การพัฒนา
ถ้าหากจะพูดถึงประวัติของปืนไรเฟิล k98k ปืนไรเฟิล bolt-action ที่ดี่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 2 ระบบลูกเลื่อนของมันได้รับการยอมรับว่ามีความแม่นยำ-ดูและรักษาง่ายและทนทาน เราคงต้องย้อนไปในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ในช่วงปี 1898 เมื่อบรรพบุรุษของมันอย่าง Gewehr 98 ปืนไรเฟิลผู้เป็นเหมือนบรรพบุรุษของมันได้ถือกำเนิดขึ้น
gewehr 98 บรรพบุรุษของ k98
gewehr 98 ได้ถือกำเนิดโดยวิศวกรนักออกแบบชาวเยอรมันผู้เป็นตำนานอย่าง Paul Mauser วิศวกรผู้ที่คิดค้นระบบ bolt-action อันเป็นเอกลักษณ์ที่ต่อมาได้รับการขนานนามจากทั่วโลกว่ามันคือระบบ bolt-action ที่ดีที่สุดในโลก Gewehr 98 นั้นพัฒนามาจาก Gewehr 96 ผู้เป็นต้นแบบ Gewehr 98 ได้ออกสมรภูมิครั้งแรกในช่วงต้นทศวรรศ 1900 เมื่อกบฎนักมวยแห่งประเทศจีนได้ริอาจหารต่อต้านอำนาจจากตะวันตก สมรภูมินี้เองคือที่ๆมันได้พิสูจน์ตัวเองครั้งแรกและคือจุดเริ่มต้นของตำนานปืนไรเฟิล bolt-action ที่ดีที่สุดตลอดการแห่งสงครามโลกครั้งที่ 1 จนจวบไปถึง สงครามโลกครั้งทื่ 2 ที่ได้ k98 ได้สานต่อตำนานของมัน ทหารเยอรมันทุกคนต่างชอบมัน มันใช้ง่ายแม่นยำ ดูแลรักษาง่ายและมีอัตราการยิงซ้ำที่ทำได้เร็วเมื่อเทียบปืน bolt-action แบบอื่นๆ ระบบ bolt action ที่ได้รับการออกแบบมาอย่างดีปัญหาต่างๆที่มีในปืนไรเฟืล bolt-action แบบเก่าๆได้ถูกแก้ไขและออกแบบใหม่ น้ำหนักที่เบาและที่สำคัญมันมาพร้อมกับกระสุนแบบรุ่นใหม่ล่าสุดอย่างกระสุนขนาด 7.97x57 mm ที่มีพลังอำนาจในการทำลายล้างสูง ปืนไรเฟิลแบบ Gewehr 98 กว่า 500000 กระบอกได้ถูกสั่งซื้อจากกองทัพเยอรมันเพื่อพิสูจน์ถึงความสำเร็จของมัน ตัวปืนถึงกับไม่สามารถผลิตออกมาทีละมากๆได้ในช่วงแรกๆเพราะความประณีตและการออกแบบที่ละเอียดของมัน
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลง เยอรมันผู้พ่ายแพ้สงครามและเหล่าพันธมิตรของตัวเองนั้นสิ้นหวัง อาวุธสงครามแบบต่างๆที่เป็นจุดขายของเยอรมันเหมือนจะหยุดพัฒนาและจบลง จนกระทั่งเยอรมันได้ผู้นำคนใหม่ผู้ที่กลับมาชุบชีวิตเยอรมันให้กลับมาตื่นอีกครั้ง"อดอร์ฟ ฮิตเลอร์" ผู้นำผู้ที่นำเยอรมันกลับมามีชีวิตอีกครั้งเขาได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและความสวยงาม ความประณีตของปืนอย่าง gewehr 98 เขาได้สั่ง Heereswaffenamt หรือศูนย์วิจัยและพัฒนาอาวุธของเยอรมันให้นำตัวปืน gewehr 98 มาพัฒนาใหม่และดัดแปลงอีกครั้ง มันมีขนาดที่สั้นลงน้ำหนักที่เบาขึ้นมันได้ถูกตั้งชื่อว่า Karabiner 98 kurz หรือภาษาอังกฤษคือ carbine 98 short เพื่อจะสื่อว่ามันมีขนาดที่สั้นและมีความกระทัดรัดขึ้นเมื่อเทียบกับปืนไรเฟิลอย่าง gewehr 98 และปืนไรเฟิลกระบอกอื่นๆในยุคเดียวกัน ในปี 1935
k98 k
รายละเอียด
