ห้องหุ่น ละครหลอนจริง เรื่องจริงที่ตามมาถึงบ้าน!?

รู้สึกตั้งแต่เริ่มดูว่า ละครเรื่องนี้ดูน่ากลัวลึกเข้าไปในใจจริงๆ จนอดสงสัยไม่ได้ว่าเพราะอะไร

พ่อนางเอก ก็เฉลยกับพระเอกตั้งแต่ตอนแรกๆ เลย ว่าจะปั้นหุ่นให้เหมือนคนจริง มากๆ นั้น ให้ปั้นด้วยความรู้สึกว่า หุ่นนั้นเป็นคนจริงๆ มีเลือดเนื้อ มีชีวิต มีหัวใจ...

นึกถึงไปเมื่อครั้งได้มีโอกาสไปได้ไปเยี่ยมชมพิพิธพันฑ์ ของคณะทันตแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลเมื่อไม่นานมานี้ เจ้าหน้าที่บรรยายให้ฟังว่า หุ่นปั้นอาจารย์ทันตแพทย์ที่เห็น ปั้นโดยช่างสิบหมู่ของกรมศิลปากร แต่ไม่เจาะจงว่าให้หน้าตาเหมือนหมอท่านใดๆ แต่เป็นการนำรูปร่างหน้าตาบุคลิกของอาจารย์แต่ละท่านมารวมๆ  กัน ด้วยเกรงจะเกิดปัญหาเรื่องลิขสิทธิ

ก็คาใจนิดๆ ว่าหมอที่เป็นแบบให้ปั้นหุ่น ไม่น่าจะเอาไปฟ้องนะ น่าจะดีใจด้วยซ้ำที่ได้เป็นแบบ ทำให้น่าสงสัยว่า ประเด็นในละคร อาจมีส่วนที่เป็นเรื่องจริง

ส่วนเรื่องอาคม หรือศาสตร์มืดนั้น เท่าที่เคยดูๆ มานั้น บทโทรทัศน์ในเรื่องส่วนมาก จะพยายามสื่อออกมาเพียงเพื่อให้คนส่วนใหญ่เข้าใจได้ง่าย จนอาจจะไม่ตรงกับความจริง เรื่องนี้ก็คงเช่นกัน ผมอาจจะไม่ได้คาดหวังอะไรมาก ถ้าไม่ได้รู้วิธีปั้นหุ่น ถ้าไม่ได้ฟังวิทยากรที่พิพิธพันฑ์

จึงเริ่มสงสัยว่า ละครเรื่องนี้อาจจะไม่ธรรมดา...

จนมาเห็นเรื่องน้ำมันพรายทำสเน่ห์ เอ มันต้องไปบังคับสัมภเวสีที่ไหนมาควบจิตคนนั้นๆ ด้วยรึ? ไม่ใช่ว่า ฤทธิ์น้ำมันพราย ไปเหนี่ยวนำจิตอีกคน มาหาอีกคนเฉยๆ รึ?

มาคิดดูว่าถ้าเป็นงั้นจริง ก็น่าจะแก้ไม่ยาก... ถ้ามีดวงจิตถูกอาคมพันธนาการให้ทำนั่นทำนี่ เราก็อุทิศบุญแรงๆ เยอะๆ ให้เค้าจนมากระดับหนึ่ง หรืออาจกระทั่งสามารถเปลี่ยนภพภูมิเค้าได้ สัมภเวสีตนนั้น ก็จะหลุดจากอาคมได้เอง เช่น เดิมเคยเป็นอสูรกาย ได้บุญมากๆ จนกลายเป็นเปรต อาคมนั้นๆ อาจมีข้อแม้ว่า มีผลต่ออสูรกายได้เท่านั้น สัภเวสีนั้นก็จะพ้นจากพันธนาการไป หรือถ้าบุญเยอะจริง ขยับขึ้นไปเป็นมนุษย์ หรือเทวดา อาคมเดิมก็อาจทำอะไรไม่ได้เลย

คุยกับภรรยาไม่ทันจบ คุณเธออ่านเรื่องย่อก่อนละครจะออกอากาศ(ณ ตอนนั้น) ก็บอกว่าหลวงตาแผ่เมตตาให้จริงๆ...

เอ หรือว่าละครจะเอารายละเอียดมาจากเรื่องจริงขนาดนั้น?

