที่เราไหวตัวทัน เราจึงรีบลากกระเป๋าแบบวิ่ง 4x100 เมตร และพุ่งไปกดลิฟต์โดยพลัน

โทรศัพท์ไปบอกเพื่อนรักสิคะ อย่าได้รออะไร!
ตื๊ดด.. กุก “เธอๆ ผลออกละนะ”
เพื่อนรักหวีดร้องมาที่ปลายสาย ก่อนจะบอกให้เราทิ้งข้าวของทุกอย่างวางไว้ที่ห้องและแค่หยิบคอมมาที่ห้องนาง
“จัดไปอย่าได้รอ ละเจอกัน!” เรารีบทำตามที่นางสั่ง เพื่อจะไปดูผลประกาศกันอย่างพร้อมเพรียง

ก๊อก ก๊อก ก๊อก...
เรายืนอุ้ม Laptop เคาะหน้าห้องนาง ด้วยปากที่ยังสีแดงสดและชุดยูนิฟอร์มเต็มยศ ใจนี่เต้นตึ่กตั่ก ขนาดไม่ได้คาดหวัง แต่ก็ยังไม่วายตื่นเต้น

เพียงไม่นาน นางก็มาเปิดประตูให้ พร้อมท่าทีดีอกดีใจเสมือนรู้ผลได้ล่วงหน้า
พร้อม! เราทั้งสองนั่งคู่กันที่โซฟาห้องรับแขกนาง ทั้งเปิดเมล์ ใส่รหัส และคลิกดูผลมันพร้อมกัน
เราร้องเฮ้ยอย่างดัง! กับคำตอบบรรทัดแรก "Congratulations!" ที่อยู่เบื้องหน้า ในขณะที่เพื่อนเราเงียบสนิท จนเราต้องหันไปดู

นางร้องไห้.. ซึ่งเราก็เข้าใจ เพราะนางมั่นใจมากๆว่าจะต้องได้ตำแหน่งนี้
และหากไม่ผ่านการคัดเลือกในครั้งนี้ ก็ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่ กลุ่มคนที่ตกรอบและคนที่ไม่ได้สมัครทั้งหมด จึงจะมีโอกาสเลื่อนตำแหน่ง

หลายเดือนผ่านไป..
บัดนี้ เราคือแอร์คลาสพรีเมียมอย่างเต็มตัว และที่สำคัญ คือเราได้เสิร์ฟแต่เฉพาะเฟิร์สคลาส เพราะเป็นรุ่นแรกๆหลังการเปลี่ยนแปลง จึงได้เทรนสำหรับทำงานเคียงคู่กับตำแหน่งใหม่เอี่ยมอ่องของบริษัท ซึ่งก็คือ "เชฟ"นั่นเอง
ตลอดเวลาแห่งการเทรน เราได้เรียนรู้มารยาทการทานอาหารชั้นสูงมากมาย ทั้งคุณลักษณะและที่มาของ แชมเปญ ไวน์ รวมทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์และไม่มีแอลกอฮอลล์เกือบทุกชนิด
แต่ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ การถือถาดที่มีเครื่องแก้วจานชาม และแก้วแชมเปญทั้งหมดอยู่ในถาดเดียวกัน
.. ซึ่งมันช่างยากเย็นนัก สำหรับคนกะเปิ๊บกะป๊าบแบบเรา

ทันทีที่สอบผ่าน และรับประกาศนียบัตร เรานี่ทั้งกอดทั้งหอมถนอมประกาศนียบัตรนี้ยิ่งกว่าไข่ในหิน
พอกันที! ไฟเรียกลูกเรือสีเหลืองถี่ยิบหยั่งกับพลุปีใหม่ และเสียงเด็กหวีดร้องระงม
ไม่มีอีกแล้ว! วิ่งสับขาหลอกท่านผู้โดยสารจำนวนมากมายหลักหลายร้อยคน กับเคบินที่เดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงปลายเครื่องซะที!
บัดนี้ เฟิร์สคลาส มีท่านผู้โดยสารแค่เพียง 12 คน!! ว่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะ... อ่ะ หัวเราะวนไปค่ะ

เทรนนิ่งเป็นไปได้ดีงาม เพราะไม่ต้องลากตู้อาหารเหล็กหนักมากจนเส้นเลือดปูดอีกแล้ว
มีแต่ความประณีต บรรจง และชีวิตที่เหนือระดับ จนเราเผลอคิดฝัน ..ว่าวันหนึ่ง เราจะต้องมีปัญญาซื้อตั๋วนั่งเฟิร์สคลาสเดินทางให้จงได้ เพราะแค่ได้มาเสิร์ฟยังฟินอย่าบอกใคร

