เราอาจดูโรคจิต ที่มาตั้งกระทู้บ่นเรื่องงานบ่อยๆ แต่ถ้าคนที่เข้ามาอ่านใจกว้างพอ ก็คงเข้าใจเรา ตอนนี้เอาแต่บ่นกับตัวเองว่า "อยากลาออกๆๆๆๆ" ไม่รู้กี่สิบก็ร้อยครั้งแล้ว แต่เราก็ยังไม่ออก ยังทำงานอยู่ แต่จิตตกมาก ตอนเช้าไม่อยากตื่นไปทำงานเลย เราทำงานในตำแหน่งแอดมิน (หรือธุรการ) ชื่อตำแหน่งเป็นแบบนี้ แต่พอทำงานจริงๆ เรากลับกลายเป็นโอเปอเรเตอร์ รับโทรศัพท์ทั้งวัน คนนอกโทรมาก็ต้องผ่านเราก่อน แต่งานธุรการก็ยังต้องทำอยู่ เอกสารต่างๆ จัดซื้อของเข้าออฟฟิศ ดูแลงานซ่อมรถของบริษัท เบิกค่าใช้จ่ายต่างๆ ประสานงานกับหน่วยงานภายนอก ประสานงานภายใน ซึ่งมันเยอะมาก จุกจิกมาก ใน Job Description อธิบายว่างานเราใช้คอมมากกว่าโทรศัพท์ ดูเหมือนจะเน้นงานเอกสารเป็นหลัก แต่พอทำงานจริงๆ กลายเป็นว่าเราต้องสื่อสารมากพอๆกับงานเอกสาร และเราใช้โทรศัพท์มากกว่าใช้คอมอีก และนิสัยเราคือไม่ชอบคุยโทรศัพท์ เป็นคนเข้าใจอะไรช้า ไม่ถนัดเรื่องการพูดคุย
ตอนนี้เราทำงานมา 2 เดือนแล้ว ยังไม่สามารถทำได้หมดทุกงาน ยังต้องมีคนคอยช่วยอยู่ คนสอนงานก็ยังสอนเราไม่หมดทุกอย่าง เพราะเห็นว่าเรายังไม่คล่อง หัวหน้าก็ตำหนิเราว่าทำไมเราไม่ทำงานนั้นเอง ทำไมถึงให้คนอื่นช่วย ในบริษัทมีหลายแผนก แต่ละแผนกก็มีแอดมิน แต่แอดมินแผนกอื่นๆ ไม่ต้องคอยรับโทรศัพท์ทั้งวันเหมือนเรา ส่วนเราเป็นแอดมินของฝ่ายบุคคล เป็นด่านแรกของบริษัท(ด่านแรกรองจาก รปภ.) เหมือนต้องดูแลรวมๆทั้งหมดเลย ดังนั้นเราจึงกระดิกตัวไปไหนแทบไม่ได้ นอกจากไปห้องน้ำ และถ้าจะออกไปนอกห้องก็ต้องบอกคนอื่นๆในห้องก่อน ไม่งั้นโดนตำหนิ เราก็เลยไม่ค่อยอยากออกไปนอกห้องก็เพราะอย่างนี้แหละ บางครั้งเราอยากไปห้องน้ำ แต่ถ้าปวดไม่มากก็จะกลั้นไว้ และเวลาจะเอาเอกสารไปให้แผนกอื่น เราก็จะรอดูจังหวะเหมาะๆ แล้วจึงจะขออนุญาตออกไป เพราะถ้าเราออกไปนอกห้อง แล้วโทรศัพท์ดัง คนอื่นๆในห้องก็ต้องรับสายแทน นอกจากนี้เรายังมีเวลาพักเที่ยงไม่พร้อมคนอื่นๆในบริษัท เราต้องกินข้าวคนเดียว มีเราคนเดียวที่พักไม่พร้อมคนอื่นๆเขา
และเราก็ไม่ถูกโฉลกกับหัวหน้า เรารู้สึกเกร็งมากเวลามีหัวหน้า เขาชอบจับผิดเรา เหมือนไม่ไว้วางใจเรา เวลาเราเดินไปถามงานคนอื่นๆ เขาก็จะหันมามอง และคอยพูดแทรกขึ้นมา น้ำเสียงของหัวหน้าจะออกแนวบ่นๆ จู้จี้ และเผด็จการ ซึ่งเราได้ยินแล้วรู้สึกเกร็ง ไม่สบายใจ อึดอัด เวลาหัวหน้าตำหนิเรา จะชอบตำหนิต่อหน้าคนอื่น