แต่ในโทรทัศน์ก็ว่าแค่แผ่เมตตา ไม่ได้บอกว่าอะไรยังไง ก็อาจจะหรืออาจจะไม่ก็ได้ อาจจะแผ่เมตตาเหมือนกัน แต่ขั้นตอนของเมตตา ในการการขจัดอาคม อาจจะแตกต่างกันก็ได้

ไม่รู่...

เอาเป็นว่า ถ้าเจอเอง แผ่เมตตาไว้ก่อน อาจช่วยได้ละมั้ง? แต่ถ้าการแผ่เมตตา ไปปลดปล่อยบริวารซะ แล้วผู้ใช้อาคมจะโกรธเคือง แล้วหันมาเล่นงานเราแทนมั้ย?

เอ ยังไงดี?

พอดูละครต่อ ก็พบว่า พระเอกยังไม่ได้สติหลังอาคมหมดฤทธิ์

อ้าว ยังไงละนี่ ไม่เข้าใจอะ เพราะอะไร หรือถ้าเป็นจริงๆ จะช่วยยังไง

เคยฟังผู้ปฏิบัติธรรมบางท่าน เล่าเรื่องนั่งสมาธิแล้วออกจากสมาธิไม่ได้ จนครูบาอาจารย์ต้องมาพาออก... คล้ายๆ กันมั้ย? ไม่รู่ ยากเกิ้น

คืนนั้น เดินจงกรมเสร็จก็นอน พอเคลิ้มๆ จะหลับ ก็รู้สึกว่ามีบางสิ่ง เข้ามาในห้องหรืออาจจะรออยู่นานแล้ว ขึ้นมาบนเตียง เอามือมากดศรีษะผม ที่อยู่ในท่านอนตะแคง ให้จมสนิทอยู่กับหมน จนขยับไม่ได้ พร้อมกับท่องอะไรซักอย่าง กระแทกใส่หู ไม่ใช่ภาษาไทย ไม่ใช่บทสวดมนต์ คล้ายกับคาถาอะไรซักอย่าง ด้วยเสียงกระแทกกระทั้น เบาสลับหนัก กลับไปกลับมา

พระท่านพร่ำสอนเสมอ ในการเจริญสติ ในการปฏิบัติ ว่าต้องมีวิหารธรรม เพื่อว่า เมื่อหลงแล้ว จะมีอะไรซักอย่าง เตือนให้รู้สึกตัว เพราะงั้น สิ่งที่เป็นวิหารธรรมต้องคุณสมบัติ ๒ อย่าง คือ เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ในร่างกายจิตใจของเรา  และเกิดขึ้นบ่อยๆ เพราะเมื่อหลงเผลอไปแล้ว ร่างกายจิตใจเรา จะเตือนเราได้เอง และเตือนเราได้บ่อยๆ บางท่านใช้พุทโธ บางท่านใช้พองยุบ บางท่านใช้ลมหายใจ ผมเองเลือกใช้การเคลื่อนไหวของร่างกาย อะไรก็ได้ที่ขยับ ยกแขน ขาเดิน นอนหายใจ

ถึงจะขยับไม่ได้ แต่ผมยังคงหายใจ ผมหายใจเข้าขณะเริ่มถูกทำร้าย เมื่อหายใจออก ก็มีสติ รู้สึกตัวขึ้นมา เห็นร่างกายมันขยับไม่ได้ เห็นจิตใจถูกครอบงำด้วยความสงสัย และความกลัว

เห็นชัดๆ ว่า อยากขยับร่างกาย อยากขยับตัวหนี ก็บังคับแขนขาให้ขยับไม่ได้เลย

เห็นใจตัวเองชัดมาก ว่าอยากหนี ไม่อยากกลัว มันก็กลัว มันก็อยากหนีอยู่ดี บังคับใจตัวเองไม่ให้กลัว บังคับให้สู้ไม่ได้เลย

พระท่านยังสอนอีกว่า การปฏิบัติธรรม คือการเห็นร่างกายและจิตใจเป็นไตรลักษณ์ คือ ๑.ไม่เที่ยงหรือเปลี่ยนแปลงเสมอๆ ๒.เป็นทุกข์คือเต็มไปด้วยความทรมาน อึดอัด มากบ้างน้อยบ้าง และ ๓.ควบคุมไม่ได้คือควบคุมได้บ้างนิดหน่อย จนควบคุมไม่ได้อย่างถาวรคือตายไป... ดูข้อใดข้อหนึ่งก็ได้ และเมื่อดูได้ชัดๆ แล้ว ลึกๆ  เราจะรู้สึกผูกพันกับร่างกายจิตใจน้อยลง ตรงนี้พระท่านให้มองต่อว่า ที่รู้สึกผูกพันน้อยลง หรือไม่เห็นความสำคัญของร่างกายจิตใจนี้ สุดท้ายนั้น มีความหมายว่า ร่างกายจิตใจ ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา เมื่อฝึกดูอย่างนี้บ่อยๆ เข้า ถึงเวลารู้สึกตัวขึ้นมา จากวิหารธรรม ก็จะรู้สึกเป็นไตรลักษณ์ ต่อๆ กันได้เอง เมื่อฝึกมากพอถึงจุดหนึ่ง ก็จะได้ธรรมะไป