เทรนเสร็จ จัดไป! ไฟลท์แรก "ลอนดอน"
เครื่องนี้มีเก้าอี้เฟิร์สคลาสอยู่ 12 ตัว แต่หัวหน้าบอกว่ามีแขกอยู่แค่สี่คน
“โชคดีซะจริงๆ พับผ่า!” เราอ้าปากตะลึงในความโชคดีของตัวเอง ที่พอย้ายมาอยู่เฟิร์สคลาส ก็เจองานง่าย สบาย เสมือนกับปลอกกล้วยเป็นการประเดิม
เช่นเดียวกับสมัยได้เป็นแอร์ใหม่ๆ ทุกคนที่ร่วมไฟลท์ต่างรู้ว่าเราเพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งก่อนเราจะบอก คงพอจะเดาได้จากกริยาระริกระรี้ และดูเสร่อที่เก็บไม่ค่อยอยู่ของเรา

ในขณะที่เรากำลังยืนละเมียดละไมจัดเมนู กระดาษและปากกาลงไปในแฟ้มประจำแต่ละที่นั่งอยู่นั้น
หัวหน้าไฟลท์ซึ่งเป็นชายชาวอังกฤษก็ได้ทำประกาศ ซึ่งนับเป็นเซอร์ไพรส์ที่เล่นใหญ่ได้มากที่สุดแห่งปีเลยทีเดียว
“ตกลงตอนนี้ไฟลท์เต็มนะทุกคน เป็น 12-28-248 เต็มทุกโซนเลย”
ยังมิทันที่เราจะได้หัวเราะเบาๆ รับความท้าทายที่ได้รับ ทันใดนั้น คุณหัวหน้าแกก็ประกาศต่อ..
“เรายังมี VVIP บนไฟลท์ด้วย 8 ท่านตอนนี้ ซึ่งเป็นเจ้าราชวงศ์ของกรุงอาบูดาบี และทุกท่านนั่งอยู่ที่เฟิร์สคลาสทั้งหมดครับ ขอบคุณครับ”

แฟ้มผมหล่นเลยครัช!
ด้วยความตกใจ และไม่ได้เตรียมใจ เลยไม่รู้ว่าจะดีใจดีไหม??
นับเป็นบุญล้นพ้นที่ได้ดูแลพระองค์ แต่ ณ ตอนนี้คือไฟลท์แรกในชีวิตของเรา แล้วถ้าเราพลาดพลั้งทำอะไรผิดไป เราจะดูสามหาวไปไหม หรือเราควรจะแกล้งเป็นลมดีจะได้ไม่ต้องไปไฟลท์นี้??

จากบรรยากาศชิลแสนชิล บัดนี้ เพื่อนร่วมไฟลท์ทุกท่านกำลังวิ่งมาราธอนโอลิมปิคเพื่อจัดทุกอย่างให้เสร็จทันตามจำนวนท่านผู้โดยสารที่เปลี่ยนไป จากครึ่งไฟลท์เป็นไฟลท์เต็ม
ต่อให้เป็นลมตอนนี้ก็คงไร้คนเหลียวแล.. เอาวะ! วิ่งก็วิ่ง
เรารีบวิ่งลนลานจัดแจงทุกอย่างตามที่เพิ่งได้รับเทรนมา จนทุกที่นั่งได้รับการประดับประดาอย่างสวยงาม

กราวน์สต๊าฟบัดนี้ได้พาทุกพระองค์มาส่งที่หน้าประตูแล้ว และหัวหน้าจะต้องยืนต้อนรับและนำเสด็จไปยังที่นั่ง โดยมีเราเป็นลูกมืออยู่ข้างๆ
ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่ได้คิดว่าจะมีวาสนา พอถึงเวลาเราเข้าไปแนะนำตัว จึงงกๆเงิ่นๆ จะเงยหน้าก็ไม่กล้า จะก้มหน้าก็กลัวท่านไม่ได้ยิน ทั้งสั่น ทั้งกดดัน ทั้งติดอ่าง

เราวิ่งไล่แนะนำตัวพร้อมๆกับเสิร์ฟน้ำไปจนครบ 12 ที่นั่ง ก่อนจะมานั่งไล่ว่ายังขาดอะไรอีกบ้าง..
รู้สึกจะขาดแค่ หนังสือพิมพ์, ผ้าร้อน, ชุดนอน, กระเป๋าอุปกรณ์สำหรับนอน, คูปองอินเตอร์เน็ต, นิตยสาร และกาแฟอาราบิคเสิร์ฟพร้อมอินทผารัม ทุกอย่างนี้ล้วนยังไม่ได้ทำและจะต้องทำก่อนเครื่องขึ้นสินะ