แต่พออยู่ในห้องกันแค่ 2 คนก็จะไม่พูดอะไร หรือพูดดีกว่าตอนอยู่ต่อหน้าคนอื่น วันไหนหัวหน้าไม่อยู่เราจะรู้สึกดีขึ้น ส่วนคนอื่นๆ ดูเหมือนไม่ค่อยมีปัญหากับหัวหน้า อาจเป็นเพราะพวกเขาร่วมงานกันมานานจนรู้ใจกันแล้ว หรืออาจเป็นเพราะพวกเขามีอายุไม่ต่างจากหัวหน้ามาก ทุกคนในห้องมีนิสัยพูดมาก เฮฮา แต่เราอายุน้อยที่สุด อายุห่างจากคนอื่นๆมาก (คนละ Gen กันเลย) เรารู้สึกเหมือนเราอยู่ท่ามกลางครูบาอาจารย์ ต้องเคารพและเกรงใจเป็นพิเศษ ต้องอ่อนน้อม ไม่หือ ไม่อือ เขาใช้ให้ทำอะไรก็ต้องทำ(อันนี้เราคิดไปเอง ดูงี่เง่ามาก เพราะปกติถ้าพ่อแม่ตำหนิเรา แล้วเราไม่เห็นด้วย เราจะเถียงแบบหัวชนฝาเลย) และเรามีนิสัยเงียบๆ คนอื่นจะพูดเล่นอะไรกัน เราก็ไม่มีส่วนร่วม เพราะเราอึดอัด เฮฮาด้วยไม่ลง งานก็ยุ่งจุกจิก ส่วนคนอื่นๆเขาก็ไม่ได้ชักชวนเรามาร่วมวงสนทนา เราจึงไม่อะไรกับเขา ไม่สนิทกับเขา คุยกันเฉพาะเรื่องงาน (หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือ คุยกันเฉพาะเวลาที่เขาจะใช้งานเรา กับเวลาที่เราไปถามงานเขา)
ช่วงนี้เราโดนหัวหน้าตำหนิบ่อย เพราะเราไม่คล่องงาน งานจุกจิกไปสำหรับเรา บางงานไม่เกี่ยวกับเรา แต่เราก็ต้องทำ หัวหน้าก็พยายามยัดงานให้มากขึ้นเรื่อยๆ บุคลิกนิสัยเราก็ไม่เหมาะกับงานแนวๆนี้อยู่แล้ว ความจุกจิกทำให้เราทำงานผิดพลาดบ่อยๆ ปกติเราเป็นคนมีสมาธิ ละเอียด ใจจดจ่อกับสิ่งที่ทำ แต่เราไม่สามารถทำอะไรหลายๆอย่างไปพร้อมๆกันได้ และเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกตื่นเต้น ตกใจ เสียความมั่นใจ(ซึ่งปกติก็ไม่ค่อยมีอยู่แล้ว) รู้สึกวุ่นวาย รู้สึกเกร็ง เราจะกลายเป็นคนสมาธิสั้นไปเลย ชอบพลาดโน่นหลุดนี่เล็กๆ น้อยๆ (แต่ก็คงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับหัวหน้า เพราะพลาดทีไรก็ตำหนิทุกที) เพื่อนร่วมงานแผนกอื่นๆก็สำคัญ บางแผนกที่เราติดต่อด้วย เวลาเราทำอะไรผิดพลาดหน่อย เขาก็จะไปบ่นกับหัวหน้าเรา ไม่บ่นกับเราตรงๆ แล้วทีนี้หัวหน้าก็มาบ่นเราอีกที ไม่มีวันไหนที่เราไม่จิตตก ใจเรารู้สึกท้อ เหนื่อย อยากลาออกเป็นสิบๆครั้ง อยากเอาเวลาทำงานมาทำอะไรที่อยากทำมากกว่า (เช่น อ่านหนังสือเตรียมสอบ ป.โท, ขายของออนไลน์ เป็นต้น จริงๆมีมากกว่านี้) เรารู้สึกว่าเราไม่ได้ประโยน์อะไรจากงานเลย นอกจากเงินเดือน ตอนแรกที่ได้งานนี้ เราตั้งใจไว้ว่าจะไม่อยู่นาน เพราะที่นี่อยู่ไกลจากบ้านเรามาก ที่ๆเราพักอาศัยอยู่ก็ไม่ใช่บ้านของเรา เราตั้งใจมาหาที่เรียน ป.โทมากกว่า ถ้าเราสอบ ป.โทติดเมื่อไหร่ เราจะลาออกทันที และจะไม่กลับมาทำงานแนวนี้อีก
แต่ตอนนี้ชักจะไม่อยากรอให้ถึงวันนั้นแล้ว พ่อ แม่ ญาติ ก็ไม่อยากให้ลาออก เอาแต่บอกให้เราอดทนๆ ทั้งที่เราพยายามอธิบายว่าทำไมเราอยากออก(แต่เราไม่ได้บอกพ่อแม่ว่าเราโดนหัวหน้าตำหนิว่าอะไรบ้าง และต้องเจอหรือต้องทำอะไรบ้าง) เรารู้สึกว่าพ่อแม่ไม่เข้าใจเรามากนักหรอก เพราะพวกท่านแทบไม่เคยเป็นมนุษย์เงินเดือน พ่อเราทำธุรกิจส่วนตัว(อย่าถามว่าทำไมเราไม่ช่วยธุรกิจพ่อ มันมีเหตุผล) ส่วนแม่เราก็อยู่บ้าน ทำงานบ้าน(แต่ท่านก็บ่นอยู่เรื่อยว่าเป็นแม่บ้านมันเหนื่อย ส่วนเรายอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ได้ทำงานอยู่ในบ้าน) เราก็รู้อยู่ว่าตัวเองเป็นคนยังไง ไม่เหมาะกับงานแบบไหน แต่เราก็พยายามทำงานที่แตกต่างจากตัวเรามาตลอด เพราะเราเรียนจบในสายสังคมศาสตร์(ถือเป็นการก้าวเดินที่ผิดพลาดสุดๆ) และพ่อแม่ก็อยากให้เราทำงานที่แตกต่างจากตัวตนเรา ท่านเห็นว่าเราไม่ค่อยพูดคุย เป็นคนเงียบๆ ก็คงเป็นห่วงเรา จึงอยากให้เราพัฒนาตัวเองโดยการทำงานที่ต้องพบปะและคุยกับคนเยอะๆ แต่เรายิ่งทำก็ยิ่งฝืนใจ เหนื่อยกับงานไม่พอ เหนื่อยกับคนมากกว่า(เพราะงานมันเกี่ยวกับคนมาก) สุดท้ายก็อยู่ได้ไม่นาน ต้องเปลี่ยนงานอยู่เรื่อยๆ ทั้งๆที่เราก็พยายามอดทนเท่าที่จะทำได้แล้ว ไม่มีใครอยากเปลี่ยนงานบ่อยๆหรอก มันไม่ง่ายเลยที่จะได้งาน และไม่ง่ายเลยที่จะลาออกจากงาน เราต้องคิดหนักหลายตลบมาก กว่าจะสามารถรวบรวมความกล้าไปบอกเจ้านายได้ ตอนนี้ก็เหมือนกัน เราคิดอย่างมุ่งมั่นว่า "เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะหาโอกาสบอกหัวหน้าว่าขอลาออก" แต่พอถึงวันพรุ่งนี้ เราก็ไม่กล้าไปบอก ก็เลยยื้อเวลาไปเรื่อยๆ
อีกอย่างเราอายุเกือบ 20 กลางๆ แล้ว ถึงคนอื่นจะมองว่าอายุยังน้อย แต่เรากลับคิดว่าอายุเราไม่น้อยแล้ว ควรจะค้นพบตัวเอง เลือกปักหลักกับงานที่เหมาะกับตัวเอง และต้องอยู่กับมันไปนานๆ เพื่อให้มีความเชี่ยวชาญ(หลายคนแต่งงานมีลูกแล้ว หลายคนกลายเป็นเศรษฐีไปแล้ว) ดังนั้นเราจึงคิดหนักและลังเลมากเรื่องลาออก ถ้าจะลาออก ก็ต้องรีบลาออกตั้งแต่ตอนนี้ อย่าปล่อยให้เสียเวลามากไปกว่านี้อีก แต่ถ้าไม่ลาออก ก็ต้องอยู่กับมันไปนานๆ เลย ตอนนี้เราสับสนจริงๆ