ผมฝึกมาน้อย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับความกลัว กับสิ่งที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่มีใครให้พึ่ง แม้แต่ตัวเอง ก็นึกถึงที่พึ่งอื่น นึกถึงพระรัตนไตร นึกถึงการปฏิบัติที่ฝึกมา พอเริ่มหายใจอีกครั้ง ก็รู้สึกตัว เห็นกายใจไม่ใช่ของเรา ใจก็สงบ มีความสุข ไม่ทุกข์กับความกลัว ความอึดอัดที่เกิดขึ้นจากสิ่งๆ นั้น

แรงกดที่ร่างกายหายไปทันที เสียงคาถาที่ได้ยินก็เบาลง เหมือนดังมาจากไกลๆ ราวกับสิ่งนั้นถอยออกห่างจากผม ไปอยู่มุมห้องอย่างรวดเร็ว

ใช่ สิ่งนั้นยังอยู่ตรงนั้น ยอมถอยแต่ยังไม่ยอมไปไหน...

พอใจมีความสุข สงบ ไม่มีความกลัวครอบงำแล้ว ก็เคลิ้มจะหลับอีก... พอไม่กลัวก็ง่วงอีก ^^"

เสียงคาถาดังขึ้นทันที คล้ายกับกระโจนเข้ามาคร่อมผมใหม่ แต่พอสิ่งนั้นเริ่มออกแรงกดผม ร่างกายที่หายใจอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีสติอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เสียงเบาลงทันที เบาลงกว่าครั้งแรก คล้ายถอยออกไปนอกห้อง แต่ยังคงจับจ้องผมทางหน้าต่าง พอเผลอจะหลับอีก เสียงคาถาเริ่มดังอีกเป็นครั้งที่ ๓ แต่คราวนี้เหมือนจะยังไม่ถึงตัวผม พอหายใจ พอรู้สึกตัว เสียงคาถาก็เงียบหายไป ในที่สุดผมก็ได้นอน  

เช้าตื่นมาทบทวนดู ทำไมถึงถูกทำร้าย? หรือว่าไปบาดหมางอะไรกับใครไว้ อาจจะใช่ แต่มันสอดคล้องกับที่นึกถึงวิธีการแก้เสน่ห์เมื่อช่วงหัวค่ำของวันเดียวกัน จนน่าสงสัยว่าน่าจะเพราะนึกถึงวิธีการล้างอาคมอย่างหนักแน่นและต่อเนื่อง ผู้ใช้อาคมและบริวาร น่าจะรู้สึกได้ และคงไม่พอใจล่ะนะ

ไม่ใช่ครั้งแรก ที่การนึกถึงบางคน บางสิ่ง จริงจัง ต่อเนื่อง หรืออาจนึกถึงอย่างรวดเร็วรุนแรงนั้น ก็พาเค้ามาหาได้เหมือนกัน

มีครั้งนึงผมเผลอไปนึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ไม่สงบที่ภาคใต้ ขณะเดินจงกรมอยู่... แป๊ปเดียว เห็นทั้งชุดเขียวชุดดำ นั่งเละเลือดนองอยู่ข้างทางจงกรม เต็มไปหมด แผ่เมตตาให้แทบไม่ทัน

อีกครั้งนึงใช้คอมพ์ใกล้ๆ ภรรยาที่หลับอยู่ เกือบๆ ตี ๒ ล่ะมั้ง คลิปซอมบี้ที่ไหนไม่รู้โผล่มา คือ มันมีตามโปรแกรมที่เค้าตั้งไว้ คล้ายๆ แกล้งให้ตกใจ แต่ผมไม่รู้ ตกใจกลัวขึ้นมา รีบปิดคอมพ์ไปอาบน้ำ... แว๊บเดียวคุณภรรยา เดินตามเข้ามาหน้าตื่น เช้ามาถามดู บอกว่าเจอนั่งเละๆ อยู่หน้าคอมพ์ตอนผมไปอาบน้ำ