เยี่ยม! นิดเดียวเองสินะ! ตายล่ะสิตู..
วิ่งมันจนขาขวิด หยิบของจากตรงนู้นทีตรงนี้ที ไหนจะตู้คอนเทนเนอร์เหล็ก ไหนจะแก้ว ไหนจะถาด ไหนจะน้ำร้อน แต่จุดนี้พี่ถือพร้อมกันแล้ววิ่งได้ หายขวัญอ่อนเป็นปลิดทิ้ง
กว่าจะเสร็จตามหน้าที่ที่ต้องทำ มันช่างหมิ่นเหม่กับเวลาที่หัวหน้าจะสั่งให้นั่งและดับไฟซะเหลือเกิน

“Cabin Crew, be seated for Take Off” กัปตันกล่าว
เรานั่งเทคออฟตัวสั่นระริก หัวฟู หน้ามัน ด้วยความตื่นเต้นที่เสร็จงานทันฉิวเฉียด ก่อนจะบ่นพึมพำอุบอิบเพื่อทวนว่าจะต้องทำอะไรต่อไป
ในขณะที่หัวหน้าผู้ซึ่งนั่งอยู่จั๊มป์ซีทติดกันได้แอบปรายตามามองเราด้วยความกลัวเช่นกัน

“เจ้าท่านแฮปปี้กันไหมเธอ?” หัวหน้าพยายามทำลายความเงียบงันด้วยบทสนทนา
“ทุกพระองค์แฮปปี้มากค่ะ” เราสะดุ้งเล็กๆ ก่อนจะตอบกลับอย่างฉับไว
“นี่ไฟลท์แรกเธอใช่ไหมที่บอกในห้องประชุม” พี่แกดูขึงขังและกดดันเอาการ
“ใช่ค่ะ สดๆร้อนๆจากโรงเรียนเทรน” รึจะไฟท์! ไอ้เราก็ทำใจดีสู้เสือ
“จะไหวมั้ย.. เสิร์ฟเจ้านะเธอ อยากเปลี่ยนตำแหน่งไหม? ให้คนที่ซีเนียร์กว่ามาเสิร์ฟแทน” นายท่านช่างสบประมาท ถึงเราจะกลัวจนเส้นประสาทกระตุก แต่ได้เสิร์ฟเจ้านี่เป็นวาสนาชีวิตนัก เราจะไม่ปล่อยผ่าน
“ไหวสิ! ชั้นจะทำ!”
บัดนี้ ทั้งหัวหน้าและเรากำลังฝืนยิ้มสบตากันเป็นสัญญาณรับคำท้า พร้อมเหงื่อที่ไหลย้อยข้างหน้าผากด้วยความวิตกกังวลขั้นสุด

นับเป็นโชคดีที่สุดของเรา เป็นไฟลท์ที่เงียบสงบที่สุดในชีวิต ทั้ง 8 พระองค์ทรงขอเพียงปิดประตูเงียบๆเพื่อพักผ่อนเท่านั้น ไม่ต้องปูเตียงเหมือนแขกคนอื่นๆ และไม่รับอาหารเช้า
เราดีใจจนไม่รู้จะสวดมนต์บทไหน ทำไมถึงโชคดีขนาดนี้ ทุกพระองค์ช่างน้ำพระทัยงดงามนัก

จนฟ้าสาง ใกล้แลนด์!! เราจึงโด๊ปกาแฟไป 2 ช็อต ก่อนจัดน้ำส้มคั้นกับผ้าร้อนไล่วิ่งปลุกท่านผู้โดยสารมารับประทานอาหารเช้า แล้วเก็บผ้าปูเตียงกับชุดนอน สลับกับวิ่งไปห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อทำความสะอาด
เสร็จเรียบร้อย! รับอรุณที่ลอนดอน พอเครื่องแตะพื้นนี่แทบจะโผเข้ากอดกับหัวหน้าด้วยความโล่งใจ

ด้วยความตื่นเต้นกังวัลมากไปในไฟลท์ เราจึงได้กินเพียงไข่ต้ม 1 ฟองตลอดระยะเวลา 7 ชั่วโมงเพราะท้องอืด และเมื่อเหยียบเข้าโรงแรมปุ๊บ ท้องเราจึงร้องคร่อก คร่อกปั๊บ
ทำไงดี! เช้าไป ร้านไม่เปิด กินอาหารฝรั่งก็ไม่เป็น
มาม่าอีกแล้วสินะ! ไปทั่วโลกตูก็กินแต่มาม่า พกมา 4 กล่อง จัดไปสองก็ยังไม่อิ่ม จนหมดหนทางต้องไปห้องพักลูกเรือของโรงแรม แล้วกดช็อคโกแลตร้อนจากตู้ฟรีมาอีก 2 แก้ว
อิ่มเถอะ! ท้องมารมากแล้ว และเราก็หมดสติไปด้วยความเหนื่อยล้า

