[รีวิวเรื่องที่ 109] The 33/ใต้นรก 200 ชั้น


[เรื่องที่ 109] The 33/ใต้นรก 200 ชั้น ; (Patricia Riggen, 2015)

คะแนน : 9/10

เป็นหนังที่องค์แรงเหลือเกินในเรื่องของพลังในการเรียกน้ำตา ขนาดผู้เขียนไม่ใช่คอหนังสาย sentimental drama ขนาดนี้ยังมีอาการจุกคอเล็กๆ (อึก อดทนไว้) ซึ่งก็สมคำร่ำลือที่ได้ยินกันมาในพันทิปจริงๆเรื่องราวของหนังสร้างจากเรื่องจริงของคนงาน 33 ของเหมืองซานโฮเซ่ (San Jose')ในประเทศชิลี ซึ่งติดอยู่ใต้เหมือนจากการถล่มอยู่ในจุดที่ลึกเท่ากับตึก 200 ชั้น!! ซึ่งเหตุการณ์ที่ว่าก็เกิดขึ้นในราวๆปี 2010 นี่เอง ซึ่งนับเป็นเรื่องราวชวนลุ้นและประทับใจจากความพยายามในการช่วยเหลือจากนานาประเทศ ซึ่งก็ถูกไปเขียนเป็นหนังสือในเวลาต่อมา

โดยตัวหนังเองก็เลือกที่จะถ่ายทอดเรื่องราวโดยอิงจากเหตุการ์จริงเป็นหลักโดยเติมแต่งแต่พองาม ซึ่งนั่นก็นับเป็นจุดที่ดีของหนังเรื่องนี้ในแง่ที่ว่ามันไม่ค่อย 'เวิ่นเว้อ' เท่าไหร่ (หรืออาจจะเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันก็เลวร้ายพออยู่แล้ว) โดยตัวเอกหลักของเรื่องก็ยกผู้นำเหล่าคนเหมืองทั้งหลายจนมีชีวิตรอดอย่าง 'มาริโอ้' ซึ่งได้นักแสดงมากฝีมืออย่าง Antonio Banderas มาวาดลีลาได้อย่างลงตัว ซึ่งทีน่าชื่นชมคือเฮียแกคุมธีมหนังได้อย่างรัดกุมมาก ไม่ว่าจะเป็นซีนอารมณ์หลายๆฉากที่ค่อนข้างบีบคั้นก็ยังไม่มีพลาด ถือว่าเป็นเสาหลักของเรื่องที่ขาดไปไม่ได้เลย

จุดขายของหนังก็คงเป็นความสัมพันธ์ของตัวละครที่วางไว้ได้อย่างรัดกุม ซึ่งด้วยภาวะที่ต้องอาศัยอยู่ในหลุมหลบภัยแคบๆในเหมืองที่แสงสว่างเข้าไม่ถึง,อากาศร้อนชื้น ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือต้องปันส่วนเสบียงอาหารที่มีปริมาณเพียงพอกับ 3 วันให้พอกินเป็นเวลา 16 วัน!! ทำให้กลุ่มคนงานเหมืองต้องเผชิญอยู่กับแรงกดดันอันมหาศาลประกอบกับความสิ้นหวัง สิ่งที่พอจะพยุงให้ภาวะจิตใจไม่แตกสลายก็คงเป็น 'กำลังใจ' ซึ่งกันและกันระหว่างพลพรรคชาวคนเหมืองนี่แหละ

ซึ่งพอลงลึกในส่วนของมิติตัวละครแล้วก็จะน่าประหลาดใจที่ว่าหนังใช้เวลาเพียง 127 นาทีในการเล่าเรื่องตัวละครถึง 33 คนได้ละเอียดขนาดนั้น (และพาเราอินได้ไม่ยาก) โดยเฉพาะในพาร์ทความสัมพันธ์ระหว่างพี่สาว-น้องชายอย่าง 'ดาริโอ' และ 'มาเรีย' นั้นก็ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดีมากภายใต้เวลาที่จำกัด, เป็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่กระอักกระอ่วนแต่ก็กินใจ ซึ่งค่อยๆปั้นขึ้นมาตลอดชั่วโมงหนังจนมาพีคในนาทีสุดท้ายอย่างน่าชื่นชม

สิ่งที่ดีอีกอย่างของเรื่องนอกจากพล็อตที่แข็งแรงแล้วก็คือการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้าง 'ติดตามง่าย' และน่าเอาใจช่วยในฐานะคนดู ซึ่งโดยเส้นเรื่องของหนังเองก็เล่าเป็นฉากๆอย่างชัดเจนว่ามีแผนที่จะช่วยเหลือตัวละครอย่างไรแล้วหากเกิดข้อขัดข้องจะแก้ไขอย่างไร ซึ่งด้วยความเนียนของไดอะล็อกตัวละครนี่แหละที่ทำให้คนดูอย่างเราๆตามหนังได้ไม่ยาก (จะได้เหลือสมาธิไปโฟกัสกับฉากซึ้งๆได้แทน)

ซึ่งสุดท้ายก็ต้องชื่นชมแหละ ที่หนังสามารถทำหน้าที่ในฐานะ 'หนังบิ้วอารมณ์ซึ้ง' ได้อย่างหมดจดไม่มีข้อติ และยังคงเส้นเรื่องที่น่าติดตามไว้ได้ดีโดยไม่ปล่อยให้คนดูหลับฟุบไปเสียก่อน โดยรวมๆแล้ว The 33 ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีในรอบหนังสัปดาห์นี้

ป.ล.ท้ายสุดก็คงต้องยอมรับว่าซาวน์แทร็กของ James Horner ก็ยังคงเป็นส่วนประกอบที่ดีที่ช่วยขับเคลื่อนอารมณ์หนังได้อย่างราบรื่น น่าเสียดายที่ผลงานนี้เป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของแล้วแกแล้วนี่สิ
#ripJamesHorner

ขอเชิญติดตามรีวิว/ข่าวสารและร่วมกันพูดคุยเรื่องหนังได้ที่เพจครับ : https://www.facebook.com/expensivemovie
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่