ถ้าเราลาออก เราก็ต้องเสียเงินเดือนหมื่นนิดๆไป แต่ใจได้เป็นอิสระเสรี ได้ปลดปล่อยความเป็นตัวเอง(ถามว่าเสียดายเงินเดือนไหม ก็เสียดายนะ จึงคิดหนักว่าจะลาออกดีไหม แต่เราไม่มีภาระ ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องเงิน ถ้าลาออกก็ยังอยู่ได้ชิวๆ จนกว่าจะได้งานใหม่) แต่ถ้าเราไม่ลาออก เราก็ได้เงินเดือน แต่ต้องทนกับอาการจิตตกต่อไป ไม่รู้จะเลือกอะไรดี
ปล. ขออภัยถ้าจะโพสต์ยาวมาก เพราะชีวิตจริงไม่ได้ระบายแบบนี้หรอก
ยิ่งทำงาน ยิ่งจิตตก จะยอมเสียเงินเดือน หรือยอมเสียความสุข
ตอนนี้เราทำงานมา 2 เดือนแล้ว ยังไม่สามารถทำได้หมดทุกงาน ยังต้องมีคนคอยช่วยอยู่ คนสอนงานก็ยังสอนเราไม่หมดทุกอย่าง เพราะเห็นว่าเรายังไม่คล่อง หัวหน้าก็ตำหนิเราว่าทำไมเราไม่ทำงานนั้นเอง ทำไมถึงให้คนอื่นช่วย ในบริษัทมีหลายแผนก แต่ละแผนกก็มีแอดมิน แต่แอดมินแผนกอื่นๆ ไม่ต้องคอยรับโทรศัพท์ทั้งวันเหมือนเรา ส่วนเราเป็นแอดมินของฝ่ายบุคคล เป็นด่านแรกของบริษัท(ด่านแรกรองจาก รปภ.) เหมือนต้องดูแลรวมๆทั้งหมดเลย ดังนั้นเราจึงกระดิกตัวไปไหนแทบไม่ได้ นอกจากไปห้องน้ำ และถ้าจะออกไปนอกห้องก็ต้องบอกคนอื่นๆในห้องก่อน ไม่งั้นโดนตำหนิ เราก็เลยไม่ค่อยอยากออกไปนอกห้องก็เพราะอย่างนี้แหละ บางครั้งเราอยากไปห้องน้ำ แต่ถ้าปวดไม่มากก็จะกลั้นไว้ และเวลาจะเอาเอกสารไปให้แผนกอื่น เราก็จะรอดูจังหวะเหมาะๆ แล้วจึงจะขออนุญาตออกไป เพราะถ้าเราออกไปนอกห้อง แล้วโทรศัพท์ดัง คนอื่นๆในห้องก็ต้องรับสายแทน นอกจากนี้เรายังมีเวลาพักเที่ยงไม่พร้อมคนอื่นๆในบริษัท เราต้องกินข้าวคนเดียว มีเราคนเดียวที่พักไม่พร้อมคนอื่นๆเขา
และเราก็ไม่ถูกโฉลกกับหัวหน้า เรารู้สึกเกร็งมากเวลามีหัวหน้า เขาชอบจับผิดเรา เหมือนไม่ไว้วางใจเรา เวลาเราเดินไปถามงานคนอื่นๆ เขาก็จะหันมามอง และคอยพูดแทรกขึ้นมา น้ำเสียงของหัวหน้าจะออกแนวบ่นๆ จู้จี้ และเผด็จการ ซึ่งเราได้ยินแล้วรู้สึกเกร็ง ไม่สบายใจ อึดอัด เวลาหัวหน้าตำหนิเรา จะชอบตำหนิต่อหน้าคนอื่น แต่พออยู่ในห้องกันแค่ 2 คนก็จะไม่พูดอะไร หรือพูดดีกว่าตอนอยู่ต่อหน้าคนอื่น วันไหนหัวหน้าไม่อยู่เราจะรู้สึกดีขึ้น ส่วนคนอื่นๆ ดูเหมือนไม่ค่อยมีปัญหากับหัวหน้า อาจเป็นเพราะพวกเขาร่วมงานกันมานานจนรู้ใจกันแล้ว หรืออาจเป็นเพราะพวกเขามีอายุไม่ต่างจากหัวหน้ามาก ทุกคนในห้องมีนิสัยพูดมาก เฮฮา แต่เราอายุน้อยที่สุด อายุห่างจากคนอื่นๆมาก (คนละ Gen กันเลย) เรารู้สึกเหมือนเราอยู่ท่ามกลางครูบาอาจารย์ ต้องเคารพและเกรงใจเป็นพิเศษ ต้องอ่อนน้อม ไม่หือ ไม่อือ เขาใช้ให้ทำอะไรก็ต้องทำ(อันนี้เราคิดไปเอง ดูงี่เง่ามาก เพราะปกติถ้าพ่อแม่ตำหนิเรา แล้วเราไม่เห็นด้วย เราจะเถียงแบบหัวชนฝาเลย) และเรามีนิสัยเงียบๆ คนอื่นจะพูดเล่นอะไรกัน เราก็ไม่มีส่วนร่วม เพราะเราอึดอัด เฮฮาด้วยไม่ลง งานก็ยุ่งจุกจิก ส่วนคนอื่นๆเขาก็ไม่ได้ชักชวนเรามาร่วมวงสนทนา เราจึงไม่อะไรกับเขา ไม่สนิทกับเขา คุยกันเฉพาะเรื่องงาน (หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือ คุยกันเฉพาะเวลาที่เขาจะใช้งานเรา กับเวลาที่เราไปถามงานเขา)
ช่วงนี้เราโดนหัวหน้าตำหนิบ่อย เพราะเราไม่คล่องงาน งานจุกจิกไปสำหรับเรา บางงานไม่เกี่ยวกับเรา แต่เราก็ต้องทำ หัวหน้าก็พยายามยัดงานให้มากขึ้นเรื่อยๆ บุคลิกนิสัยเราก็ไม่เหมาะกับงานแนวๆนี้อยู่แล้ว ความจุกจิกทำให้เราทำงานผิดพลาดบ่อยๆ ปกติเราเป็นคนมีสมาธิ ละเอียด ใจจดจ่อกับสิ่งที่ทำ แต่เราไม่สามารถทำอะไรหลายๆอย่างไปพร้อมๆกันได้ และเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกตื่นเต้น ตกใจ เสียความมั่นใจ(ซึ่งปกติก็ไม่ค่อยมีอยู่แล้ว) รู้สึกวุ่นวาย รู้สึกเกร็ง เราจะกลายเป็นคนสมาธิสั้นไปเลย ชอบพลาดโน่นหลุดนี่เล็กๆ น้อยๆ (แต่ก็คงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับหัวหน้า เพราะพลาดทีไรก็ตำหนิทุกที) เพื่อนร่วมงานแผนกอื่นๆก็สำคัญ บางแผนกที่เราติดต่อด้วย เวลาเราทำอะไรผิดพลาดหน่อย เขาก็จะไปบ่นกับหัวหน้าเรา ไม่บ่นกับเราตรงๆ แล้วทีนี้หัวหน้าก็มาบ่นเราอีกที ไม่มีวันไหนที่เราไม่จิตตก ใจเรารู้สึกท้อ เหนื่อย อยากลาออกเป็นสิบๆครั้ง อยากเอาเวลาทำงานมาทำอะไรที่อยากทำมากกว่า (เช่น อ่านหนังสือเตรียมสอบ ป.โท, ขายของออนไลน์ เป็นต้น จริงๆมีมากกว่านี้) เรารู้สึกว่าเราไม่ได้ประโยน์อะไรจากงานเลย นอกจากเงินเดือน ตอนแรกที่ได้งานนี้ เราตั้งใจไว้ว่าจะไม่อยู่นาน เพราะที่นี่อยู่ไกลจากบ้านเรามาก ที่ๆเราพักอาศัยอยู่ก็ไม่ใช่บ้านของเรา เราตั้งใจมาหาที่เรียน ป.โทมากกว่า ถ้าเราสอบ ป.โทติดเมื่อไหร่ เราจะลาออกทันที และจะไม่กลับมาทำงานแนวนี้อีก
แต่ตอนนี้ชักจะไม่อยากรอให้ถึงวันนั้นแล้ว พ่อ แม่ ญาติ ก็ไม่อยากให้ลาออก เอาแต่บอกให้เราอดทนๆ ทั้งที่เราพยายามอธิบายว่าทำไมเราอยากออก(แต่เราไม่ได้บอกพ่อแม่ว่าเราโดนหัวหน้าตำหนิว่าอะไรบ้าง และต้องเจอหรือต้องทำอะไรบ้าง) เรารู้สึกว่าพ่อแม่ไม่เข้าใจเรามากนักหรอก เพราะพวกท่านแทบไม่เคยเป็นมนุษย์เงินเดือน พ่อเราทำธุรกิจส่วนตัว(อย่าถามว่าทำไมเราไม่ช่วยธุรกิจพ่อ มันมีเหตุผล) ส่วนแม่เราก็อยู่บ้าน ทำงานบ้าน(แต่ท่านก็บ่นอยู่เรื่อยว่าเป็นแม่บ้านมันเหนื่อย ส่วนเรายอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ได้ทำงานอยู่ในบ้าน) เราก็รู้อยู่ว่าตัวเองเป็นคนยังไง ไม่เหมาะกับงานแบบไหน แต่เราก็พยายามทำงานที่แตกต่างจากตัวเรามาตลอด เพราะเราเรียนจบในสายสังคมศาสตร์(ถือเป็นการก้าวเดินที่ผิดพลาดสุดๆ) และพ่อแม่ก็อยากให้เราทำงานที่แตกต่างจากตัวตนเรา ท่านเห็นว่าเราไม่ค่อยพูดคุย เป็นคนเงียบๆ ก็คงเป็นห่วงเรา จึงอยากให้เราพัฒนาตัวเองโดยการทำงานที่ต้องพบปะและคุยกับคนเยอะๆ แต่เรายิ่งทำก็ยิ่งฝืนใจ เหนื่อยกับงานไม่พอ เหนื่อยกับคนมากกว่า(เพราะงานมันเกี่ยวกับคนมาก) สุดท้ายก็อยู่ได้ไม่นาน ต้องเปลี่ยนงานอยู่เรื่อยๆ ทั้งๆที่เราก็พยายามอดทนเท่าที่จะทำได้แล้ว ไม่มีใครอยากเปลี่ยนงานบ่อยๆหรอก มันไม่ง่ายเลยที่จะได้งาน และไม่ง่ายเลยที่จะลาออกจากงาน เราต้องคิดหนักหลายตลบมาก กว่าจะสามารถรวบรวมความกล้าไปบอกเจ้านายได้ ตอนนี้ก็เหมือนกัน เราคิดอย่างมุ่งมั่นว่า "เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะหาโอกาสบอกหัวหน้าว่าขอลาออก" แต่พอถึงวันพรุ่งนี้ เราก็ไม่กล้าไปบอก ก็เลยยื้อเวลาไปเรื่อยๆ
อีกอย่างเราอายุเกือบ 20 กลางๆ แล้ว ถึงคนอื่นจะมองว่าอายุยังน้อย แต่เรากลับคิดว่าอายุเราไม่น้อยแล้ว ควรจะค้นพบตัวเอง เลือกปักหลักกับงานที่เหมาะกับตัวเอง และต้องอยู่กับมันไปนานๆ เพื่อให้มีความเชี่ยวชาญ(หลายคนแต่งงานมีลูกแล้ว หลายคนกลายเป็นเศรษฐีไปแล้ว) ดังนั้นเราจึงคิดหนักและลังเลมากเรื่องลาออก ถ้าจะลาออก ก็ต้องรีบลาออกตั้งแต่ตอนนี้ อย่าปล่อยให้เสียเวลามากไปกว่านี้อีก แต่ถ้าไม่ลาออก ก็ต้องอยู่กับมันไปนานๆ เลย ตอนนี้เราสับสนจริงๆ
ถ้าเราลาออก เราก็ต้องเสียเงินเดือนหมื่นนิดๆไป แต่ใจได้เป็นอิสระเสรี ได้ปลดปล่อยความเป็นตัวเอง(ถามว่าเสียดายเงินเดือนไหม ก็เสียดายนะ จึงคิดหนักว่าจะลาออกดีไหม แต่เราไม่มีภาระ ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องเงิน ถ้าลาออกก็ยังอยู่ได้ชิวๆ จนกว่าจะได้งานใหม่) แต่ถ้าเราไม่ลาออก เราก็ได้เงินเดือน แต่ต้องทนกับอาการจิตตกต่อไป ไม่รู้จะเลือกอะไรดี
ปล. ขออภัยถ้าจะโพสต์ยาวมาก เพราะชีวิตจริงไม่ได้ระบายแบบนี้หรอก