บ่ายสี่.. ตื่นก็ได้ฟระ
เราหยีตาดูนาฬิกาข้างเตียงด้วยความมึน ใจจริงอยากนอนต่อสุดๆ แต่ถ้านอนต่อนี่ คิดว่าคงตื่นขึ้นมาตอนกลางดึก ทุกอย่างปิด และนั่งยามเป็นนกฮูกเฝ้าโรงแรมทั้งคืนเป็นแน่แท้
เราจึงบังคับตัวเองลุกแม้จะเซเล็กๆ เพื่ออาบน้ำ แต่งตัว และออกไปนั่งรถไฟใต้ดินเข้าเมืองลอนดอน เพราะนี่คือครั้งแรกในรอบ 3 ปีที่เราได้อยู่ลอนดอนนานสุด 2 วันติด

เยี่ยม! สิบกว่าสถานีจึงจะถึงบิ๊กเบน เรายืนอ้าปากค้างเมื่อเห็นรายชื่อสถานีจากแผนที่ก่อนตัดสินใจซื้อตั๋วรถไฟ แต่สุดท้าย ก็ตัดสินใจซื้ออยู่ดี!
เสียบหูฟังฟังเพลง นั่งเหม่อไปเรื่อยๆ แอบคิดเล่นๆตลกในใจ “นี่ถ้าตูหลับไป ละใครจะปลุกล่ะเนี่ย? ตื่นมาอีกทีคงอยู่สุดทาง” โชคดีที่แต่งตัวเหมือนผู้อพยพสงคราม อย่างน้อยยังไงก็ไม่โดนจี้แน่ๆ

เมื่อเราเดินโผล่ขึ้นมาพ้นอุโมงค์รถไฟใต้ดิน มันช่างคุ้มค่ากับการนั่งสัปหงกมาตลอดสิบกว่าสถานี
เพราะนี่คือฝันที่เป็นจริง ใจกลางลอนดอน Here I come!
เราเดินจนหยุดไม่ได้ มองไปทางไหน มันก็คือความฝัน สถานที่ที่เคยเห็นจากในรูป บัดนี้ได้มาอยู่เบื้องหน้าเราทั้งหมด ทั้ง Big Ben, London Eye และแม่น้ำเทมส์ที่รัก
โยนเหรียญใส่แม่น้ำซะเลย! เราจะได้มาอีก แต่ของมหาเหรียญเล็กๆแพรพ เพราะปอนด์ละตั้ง 50 บาท เก็บไว้ซื้อเครปนูเทลล่าตรงตีนสะพานกินดีกว่า

เราเดินอมยิ้มไปมาริมแม่น้ำ กินทั้งเครป ทั้งโค้ก ทั้งขนม จนฟ้าเริ่มมืด และอากาศก็เริ่มหนาวจับจิต
มีความสุขจัง อยากเดินอีกนานๆแต่มันอันตราย หนาวก็หนาว เหงาก็เหงา อยากถ่ายรูปก็ไม่กล้าจะวานใครให้ถ่ายให้..

เรานั่งรถต่อไปดู Tower Bridge เป็นการปิดท้าย ก่อนจะนั่งรถไฟกลับโรงแรม
นั่งกดดูรูปตัวเองที่ถ่ายวันนี้จากในกล้อง มีรูปอยู่ 2 แบบ คือแบบเห็นแต่วิว ไม่ก็เห็นแต่หน้าเราซึ่งบานบังวิวไปครึ่งเพราะยืดแขนสุดไปเซลฟี่เอง สรุปก็คือ ไม่มีรูปเราดูดีเลยสักกะรูป
อืมม.. ดูแล้วมันเหงาๆพิกล! เรารีบเก็บกล้อง นั่งเหม่อ.. ถอนหายใจยาวๆ รอให้ถึงสถานี Hunslow ก่อนจะต่อรถเมล์กลับไปที่โรงแรม

กลับมาถึงห้อง สี่ทุ่มพอดี! รีบเปิดน้ำอุ่นอาบเพราะมันหนาวจนมือแข็ง
“โชคดีจังเราที่ได้มาเที่ยวแบบนี้..” พออาบน้ำไปก็ยังคิดอยู่ในใจ
สองวันนี้นี่เราได้ไปเจอ ไปพบ ได้มีประสบการณ์แปลกใหม่มากมาย แต่ไม่รู้ทำไม ลึกๆในใจมันก็ยังรู้สึกว่างเปล่า
ไม่มีใครรู้เลย ว่าเราไปอยู่ที่ไหนมาบ้าง และทุกๆวันที่ผ่าน มันก็เริ่มชินกับการเก็บเรื่องเล่าเอาไว้กับตัว
ก่อนจะเก็บไปเล่าให้เพื่อนที่ดีที่สุดฟังเมื่อถึงอาบูดาบี “ไดอารี่ที่รัก” ของเรานั่นเอง
Goodnight London!"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่