ถึงแม้กลไกหลักๆของมันแทบจะไม่ต่างกับของเก่าเลย(เพราะของเก่ามันก็ดีโคตรๆอยู่แล้ว)มันใช้กระสนุขนาด 7.92x57mm พร้อมลำกล้องยาว 23 นิ้วบรรจุกระสุนด้วยแหนบกระสุนจำนวน 5 นัด บรรจุกกระสุนโดยการดึง bolt ออกและดันแหนบกระสุนเข้าไป แกน bolt แบบตรงที่ใช้ใน Gewehr 98 ถูกแทนที่ด้วยแกน bolt แบบงอลงเพื่อให้จับง่ายขึ้นและสามารถทำการยิงซ้ำได้เร็วขึ้นตัว bolt มีตัวล็อคอยู่ 3 ตัว ตรงข้างหน้า bolt 2 ตัวและข้างหลัง bolt 1 ตัว ตัว bolt จะมีช่องไว้ระบายแก๊สเพื่อที่จะระบายไม่ให้แก๊สถูกหน้าผู้ยิง แต่จะระบายเข้าไปในส่วนของช่องใส่กระสุนแทน(อันนี้ไม่แน่ใจ) ตัว bolt นั้นมีความลื่นไหลไม่จำเป็นต้องใช้แรงมากก็สามารถดึง both ออกมาได้ ตัว safety ปืนจะอยู่ตรงหลังตัว both และมี 3 ตำแหน่งให้ปรับ ทางขวาคือ safe และ ล็อคตัว bolt ตรงกลางคือ safe และปลดล็อคตัว bolt ด้านซ้ายคือโหมดสำหรับพร้อมยิง
เซาะร่องสำหรับจับตัวปืนถูกเอาออกไปแทนที่ด้วยพื้นแบบเรียบๆแทน ตัวปืนมีที่สำหรับติดตั้งกล้องเล็งอยู่ตรงเหนือแกน bolt ตัวลำกล้องรองรับการติดตั้งดาบปลายปืนและเหนือตรงครงปืนด้านหน้ามีแกนเล็กๆยาวประมาณเกือบเท่าตัวลำกล้องปืนเสียบไว้อยู่ สำหรับเอาไว้ทำความสะอาดลำกล้องปืน ในส่วนที่เป็นโครงเหล็กของตัวปืนจะถูกเคลือบด้วย magnetite และ black oxide เพื่อกันสนิมและการกัดกร่อน และยังทาน้ำมันบางๆไว้กันไม่ให้เหล็กนั้นเปลียกชื้นมากจนเกินไป ศูนย์เล็งของปืนนั้นเป็นแบบศูนย์เปิดมีระยะปรับเล็งตั้งแต่ 100 ถึง 1000 เมตร ศูนย์หลังที่เซาะร่องไว้เป็นรูปตัว v ศูนย์หน้าที่เป็นศูนย์รูส่วนหนึ่งเพื่อลดอาการแสงจ้าบังไม่ให้เห็นตัวศูนย์และยังช่วยปกป้องตาคนยิงจากแสงในบางสถานการณ์ด้วย ด้วยศูนย์แบบมาตรฐานแบบนี้เองทำให้ตัวปืนสามารถเล็งได้ทั้งในสภาวะที่แสงน้อย-แสงเยอะ เล็งแบบรวดเร็วได้เป็นอย่างดีแต่มันก็มีข้อเสียคือมันเล็งเป้าหมายเล็กๆในระยะไกลได้ไม่ดีนัก เนื่องจากตัวศูนย์นั้นไปบังเป้าหมายพอดีทำให้เล็งลำบาก
ตัวโครงปืนนั้นทำจากไม้อัดให้ความแข็งแกร่งและทนทานต่อการกัดกร่อนสูงต่อมาก็ได้มีการนำไม้อัด plywood ที่ให้ความแข็งแกร่งและทนทานต่อการกัดกร่อนที่สูงกว่ามาทำอย่างไรก็ตามไม้อัดที่เอามาทำโครงปืนนั้นผู้ใหญ่ของกองทัพเยอรมันก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก เนื่องจากมันมีราคาแพงและน้ำหนักที่ค่อนข้างเยอะ ทำใหเในช่วงหลังตั้งแต่ปี 1943 ได้มีการเอาไม้ walnut และไม้ oak มาทำเนื่องจากมีราคาถูกและให้น้ำหนักที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับไม้อัด และยังมีการใช้ไม้ elm มาทำด้วยแต่มีจำนวนน้อย ด้ามจับปืน ในช่วงปี 1940 ได้มีการดัดแปลงติดตั้งแผ่นเหล็กตรงก้นพานท้ายปืนโดยจะเป็นแผ่นเหล็กกับพานท้ายแบบแยกออกจากกัน สามารถถอดออกได้
นอกจากตัวปืนจะยังสามารถดัดแปลงติดตั้งสายสะพายปืนได้แล้ว มันยังสามารถติดตั้งที่อุดลำกล้องปืนเพื่อกันสิ่งสกปรกเข้าไปเมื่อไม่ได้ใข้งาน มันยังสามารถติดดาบปลายปืนได้เหมือนกับปืนไรเฟิลทั่วๆไปในยุคนั้นมันยังมาพร้อมกับชุดทำความสะอาดตัวปืนแบบ Reinigungsgerät 34 ที่ผลิตในปี 1934 ประกอบด้วย กระปุกน้ำมันหล่อลื่นอันเล็กๆเอาไว้ทำความสะอาดตัวกลไกปืน โซ่เล็กๆเอาไว้ทำความสะอาดลำกล้อง แปรงทำความสะอาด 2 อันและเชื่อกไว้สำหรับทำความสะอาดชิ้นส่วนและลำกล้องปืน(อันนี้ไม่แน่ใจ)
ชุดอุปกร์ทำความสะอาดแบบ Reinigungsgerät 34
ตัวปืนสามารถติดตั้งเครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 30mm จากปากลำกล้องหรือที่เรียกว่า Schiessbecher ในภาษาเยอรมัน ซึ่งพัฒนามาตั้งแต่สงครามดลกครั้งที่ 1 ตัวเครื่องยิงลูกระเบิดสามารถใช้ได้ดีกับยานเกราะขนาดเบาและกองทหารราบขนาดย่อมๆ มีระยะหวังผล 300 เมตร โดยการจะยิงเครื่องยิงลูกระเบิดจำเป็นต้องใช้กระสุนแบบพิเศษที่มีแรงดันสุงจำนวน 1 นัดเพื่อทำการยิงเครื่องยิงลูกระเบิด ตัวเครื่องยิงลูกระเบิดเป็นแบบเล็งด้วยวิถีโค้งหรือ projectile ตัวปืนไรเฟิลยังเป็นปืนไรเฟิลแบบแรกๆของโลกด้วยที่สามารถติดปลอกเก็บเสียงได้ ปลอกเก็บเสียงแบบ hub 23 ถูกออกแบบเพื่อติดตั้งกับ k98 โดยเฉพาะๆสำหรับหน่วยรบพิเศษและพลซุ่มยิงของนาซีมันสามารถลดเสียงจากการยิงได้ถึง 75% เมื่อใช้กระสุนแบบ subsonic แบบ Nahpatrone ตัวกระสุนมีระยะหวังผล 300 เมตร
แต่ถึงอย่างไรก็ตามเจ้า k98 ก็คงยังมีข้อเสียไม่ต่างจากปืนไรเฟิล bolt แบบอื่นๆในสงครามคือมันมีขนาดที่ถือว่ายาวทำให้เกะกะเวลารบในเมือง เพราะในช่วงนั้นหลักนิยมในตอนนั้นยังนิยมเน้นไรเฟิลที่มีความแม่นยำสูงและมีระยะยิงไกลมันไม่ได้ออกแบบมาให้รบในตัวเมือง(ส่วนใหญ่ถ้ารบกันในพื้นที่แคบๆปืนกลมือจะมีบทบาทมากกว่าในช่วงนั้น) และด้วยที่ความที่มันเป็นปืนที่เป็นแบบ bolt-action ทำให้มันมีอัตราการยิงซ้ำที่ช้าถึงแม้มันจะออกแบบให้สามารถยิงซ้ำได้เร็วก็ตามแต่ก็ยังช้าอยู่ดี และแหนบกระสุนที่มีเพียง 5 นัดเมื่อเทียบกับปืนไรเฟิล Lee–Enfield ที่มีกระสุนถึง 10 นัด(ใช้แหนบ 2 อัน) เคยได้มีการทดลองด้วยการเพิ่มความ balance ระหว่างตัวปืนกับกระสุน โดยใช้กระสุนแบบแม็กกาซีนจำนวน 20 นัดแต่อย่างไรก็มันก็ไม่ค่อยจะเวิร์กเท่าไหร่นัก ทำให้สุดท้ายก็กลับมาใช้แหนบกระสุนแบบ 5 นัดเหมือนเดิม ด้วยแท็คติกของเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 พลทหารราบเยอรมันที่ถือ k98k จะวิ่งไปพร้อมกับพลปืนกลเยอรมันที่ถือ mg42 และในบางครั้งพลทหารที่ถือ k98k จะถือกล่องกระสุนสำหรับปืน mg 42 ติดตัวไปด้วยเพื่อเพิ่มจำนวนกระสุนที่พกไปในหมู่ทหารราบเยอรมัน โดยจะประสานอำนาจการของปืน k98k และ mg42 ด้วยกันและในบางครั้งยังมีหน้าที่ยิง cover ช่วยพลปืน mg 42 ของเยอรมันด้วย จนมาถึงในช่วงกลางสงคราม การปรากฎตัวของปืน m1 garand ของสหรัฐและ svt 40 ของโซเวียตที่เป็นแบบ semi-auto ที่มีอัตรายิงซ้ำที่เร็วกว่าปืน bolt-action อย่างมาก ทำให้เยอรมันพบว่าปืน k98k ของตนนั้นเริ่มล้าสมัยอย่างรวดอย่างเร็ว ทำให้เยอรมันเริ่มพัฒนาไรเฟิลแบบต่างๆเพื่อแก้ทางหลายรุ่นไม่ว่าจะเป็น gewehr 43 หรือ stg 44 ทำให้บทบาทของ k98k เริ่มหมดลงไป แต่อย่างไรก็ตามเจ้าปืน k98k ก็ยังคงเป็นปืนหลักของกองทัพนาซีเยอรมันไปจนจบสงครามโลกครั้งที่ 2
รุ่นต่างๆ
1.Kriegsmodell
เป็น k98k เวอร์ชั่นที่ผลิตลดต้นทุนในปี 1944 เป็นเวอร์ชั่นที่เน้นผลิตเยอะๆตัวล็อกสำหรับติดตั้งดาบปลายปืนพร้อมก้านทำความสะอาดลำกล้องปืนถูกถอดออกไป ฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็นของตัวปืนถูกตัดออกไปเกือบหมดเพื่อให้ผลิตได้เร็วและจำนวนเยอะๆ แต่อย่างไรก็ตาม Kriegsmodell ไม่ได้ผลิตออกมาทั้งหมด เนื่องจากยังมีบางโรงงานยังใช้วิธีการผลิตแบบเดิมๆอยู่
Kriegsmodell
2.k98k sniper
k98 สำหรับรุ่นซุ่มยิงโดยเฉพาะ โดยทางโรงงานจะคัดเอา k98k ที่มีอัตราการยิงที่แม่นยำที่สุดแยกไว้อีกต่างหากเพื่อพลซุ่มยิงโดยเฉพาะๆ ตัวปืนมาพร้อมกับกล้องแบบ Zeiss Zielvier ขนาดกำลังขยาย 4x ตัวกล้องมีระยะปรับเล็งตั้งแต่ 100-800 เมตร หรือจะไปติดตั้งกล้องเล็งแบบ Zielsechs 6x หรือแบบ 8x หรือจะเป็นกล้องเล็งแบบ Hensoldt Dialytan และ Kahles Heliavier กำลังขยาย 4x ซึ่งตัวปืนมีกล้องเล็งหลายแบบให้ใช้ตามโรงงานแบบต่างๆในเยอรมัน แต่อย่างไรก็ดีเจ้า k98k นั้นเดิมทีมันก็ไม่ได้ออกแบบมาให้ติดกล้องเล็งพวกนี้อยฦู่แล้วทำให้มันจะมีปัญหาเล็กๆน้อยๆ คือการติดตัวกล้องเล้งนั้นไม่สามารถทำด้วยมือแต่ต้องทำด้วยเครื่องจักรมาจากโรงงานซึ่งยุ่งยากและไม่คล่องตัว ช่องว่างระหว่างตัวปืนกับช่องดีดกระสุนนั้นมีน้อยเกินไป และทำให้มีเวลาปัญเวลาเข้า safety ตัวปืน ซึ่งทางโรงงานของเยอรมันแก้ปัญหาด้วยการติดกล้องให้สูงขึ้นจากตัวปืนขึ้นไปอีก หรือบางทีโดยการติดตั้งตัวขาวางกล้องอีกข้างแทน ตัวก้นพานท้ายถูกออกแบบใหม่ให้มีความนุ่มนวลกับผู้ใช้
k98k sniper
3.k98k Paratrooper
k98k ที่ถูกออกแบบมาสำหรับหน่วลพลร่มเยอรมันที่ต้องการความคล่องตัวโดยเฉพาะ ส่วนหนึ่งเพราะ k98k แบบเก่านั้นมีขนาดยาวเกินไปซึ่งมันเกะกะเวลาโดดลงจากเครื่องบิน ตัวลำกล้องจึงถูกตัดให้สั้นลง มาพร้อมกับพานท้ายที่พับเก็บได้และลำกล้องที่สามารถถอดเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว
k98k Paratrooper
4.g40k
k98k แบบพิเศษที่ถูกตัดลำกล้องลงเหลือ 19 นิ้ว ตัวปืนถูกร่างแบบศึกษาในปี 1935 และผลิตออกมาจริงๆในปี 1941 ที่ Mauser Oberndorf
g40k
รายละเอียดโดยรวม
ประทศผู้ผลิต: เยอรมัน
ขนาดกระสุน: 7.97x57 mm
อัตราการยิง: 10-20 นัด/นาที
ความยาวลำกล้อง: 24 นิ้ว(k98), 19 นิ้ว(g40k)
น้ำหนัก: 4kg
ระยะหวังผล: 600 เมตร
อ้างอิง
https://en.wikipedia.org/wiki/Karabiner_98k
http://www.imfdb.org/wiki/Karabiner_98k
http://www.militaryfactory.com/smallarms/detail.asp?smallarms_id=49
http://world.guns.ru/rifle/repeating-rifle/de/mauser-9-e.html
https://www.youtube.com/watch?v=ftJ4L4KKAJg
อย่าลืมกดถูกใจและกดโหวตกระทู้ จขกท.จะเป็นการให้กำลังใจ จขกท.อย่างดีครับ
Karabiner 98k ไรเฟิล bolt-action ผู้เป็นตำนานแห่งสงครามโลกครั้งที่ 2
ถ้าหากจะพูดถึงประวัติของปืนไรเฟิล k98k ปืนไรเฟิล bolt-action ที่ดี่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 2 ระบบลูกเลื่อนของมันได้รับการยอมรับว่ามีความแม่นยำ-ดูและรักษาง่ายและทนทาน เราคงต้องย้อนไปในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ในช่วงปี 1898 เมื่อบรรพบุรุษของมันอย่าง Gewehr 98 ปืนไรเฟิลผู้เป็นเหมือนบรรพบุรุษของมันได้ถือกำเนิดขึ้น
gewehr 98 บรรพบุรุษของ k98
gewehr 98 ได้ถือกำเนิดโดยวิศวกรนักออกแบบชาวเยอรมันผู้เป็นตำนานอย่าง Paul Mauser วิศวกรผู้ที่คิดค้นระบบ bolt-action อันเป็นเอกลักษณ์ที่ต่อมาได้รับการขนานนามจากทั่วโลกว่ามันคือระบบ bolt-action ที่ดีที่สุดในโลก Gewehr 98 นั้นพัฒนามาจาก Gewehr 96 ผู้เป็นต้นแบบ Gewehr 98 ได้ออกสมรภูมิครั้งแรกในช่วงต้นทศวรรศ 1900 เมื่อกบฎนักมวยแห่งประเทศจีนได้ริอาจหารต่อต้านอำนาจจากตะวันตก สมรภูมินี้เองคือที่ๆมันได้พิสูจน์ตัวเองครั้งแรกและคือจุดเริ่มต้นของตำนานปืนไรเฟิล bolt-action ที่ดีที่สุดตลอดการแห่งสงครามโลกครั้งที่ 1 จนจวบไปถึง สงครามโลกครั้งทื่ 2 ที่ได้ k98 ได้สานต่อตำนานของมัน ทหารเยอรมันทุกคนต่างชอบมัน มันใช้ง่ายแม่นยำ ดูแลรักษาง่ายและมีอัตราการยิงซ้ำที่ทำได้เร็วเมื่อเทียบปืน bolt-action แบบอื่นๆ ระบบ bolt action ที่ได้รับการออกแบบมาอย่างดีปัญหาต่างๆที่มีในปืนไรเฟืล bolt-action แบบเก่าๆได้ถูกแก้ไขและออกแบบใหม่ น้ำหนักที่เบาและที่สำคัญมันมาพร้อมกับกระสุนแบบรุ่นใหม่ล่าสุดอย่างกระสุนขนาด 7.97x57 mm ที่มีพลังอำนาจในการทำลายล้างสูง ปืนไรเฟิลแบบ Gewehr 98 กว่า 500000 กระบอกได้ถูกสั่งซื้อจากกองทัพเยอรมันเพื่อพิสูจน์ถึงความสำเร็จของมัน ตัวปืนถึงกับไม่สามารถผลิตออกมาทีละมากๆได้ในช่วงแรกๆเพราะความประณีตและการออกแบบที่ละเอียดของมัน
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลง เยอรมันผู้พ่ายแพ้สงครามและเหล่าพันธมิตรของตัวเองนั้นสิ้นหวัง อาวุธสงครามแบบต่างๆที่เป็นจุดขายของเยอรมันเหมือนจะหยุดพัฒนาและจบลง จนกระทั่งเยอรมันได้ผู้นำคนใหม่ผู้ที่กลับมาชุบชีวิตเยอรมันให้กลับมาตื่นอีกครั้ง"อดอร์ฟ ฮิตเลอร์" ผู้นำผู้ที่นำเยอรมันกลับมามีชีวิตอีกครั้งเขาได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและความสวยงาม ความประณีตของปืนอย่าง gewehr 98 เขาได้สั่ง Heereswaffenamt หรือศูนย์วิจัยและพัฒนาอาวุธของเยอรมันให้นำตัวปืน gewehr 98 มาพัฒนาใหม่และดัดแปลงอีกครั้ง มันมีขนาดที่สั้นลงน้ำหนักที่เบาขึ้นมันได้ถูกตั้งชื่อว่า Karabiner 98 kurz หรือภาษาอังกฤษคือ carbine 98 short เพื่อจะสื่อว่ามันมีขนาดที่สั้นและมีความกระทัดรัดขึ้นเมื่อเทียบกับปืนไรเฟิลอย่าง gewehr 98 และปืนไรเฟิลกระบอกอื่นๆในยุคเดียวกัน ในปี 1935
k98 k
รายละเอียด
ถึงแม้กลไกหลักๆของมันแทบจะไม่ต่างกับของเก่าเลย(เพราะของเก่ามันก็ดีโคตรๆอยู่แล้ว)มันใช้กระสนุขนาด 7.92x57mm พร้อมลำกล้องยาว 23 นิ้วบรรจุกระสุนด้วยแหนบกระสุนจำนวน 5 นัด บรรจุกกระสุนโดยการดึง bolt ออกและดันแหนบกระสุนเข้าไป แกน bolt แบบตรงที่ใช้ใน Gewehr 98 ถูกแทนที่ด้วยแกน bolt แบบงอลงเพื่อให้จับง่ายขึ้นและสามารถทำการยิงซ้ำได้เร็วขึ้นตัว bolt มีตัวล็อคอยู่ 3 ตัว ตรงข้างหน้า bolt 2 ตัวและข้างหลัง bolt 1 ตัว ตัว bolt จะมีช่องไว้ระบายแก๊สเพื่อที่จะระบายไม่ให้แก๊สถูกหน้าผู้ยิง แต่จะระบายเข้าไปในส่วนของช่องใส่กระสุนแทน(อันนี้ไม่แน่ใจ) ตัว bolt นั้นมีความลื่นไหลไม่จำเป็นต้องใช้แรงมากก็สามารถดึง both ออกมาได้ ตัว safety ปืนจะอยู่ตรงหลังตัว both และมี 3 ตำแหน่งให้ปรับ ทางขวาคือ safe และ ล็อคตัว bolt ตรงกลางคือ safe และปลดล็อคตัว bolt ด้านซ้ายคือโหมดสำหรับพร้อมยิง
เซาะร่องสำหรับจับตัวปืนถูกเอาออกไปแทนที่ด้วยพื้นแบบเรียบๆแทน ตัวปืนมีที่สำหรับติดตั้งกล้องเล็งอยู่ตรงเหนือแกน bolt ตัวลำกล้องรองรับการติดตั้งดาบปลายปืนและเหนือตรงครงปืนด้านหน้ามีแกนเล็กๆยาวประมาณเกือบเท่าตัวลำกล้องปืนเสียบไว้อยู่ สำหรับเอาไว้ทำความสะอาดลำกล้องปืน ในส่วนที่เป็นโครงเหล็กของตัวปืนจะถูกเคลือบด้วย magnetite และ black oxide เพื่อกันสนิมและการกัดกร่อน และยังทาน้ำมันบางๆไว้กันไม่ให้เหล็กนั้นเปลียกชื้นมากจนเกินไป ศูนย์เล็งของปืนนั้นเป็นแบบศูนย์เปิดมีระยะปรับเล็งตั้งแต่ 100 ถึง 1000 เมตร ศูนย์หลังที่เซาะร่องไว้เป็นรูปตัว v ศูนย์หน้าที่เป็นศูนย์รูส่วนหนึ่งเพื่อลดอาการแสงจ้าบังไม่ให้เห็นตัวศูนย์และยังช่วยปกป้องตาคนยิงจากแสงในบางสถานการณ์ด้วย ด้วยศูนย์แบบมาตรฐานแบบนี้เองทำให้ตัวปืนสามารถเล็งได้ทั้งในสภาวะที่แสงน้อย-แสงเยอะ เล็งแบบรวดเร็วได้เป็นอย่างดีแต่มันก็มีข้อเสียคือมันเล็งเป้าหมายเล็กๆในระยะไกลได้ไม่ดีนัก เนื่องจากตัวศูนย์นั้นไปบังเป้าหมายพอดีทำให้เล็งลำบาก
ตัวโครงปืนนั้นทำจากไม้อัดให้ความแข็งแกร่งและทนทานต่อการกัดกร่อนสูงต่อมาก็ได้มีการนำไม้อัด plywood ที่ให้ความแข็งแกร่งและทนทานต่อการกัดกร่อนที่สูงกว่ามาทำอย่างไรก็ตามไม้อัดที่เอามาทำโครงปืนนั้นผู้ใหญ่ของกองทัพเยอรมันก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก เนื่องจากมันมีราคาแพงและน้ำหนักที่ค่อนข้างเยอะ ทำใหเในช่วงหลังตั้งแต่ปี 1943 ได้มีการเอาไม้ walnut และไม้ oak มาทำเนื่องจากมีราคาถูกและให้น้ำหนักที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับไม้อัด และยังมีการใช้ไม้ elm มาทำด้วยแต่มีจำนวนน้อย ด้ามจับปืน ในช่วงปี 1940 ได้มีการดัดแปลงติดตั้งแผ่นเหล็กตรงก้นพานท้ายปืนโดยจะเป็นแผ่นเหล็กกับพานท้ายแบบแยกออกจากกัน สามารถถอดออกได้
นอกจากตัวปืนจะยังสามารถดัดแปลงติดตั้งสายสะพายปืนได้แล้ว มันยังสามารถติดตั้งที่อุดลำกล้องปืนเพื่อกันสิ่งสกปรกเข้าไปเมื่อไม่ได้ใข้งาน มันยังสามารถติดดาบปลายปืนได้เหมือนกับปืนไรเฟิลทั่วๆไปในยุคนั้นมันยังมาพร้อมกับชุดทำความสะอาดตัวปืนแบบ Reinigungsgerät 34 ที่ผลิตในปี 1934 ประกอบด้วย กระปุกน้ำมันหล่อลื่นอันเล็กๆเอาไว้ทำความสะอาดตัวกลไกปืน โซ่เล็กๆเอาไว้ทำความสะอาดลำกล้อง แปรงทำความสะอาด 2 อันและเชื่อกไว้สำหรับทำความสะอาดชิ้นส่วนและลำกล้องปืน(อันนี้ไม่แน่ใจ)
ชุดอุปกร์ทำความสะอาดแบบ Reinigungsgerät 34
ตัวปืนสามารถติดตั้งเครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 30mm จากปากลำกล้องหรือที่เรียกว่า Schiessbecher ในภาษาเยอรมัน ซึ่งพัฒนามาตั้งแต่สงครามดลกครั้งที่ 1 ตัวเครื่องยิงลูกระเบิดสามารถใช้ได้ดีกับยานเกราะขนาดเบาและกองทหารราบขนาดย่อมๆ มีระยะหวังผล 300 เมตร โดยการจะยิงเครื่องยิงลูกระเบิดจำเป็นต้องใช้กระสุนแบบพิเศษที่มีแรงดันสุงจำนวน 1 นัดเพื่อทำการยิงเครื่องยิงลูกระเบิด ตัวเครื่องยิงลูกระเบิดเป็นแบบเล็งด้วยวิถีโค้งหรือ projectile ตัวปืนไรเฟิลยังเป็นปืนไรเฟิลแบบแรกๆของโลกด้วยที่สามารถติดปลอกเก็บเสียงได้ ปลอกเก็บเสียงแบบ hub 23 ถูกออกแบบเพื่อติดตั้งกับ k98 โดยเฉพาะๆสำหรับหน่วยรบพิเศษและพลซุ่มยิงของนาซีมันสามารถลดเสียงจากการยิงได้ถึง 75% เมื่อใช้กระสุนแบบ subsonic แบบ Nahpatrone ตัวกระสุนมีระยะหวังผล 300 เมตร
แต่ถึงอย่างไรก็ตามเจ้า k98 ก็คงยังมีข้อเสียไม่ต่างจากปืนไรเฟิล bolt แบบอื่นๆในสงครามคือมันมีขนาดที่ถือว่ายาวทำให้เกะกะเวลารบในเมือง เพราะในช่วงนั้นหลักนิยมในตอนนั้นยังนิยมเน้นไรเฟิลที่มีความแม่นยำสูงและมีระยะยิงไกลมันไม่ได้ออกแบบมาให้รบในตัวเมือง(ส่วนใหญ่ถ้ารบกันในพื้นที่แคบๆปืนกลมือจะมีบทบาทมากกว่าในช่วงนั้น) และด้วยที่ความที่มันเป็นปืนที่เป็นแบบ bolt-action ทำให้มันมีอัตราการยิงซ้ำที่ช้าถึงแม้มันจะออกแบบให้สามารถยิงซ้ำได้เร็วก็ตามแต่ก็ยังช้าอยู่ดี และแหนบกระสุนที่มีเพียง 5 นัดเมื่อเทียบกับปืนไรเฟิล Lee–Enfield ที่มีกระสุนถึง 10 นัด(ใช้แหนบ 2 อัน) เคยได้มีการทดลองด้วยการเพิ่มความ balance ระหว่างตัวปืนกับกระสุน โดยใช้กระสุนแบบแม็กกาซีนจำนวน 20 นัดแต่อย่างไรก็มันก็ไม่ค่อยจะเวิร์กเท่าไหร่นัก ทำให้สุดท้ายก็กลับมาใช้แหนบกระสุนแบบ 5 นัดเหมือนเดิม ด้วยแท็คติกของเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 พลทหารราบเยอรมันที่ถือ k98k จะวิ่งไปพร้อมกับพลปืนกลเยอรมันที่ถือ mg42 และในบางครั้งพลทหารที่ถือ k98k จะถือกล่องกระสุนสำหรับปืน mg 42 ติดตัวไปด้วยเพื่อเพิ่มจำนวนกระสุนที่พกไปในหมู่ทหารราบเยอรมัน โดยจะประสานอำนาจการของปืน k98k และ mg42 ด้วยกันและในบางครั้งยังมีหน้าที่ยิง cover ช่วยพลปืน mg 42 ของเยอรมันด้วย จนมาถึงในช่วงกลางสงคราม การปรากฎตัวของปืน m1 garand ของสหรัฐและ svt 40 ของโซเวียตที่เป็นแบบ semi-auto ที่มีอัตรายิงซ้ำที่เร็วกว่าปืน bolt-action อย่างมาก ทำให้เยอรมันพบว่าปืน k98k ของตนนั้นเริ่มล้าสมัยอย่างรวดอย่างเร็ว ทำให้เยอรมันเริ่มพัฒนาไรเฟิลแบบต่างๆเพื่อแก้ทางหลายรุ่นไม่ว่าจะเป็น gewehr 43 หรือ stg 44 ทำให้บทบาทของ k98k เริ่มหมดลงไป แต่อย่างไรก็ตามเจ้าปืน k98k ก็ยังคงเป็นปืนหลักของกองทัพนาซีเยอรมันไปจนจบสงครามโลกครั้งที่ 2
รุ่นต่างๆ
1.Kriegsmodell
เป็น k98k เวอร์ชั่นที่ผลิตลดต้นทุนในปี 1944 เป็นเวอร์ชั่นที่เน้นผลิตเยอะๆตัวล็อกสำหรับติดตั้งดาบปลายปืนพร้อมก้านทำความสะอาดลำกล้องปืนถูกถอดออกไป ฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็นของตัวปืนถูกตัดออกไปเกือบหมดเพื่อให้ผลิตได้เร็วและจำนวนเยอะๆ แต่อย่างไรก็ตาม Kriegsmodell ไม่ได้ผลิตออกมาทั้งหมด เนื่องจากยังมีบางโรงงานยังใช้วิธีการผลิตแบบเดิมๆอยู่
Kriegsmodell
2.k98k sniper
k98 สำหรับรุ่นซุ่มยิงโดยเฉพาะ โดยทางโรงงานจะคัดเอา k98k ที่มีอัตราการยิงที่แม่นยำที่สุดแยกไว้อีกต่างหากเพื่อพลซุ่มยิงโดยเฉพาะๆ ตัวปืนมาพร้อมกับกล้องแบบ Zeiss Zielvier ขนาดกำลังขยาย 4x ตัวกล้องมีระยะปรับเล็งตั้งแต่ 100-800 เมตร หรือจะไปติดตั้งกล้องเล็งแบบ Zielsechs 6x หรือแบบ 8x หรือจะเป็นกล้องเล็งแบบ Hensoldt Dialytan และ Kahles Heliavier กำลังขยาย 4x ซึ่งตัวปืนมีกล้องเล็งหลายแบบให้ใช้ตามโรงงานแบบต่างๆในเยอรมัน แต่อย่างไรก็ดีเจ้า k98k นั้นเดิมทีมันก็ไม่ได้ออกแบบมาให้ติดกล้องเล็งพวกนี้อยฦู่แล้วทำให้มันจะมีปัญหาเล็กๆน้อยๆ คือการติดตัวกล้องเล้งนั้นไม่สามารถทำด้วยมือแต่ต้องทำด้วยเครื่องจักรมาจากโรงงานซึ่งยุ่งยากและไม่คล่องตัว ช่องว่างระหว่างตัวปืนกับช่องดีดกระสุนนั้นมีน้อยเกินไป และทำให้มีเวลาปัญเวลาเข้า safety ตัวปืน ซึ่งทางโรงงานของเยอรมันแก้ปัญหาด้วยการติดกล้องให้สูงขึ้นจากตัวปืนขึ้นไปอีก หรือบางทีโดยการติดตั้งตัวขาวางกล้องอีกข้างแทน ตัวก้นพานท้ายถูกออกแบบใหม่ให้มีความนุ่มนวลกับผู้ใช้
k98k sniper
3.k98k Paratrooper
k98k ที่ถูกออกแบบมาสำหรับหน่วลพลร่มเยอรมันที่ต้องการความคล่องตัวโดยเฉพาะ ส่วนหนึ่งเพราะ k98k แบบเก่านั้นมีขนาดยาวเกินไปซึ่งมันเกะกะเวลาโดดลงจากเครื่องบิน ตัวลำกล้องจึงถูกตัดให้สั้นลง มาพร้อมกับพานท้ายที่พับเก็บได้และลำกล้องที่สามารถถอดเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว
k98k Paratrooper
4.g40k
k98k แบบพิเศษที่ถูกตัดลำกล้องลงเหลือ 19 นิ้ว ตัวปืนถูกร่างแบบศึกษาในปี 1935 และผลิตออกมาจริงๆในปี 1941 ที่ Mauser Oberndorf
g40k
รายละเอียดโดยรวม
ประทศผู้ผลิต: เยอรมัน
ขนาดกระสุน: 7.97x57 mm
อัตราการยิง: 10-20 นัด/นาที
ความยาวลำกล้อง: 24 นิ้ว(k98), 19 นิ้ว(g40k)
น้ำหนัก: 4kg
ระยะหวังผล: 600 เมตร
อ้างอิง
https://en.wikipedia.org/wiki/Karabiner_98k
http://www.imfdb.org/wiki/Karabiner_98k
http://www.militaryfactory.com/smallarms/detail.asp?smallarms_id=49
http://world.guns.ru/rifle/repeating-rifle/de/mauser-9-e.html
https://www.youtube.com/watch?v=ftJ4L4KKAJg
อย่าลืมกดถูกใจและกดโหวตกระทู้ จขกท.จะเป็นการให้กำลังใจ จขกท.อย่างดีครับ