ครั้งนี้ก็คงคล้ายๆ กัน

และครั้งนี้ไม่ได้แค่เพียงแสดงตัวให้เห็นเพื่อขอส่วนบุญเฉยๆ พอโดยทำร้าย ใจลึกๆ มันคุ้นเคยจะฝึกสติมากกว่าแผ่เมตตา

แต่ผลข้างเคียงนั้น ผมเข้าใจว่าเค้าตามจิตที่พยายามหาทางล้างอาคมเค้า เมื่อเค้าลงมือแล้ว อยู่ๆ เป้าหมายกลายเป็นความว่าง ตัวผมอาจจะนอนอยู่ จิตผมก็อยู่ตรงนั้น แต่ไม่มีความเป็นตัวตน ไม่มีตัวผม ไม่มีเยื่อใยของใจที่คิดจะล้างอาคมเหลืออยู่ คล้ายท่อนไม้วางอยู่บนเตียง และมีจิตผู้รู้ว่าง สว่าง ไม่มีความหมายใดๆ อยู่ในท่อนไม้นั้น เค้าคงไม่สามารถทำร้ายความว่างได้  เหมือนฟาด เหมือนเหวี่ยงไปในอากาศ ไม่กระทบอะไร ในทางกลับกัน แรงเหวี่ยงนั้นๆ อาจจะกลับไปทำให้เค้าบาดเจ็บซะเอง

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ยังฝึกมาน้อย สมาธิยังไม่สมบูรณ์ ใจยังคงยึดจิตตัวเองอย่างเหนียวแน่น ที่รู้สึกตัวแต่ละครั้งนั้น ปล่อยวางความยึดกายใจ ได้เพียงชั่วคราว เพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น เผลอใหม่ก็ยึดใหม่ พอรู้สึกว่ากายใจนี้ของเรา ก็โดนทำร้ายได้อีก

พระท่านสอนว่า พวกเรายังฝึกไม่พอ ยังไม่ถึงที่สุด ยังมีเผลอ ยังมีช่องให้อาคมเหล่านี้แทรกเข้ามาทำร้ายได้ ท่านว่าทำน้ำมนต์มาดื่ม มาอาบ จะช่วยป้องกันอาคมเหล่านี้ได้

น้ำมนต์จริงๆ ทำไม่ได้ยากนัก ทำเองได้ หากถือศีลมานานๆ ฝึกสมาธิมาเรื่อยๆ และคุ้นเคยจะนึกถึงพระพุทธเจ้า ส่วนใหญ่ก็ผ่านบทสวดมนต์ล่ะนะครับ แต่ต้องสวดมนต์แปล หรืออย่างน้อย ต้องเข้าใจว่า บทสวดนั้นๆ กล่าวถึงอะไรอย่างไร เช่น สวดอิติปิโส สรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้าท่าน แล้วมีสมาธิพอ จะรู้สึกถึงพลัง ถึงความกรุณาของท่าน จนใจเรามีความสุข สงบ มีปีติไป แล้วจึงพาเอาความสงบ ปีติในใจเรานั้น เข้าไปอยุ่ในน้ำสะอาด อาจจะแค่แตะภาชนะ แล้วปล่อยพลังของปีติไปตามมือ ถึงปลายนิ้ว เท่านี้ก็ได้น้ำมนต์แล้วคนทั่วไปที่ไม่มีสมาธิ อาจทำได้ยากหน่อย แต่ถ้าไม่มีศีลแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำอะไรแบบนี้

ยังไงก็ตาม ผมไม่เข้าใจนัก ว่าทำไมพลังของพระพุทธเจ้าจากน้ำมนต์ ถึงป้องกันเราจากศาสตร์มืดได้ต่อเนื่องยาวนาน ไม่รู้เหมือนกัน แต่ยังไงก็ตาม เพราะฝึกยังไม่พอ ถ้าขยันรู้กายใจบ่อยๆ ถึงจุดนึง รู้ธรรมเห็นธรรม คงไม่ต้องอาศัยน้ำมน9ต์ พลังอะไรที่ไหน คงทำอะไรเราไม่ได้อีก จะเว้นไว้ก็แต่พลังของกรรมล่ะนะ

https://mobile.facebook.com/Were-all-friends-887134834673363/?ref=bookmarks
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่