สวัสดีค่ะ เราเป็นคนที่เชื่อเรื่องโลกหลังความตายมากๆเลยค่ะ(ความเชื่อส่วนบุคคล) บางคนอาจคิดว่างมงาย ไร้สาระ แต่สำหรับคนที่ได้พบเห็นคือมันก็เป็นเรื่องอธิบายยากที่จะบอกคนอื่นให้รับรู้เมื่อเขาไม่ได้เห็นในสิ่งที่เราเห็น เข้าเรื่องเลยนะคะ คือเราเห็นผีมาตั้งแต่เด็กแต่พอโตขึ้นก็จะไม่ค่อยเห็นจะมีบ้างเป็นครั้งคราว อาจไม่หลอนหรือไม่น่ากลัวค่ะ
เรื่องแรก ผีครู
เราเป็นคนต่างจังหวัดค่ะติดชายแดนลาวเป็นเมืองที่ต้องตั้งใจไปถึงจะไปถึง สมัยเด็กๆไม่มีความเจริญใดๆทั้งสิ้นอย่างดีมีแค่ห้างท้องถิ่นของจังหวัดที่บ้านเราเลี้ยงผีค่ะ เรียกว่า ผีครู ผีครูเนี่ยปู่จำปั้นข้าวเหนียวขึ้นไปวางบนหิ้งทุกวันแล้วเติมน้ำมีลักษณะเป็นกล่องกลมๆสีดำๆมีการแกะสลักลงรักทาชาด(ลักษณะคล้ายๆในรูปแต่ผนังกล่องเป็นไม้ซี่ๆมองทะลุเข้าไปข้างในได้ ขออณุญาติยืมรูปจากเน็ตค่ะ)
มีซึ่งไม่รู้ว่าข้างในเป็นอะไรจำได้ตั้งแต่เด็กแม่จะบอกเสมอว่าอย่าเล่นหัวปู่ อย่าขึ้นเตียงปู่ อย่าปีนหิ้งผี เราทำหมดเลยค่ะผลที่ตามมาคือเราเข้าบ้านไม่ได้อยู่ไม่ได้เลย เข้ามาแล้วต้องออกไปนอนที่กองทรายหน้าบ้านแม่กับพ่อไปตามเข้าบ้านมากี่ครั้งก็วิ่งออกไปนอนที่เดิมแม่บอกว่าเหมือนต้องไปขอผีครูหลังจากนั้นเราก็เข้าบ้านได้ค่ะ เรื่องนี้เราจำไม่ได้แต่ทุกคนในครอบครัวรู้หมดเลยค่ะ
เรื่องที่สอง เล่นซ่อนหาตอนกลางคืนที่งานศพ
ประมาณ ป.2 คนที่หมู่บ้านเสียชีวิตแม่ก็ไปช่วยงานศพค่ะ คนในหมู่บ้านอยู่กันคล้ายๆพี่น้อง บ้านหลังนั้นเป็นพี่หนังนู้นเหมือนแบบลุงป้าน้าอาแยกออกมามีครอบครัวกันก็จริงแต่ยังสร้างบ้านอยู่ติดๆกันค่ะ แม่พาเราไปด้วย แม่ไปช่วยที่หลังครัวแล้วปล่อยให้เราเล่นกับเด็กๆในหมู่บ้าน ทีแรกก็เล่นวิ่งไล่จับกันจนกระทั้งวิ่งกันจนเหนื่อยอยากเล่นอย่างอื่นบ้าง เราก็เป็นตัวตั้งตัวตีเลยค่ะ ซ่อนหา ตอนนั้นจำได้ว่าอยากเล่นมากเพื่อนๆก็เออออเล่นกัน แถวