The Vampire Powers. บทที่[26]

ความรู้สึกของการหลบหนีมาทั้งชีวิตมันเปรียบเสมือนเราเป็นนักโทษ เราไม่ใช่มนุษย์ทั่วไป ที่วันๆเราจะมีชีวิตแบบปกติเหมือนคนอื่นได้  ตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อหลายปีมาก่อนต่างมีผู้คนที่พวกเขารักเสียสละตนเองเพื่อช่วยชีวิตพวกเขาให้อยู่รอดต่อไป ผมและน้องสาวของผมต่างต้องมีสิ่งเดียวติดตัวมาก็คือ ความหวังของการยุติสงครามแต่ทว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น


เขามีสายเลือดของแวมไพร์และแม่มดรวมถึงน้องสาวเขาด้วย  เขาพบว่าสิ่งที่แม่พยายามจะบอกก็คือพ่อของเขาเป็นบุคคลที่อันตรายมาก เมื่อบนโลกนี้ต่างก็มีแวมไพร์ที่มีพลังวิเศษเกดขึ้นมามากมาย พ่อของเขาก็อยากจะมีแบบนั้นบ้าง

การทำพิธีบูชายัญเลือดเนื้อของผู้ที่มีเชื้อสายสำคัญรวมเท่าที่เคยมีมาอยู่ด้วยกันจะทำให้เขามีพลังอำนาจเหนือผู้อื่น แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ผลเมื่อคริสติน่าหรือแม่ของเขาล่วงรู้ถึงแผนการชั่วร้ายนั่นได้จึงปลุกให้ทั้งเขาและน้องสาวตื่นขึ้นในกลางดึกพาหนีออกมาและเป็นคืนสุดท้ายที่แม่เสียสละตนเอง


เขาไม่สามารถที่จะลืมคืนนั้นได้ ใช่ ผมคือโลแกน ผมรู้ทุกการเคลื่อนไหวของสามพี่น้องตระกูลสโตน และเขาไม่อยากจะวิ่งหนีมันไปอีกจนกระทั่งเขาไปพบเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ได้รับพลังเกิดใหม่เป็นแวมไพร์จากลูคัส มันคือคืนที่เขาถูกซูซานและไซม่อนกักขังเขาไว้ในห้องๆหนึ่ง จนเด็กหนุ่มคนนั้นมาช่วยเขาไว้ วินาทีนั้นเขาถึงได้รู้ว่าลูคัสกำลังสร้างกองทัพแต่แท้ที่จริงแล้วเด็กพวกนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลย นั่นคงจะเป็นวิธีเอาชนะใจของเด็กที่เก็บมาเลี้ยงมาอย่างดีและฆ่าพวกเขาทิ้งเมื่อหมดประโยชน์เพียงแค่ออกตามล่าหาตัวเขา

“พวกเขากำลังลุกขึ้นมาต่อกรกัน…เราพบชายคนหนึ่งผู้เกิดใหม่และเขาดูเหมือนไม่รู้อะไรมากแถมยังมีพลังที่เราไม่เคยพบมาก่อน” คลินท์เดินเข้ามาในห้องทำงานระหว่างที่หนุ่มลูกครึ่งแวมไพร์ครึ่งพ่อมดกำลังนั่งรำลึกความหลังความเจ็บปวดครั้งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต

โลแกนไม่อาจรู้ได้ว่าเขานั่งอยู่อย่างนั้นรวมมากี่ชั่วโมงแล้วแต่เมื่อเขากระพริบตา คลินท์วางเครื่องมือสี่เหลี่ยมปรากฏภาพเอ็ดตั้งแต่การตรวจสอบความสามารถและดีเอ็นเอของบุคคลที่หายไปของมนุษย์ ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อยืนยันตัวตนแต่ผลลัพธ์เป็นที่น่าประหลาดใจเมื่อเขาเป็นแวมไพร์ที่เกิดใหม่และสามารถใช้พลังที่ยิ่งใหญ่นั้นได้คล่อง

“เจ้าไม่รู้สึกจริงๆหรือที่กลายมาเป็นคนหลายหัวเพื่อรับจ้างทำงานให้กับแวมไพร์ที่แบ่งแยกพรรคพวกกันอย่างนี้”

“ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือแวมไพร์ หรืออะไรก็แล้วแต่มันก้ไม่ต่างกันนักหรอก และสิ่งที่ฉันทำคือการพิสูจน์ความจริงต่างหากละ” คลินท์กล่าวพลางทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับโลแกน

“คนอย่างเจ้าช่างหายาก ถ้าศึกครั้งนี้จบลงเจ้าสามารถมาอยู่กับพวกเราได้ เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ ”

โลแกนถือเจ้าสิ่งที่คลินท์นำมาให้เพื่อเช็คดูประวัติของแวมไพร์ผู้ที่มีสายเลือดพิเศษทำให้สามารถมีพลังที่แตกต่างเป็นที่ต้องการขององค์กรลูเซียสเป็นแน่ คลินท์กอดอกถอดหายใจอย่างเบื่อหน่ายถึงแม้จะกลายเป็นทาสให้กับพวกแวมไพร์จอมยโสโอหังแบบนี้ไปสักพักมันก็คุ้มกับการเสี่ยงเพื่อตามหาสิ่งที่เขาต้องการ

“คิดอย่างไรถึงมาเยี่ยมพี่ได้” จู่ๆโลแกนก็เอ่ยขึ้นทักทายผู้เข้ามาใหม่ หญิงสาวผู้ที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับโลแกนแต่มีแววตาที่เฉียบคม สไตล์การแต่งตัวเหมือนผู้ที่ทำงานในองค์กรใหญ่โตสักที่ด้วยสูทสำหรับผู้หญิงพร้อมกับเกล้าผมขึ้นเป็นมวยเพื่อให้ดูมีภูมิฐาน คลินท์หมุนเก้าอี้หันไปเผชิญหน้ากับเธอด้วยใบหน้านิ่งเรียบ

“ได้ข่าวว่าพี่กำลังหาเรื่องใส่ตัว และฉันจะมาเพื่อรับพี่ไปจากนรกนี่เสียที”  

“เราหนีมามากเกินพอแล้ว ลูน่า” โลแกนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังเพราะเขาเบื่อมากเกินพอที่จะต้องมาคอยหลบหนีมาทั้งชีวิตเพราะเขายังคิดว่ายังพอมีวิธีที่จะลุกขึ้นยืนหยัดที่จะสู้ได้

“เราจะไม่ฆ่าตัวเองหรอกนะ เดินไปหาความตายแบบนี้มันจะคุ้มกับสิ่งที่ผู้คนพวกนั้นเสียสละอย่างงั้นเหรอ”

ลูน่าจำคำสอนของพี่ชายเธอมาโดยตลอดขณะที่เขาและเธอเผชิญอยู่กับโลกภายนอก และยืนหยัดสู้จนมีทุกสิ่งอย่างเหมือนกับมนุษย์ปกติเขามีกัน

“เธอคิดว่าพี่ลืมพวกเขาอย่างนั้นเหรอ พี่ยังจำสายตาของพวกเขาได้ ความรู้สึกเหมือนอยากตายแทนพวกเขาตลอดเวลาได้ และแม่…” โลแกนไม่อยากจะรื้อฟื้นความทรงจำที่เกี่ยวกับแม่อีก เพราะลูน่าเองถึงแม้จะดูเหมือนคนไร้ความรู้สึกแต่ข้างในใจเธอนั้นอาจจะกำลังแตกร้าวอย่างช้าๆ

“ให้ตายสิ ไม่ยักกะเห็นสองพี่น้องแวมไพร์ทะเลาะกันแฮะ” คลินท์ล้อเลียนสายตาของทั้งสองมองตรงมาทางเขาพร้อมกันก่อนจะยกมือเพื่อบอกประมาณว่าอย่าสนใจเขาเลย

“เมื่อฉันพูดขนาดนี้แล้ว เชิญไปต่อสู้กับสิ่งที่เราหนีมาตั้งแต่แรกละกัน”

“เพราะอย่างนี้ไง พี่ถึงต้องการลองพิสูจน์พร้อมกับสหายของพี่” โลแกนผายมือมาทางคลินท์เล็กน้อยพลางพยายามที่จะขอร้องให้น้องสาวยอมเข้าใจในสิ่งที่เขากลับมา ณ เมืองนี้ ทั้งๆที่เขาและน้องสาวต่างก็หนีไปไกลจนสุดขอบโลกแต่เขาต้องการกลับมายุติเรื่องบ้าๆนี่เสียที

ลูน่าไม่ยอมตกลงกับการไปเสี่ยงตายแบบนี้ เธอตัดสินใจเดินออกไปเพราะนี่มันเป็นข้อตกลงที่บ้ามากที่สุด
“พี่จะรอเธอกลับมาได้ทุกเมื่อ…” เท้าของหญิงสาวหยุดชะงักเพียงครู่เดียวแต่เธอก็เดินก้าวต่อไป คลินท์สงสัยว่าทำไมโลแกนมั่นใจได้ยังไงว่าเธอจะกลับมา น้องสาวเขาเดินก้าวเท้าออกไปอย่างรวดเร็วเพราะเธอพยายามเอ่ยเตือนและโน้มน้าวให้พี่ชายคนเดียวของเธอกลับไปพร้อมกับเธอมาหลายต่อหลายนักแล้ว

“มาพูดข้อตกลงของเราต่อ” โลแกนหันไปพูดกับคลินท์ต่อราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หวังว่ามันจะต้องผ่านไปให้ได้ดีที่สุดนะ

ทาวน์เฮาส์…
เบียงก้ารีบเดินเข้ามาภายในห้องพร้อมกับกอร์ดอนซึ่งทั้งสองอยู่ในชุดแบบเป็นทางการสำหรับพวกนักธุรกิจ นี่อาจจะเป็นการตีเนียนว่าพวกเขาเป็นคนธรรมดา สาวผู้ที่เป็นคนคอยช่วยเหลือพวกเขามาตั้งแต่แรกเริ่มยืนกอดอกพลางหันไปพยักหน้ากับกอร์ดอนเชิงประมาณว่าไม่มีใครเพ่นพ่านหรือตามหลังมา

“เล่ามาให้หมด” เธอออกคำสั่งตามเดิมไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนครั้งที่อยู่ในค่าย

“เราเจอพวกผู้หญิงน่ากลัวสวมใส่ชุดคลุมสีดำ” กอร์ดอนหันไปสบตากับเบียงก้าด้วยความกังวล แอลมองการกระทำนั้นอย่างไม่เข้าใจว่าพวกเขาจะปกปิดเรื่องต่างๆไปจนถึงไหน

“มันเหมือนผับ และถิ่นของพวกนั้นอยู่ใต้ดิน เราบังเอิญไปเจอเข้าและพวกนั้นดูโกรธแค้น เกลียดชัง”

“ปัญหาใหญ่แล้ว” เบียงก้าโพล่งขึ้นทันทีคุณสมบัตินี้คงไม่พ้นอยู่พวกเดียวที่แอลเล่าเสริมต่อไรอัน

“ทำไมเหรอ”

“เธอเจอลูกสมุนของวิคตอเรีย คนที่มอบพลังชีวิตให้แก่ไรอัน” เจ้าตัวสะดุ้งพร้อมกับยกมือขึ้นเอ่ยประมาณว่า “ที่แน่ๆผมไม่ได้ถูกเธอครอบงำ” กอร์ดอนถอนหายใจพลางเอ่ยว่า

“นางยังลอยนวล เราต้องระวังตัวให้มากขึ้น”  ไรอันมีคำถาม “แล้ววิคตอเรียนางมีลูกสมุนเป็นพวกแม่มดได้ยังไง ในเมื่อพวกนั้นเกลียดเราเข้าไส้”

“วิคตอเรียฉลาดมาก เธอคงหว่านล้อมให้พวกนั้นเป็นเครื่องมือไว้เพื่อต่อกรเรา” เบียงก้าเอ่ยเสริม

“แสดงว่าเราคงหลีกเลี่ยงเรื่องพวกนี้ไม่ได้”

“บางทีเอ็ดอาจจะถูกพวกนั้นจับตัวไปอีกคน พวกนั้น…กำลังรออะไรกันแน่” กอร์ดอนสรุปหลังจากแอลเริ่มเชื่อจากความรู้สึกของพวกนั้น เวลาที่พลังของเขากลืนกินผู้ใดเขาจะสามารถรับรู้ได้ว่าพวกนั้นคิดอย่างไรกับเราซึ่งทิ้งวาระวินาทีสุดท้าย แต่เขาไม่สามารถทำให้รู้เรื่องทั้งหมดได้

“เราทำลายถิ่นของพวกมันไปแล้ว” ไรอันจำได้ว่าพวกเขาเกือบฆ่าไปได้หมดยกเว้นหญิงผู้มีใบหน้าประหลาดหน้ากลัวนั่นเธอหนีไปได้หลังจากส่งสัตว์เลื้อยคลานตัวใหญ่ยักษ์มากำจัดเขา

“ที่นี่มันอันตรายเกินไป บางทีเราควรส่งพวกเธอให้ไปปฏิบัติภารกิจที่อื่น”

“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก พวกเขาควรจะอยู่สู้กับเรา” กอร์ดอนแย้งเบียงก้าที่ออกปากเพื่อจะปกป้องพวกเขา
เบียงก้าทำสีหน้าสลดที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเห็นมา แอลและไรอันไม่ขอพูดอะไรเพราะกำลังจะรอว่าทั้งสองคนจะยอมเปิดปากพูดอะไรบ้างหรือเปล่า

“ให้ฉันคุยกับพวกเขา ท่านควรไปเตรียมรับมือบอกคนของเรา” กอร์ดอนพยักหน้าเข้าใจ พลางวางกระเป๋าใบโตไว้ลักษณะของมันเป็นกระเป๋าทรงยาวและมันคงไม่ใช่ขวดเลือดแน่นอนแต่แอลเลือกที่จะปัดความสงสัยออกไปพลางหันไปเผชิญหน้ากับเบียงก้าที่นั่งลงบนโซฟาตรงข้ามกับพวกเขาพลางหันไปมองกอร์ดอนที่ปิดประตูไว้เรียบร้อย

“ฉันจะเล่าเหตุการณ์ที่พอทำให้พวกเธอเข้าใจละกัน” สองหนุ่มแวมไพร์ตั้งใจฟัง เธอจึงเริ่มเรื่องโดยทันที เผ่าพันธุ์บนโลกนี้มีหลากหลายสายพันธุ์ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ แวมไพร์ มนุษย์หมาป่า แม่มด โลกของเพวกเขาเกือบมีทุกอย่างที่เคยเป็นตำนานเรื่องเล่า ตระกูลของลูคัสมีพี่น้องกันอยู่สามคน ทั้งสามต่างมีความเห็นที่ไม่ลงรอยกันต่างฝ่ายต่างแยกกันอยู่โดยไม่ต้องการข้ามเขตแดนของตนมา

พวกเขาปฏิบัติกันอย่างนี้มานานจนกระทั่งท่านลูคัสไปพบรักกับหญิงสาวผู้มีเชื้อสายเป็นแม่มดแต่เขาก็ไม่หวั่นที่จะมีรักกับนานจนทั้งสองมีท่านโลแกนและลูน่าออกมา ซี่งถึงแม้บางตำนานจะบอกมาว่าแวมไพร์ไม่สามารถมีลูกได้ แต่ในโลกของพวกเขาทุกสิ่งเป็นไปได้เกือบทั้งหมด

คริสติน่าซึ่งเป็นเพื่อนรักของเบียงก้าและรวมไปวิคตอเรียซึ่งวิคตอเรียชอบพอกับท่านลูคัสมานานจึงอยากทำลายชีวิตรักของทั้งคู่ด้วยการพูดหลอกล่อให้คริสติน่าเชื่อว่าสิ่งที่เธอกำลังทำมันผิด แม่มดจะตราบาปชีวิตเธอและตามฆ่าตัวเธอเป็นแน่เธอจึงยอมเสียสละชีตตนเองเพื่อสังเวยชีวิตทดแทนบาปที่เธอได้สร้างไว้กับท่านลูคัส

เพราะพวกแม่มดนั้นคิดเสมอว่าแวมไพร์เป็นปีศาจที่ลงหลุมไปแล้วเมื่อมีความสัมพันธ์กับแวมไพร์ เปรียบเสมือนว่าเธอเหยียดหยามเชื้อสายของตนและแหกกฏของแม่มดไป จนถึงคืนที่ลูคัสหลับไหลจากมนต์สะกดของตคริสติน่าเพื่อต้องการให้เขามีชีวิตต่อไปและเป็นลงมือชำระบาปด้วยตัวเองท่ามกลางสายตาของลูกๆและพวกเขาก็หนีหายไป

หลังจากสองหนุ่มแวมไพร์ได้ฟังเรื่องทั้งหมดแล้ว เขาพอจะรู้ว่าควรเตรียมพร้อมยังไง เบียงก้าบอกเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งด้วยว่า เราบรรดาพี่น้องในค่ายพร้อมที่จะสู้ไปพร้อมกับพวกเขาแต่ใบหน้าของเบียงก้าเวลากล่าวถึงมันยังมีประกายตาที่เศร้าพิกลทันทีที่แอลสังเกตท่าที แสดงว่าพวกเขาที่เหลืออยู่ในค่ายจะตามมาช่วย

“พวกเราจะพยายามระวังตัว” ไรอันบอกเพื่อให้เธอสบายใจ เพราะพวกเขารู้อยู่แล้วว่าอีกเดี๋ยวเดียวเธอก็ต้องเดินทางกลับไปเตรียมการ

“ฉันอยากจะไปตามหาเอ็ด” แอลโพล่งขึ้นมาแต่เขารู้ดีว่าควรจะรวมกลุ่มกันไว้ก่อน ความรู้สึกของเขาที่พยายามจะเชื่อมต่อหาเพื่อนรักยังคงรู้สึกแต่ไม่สามารถรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน

“ฉันรู้ พวกเราจะได้เจอเขาแน่ พรุ่งนี้พวกเธอต้องกลับไปใช้ชีวิตปกติ ฉันจะให้คนอื่นๆในบรรดาพวกเราเตรียมพร้อมเข้าไว้พวกเธอก็เช่นกัน…เอาล่ะ” เบียงก้ายืนขึ้นพร้อมที่จะไป “พยายามอย่าไปข้องเกี่ยวกับคนอื่นให้มากนัก ถึงแม้ฉันจะรู้แต่ฉันก็จะไม่พูด” ประโยคสุดท้ายทำให้สองหนุ่มหันหน้ามองกันอย่างพร้อมเพรียง

“เราจะไม่ทำให้คุณเดือดร้อน” แอลพูดหลังจากละสายตากึ่งประชดจากไรอันมา พลางเดินตามหญิงสาวไปส่งที่หน้าประตูและเดินกลับมาด้วยสภาพจิตใจที่ห่อเหี่ยว

“นายต้องเคลียร์ปัญหาของนาย” ไรอันเงยหน้ามองเพดานขณะพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักใจ


“ฉันจะพยายาม” แอลซึ่งยืนหันหลังให้แก่เขาตอบกลับ ทุกครั้งที่เขานึกถึงเธอ มันทำให้ความรู้สึกที่มันน่าจะตายไปแล้วดันทำให้มันเจ็บแปลี๊ยบๆ พลางทวงถามความรู้สึกตัวเองว่าควรทำกับมันยังไงกับมันดี….

                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                          To be continue....                                                                                              
Thanks for following.
Thanks for everyone to read this story Thanks u very much.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่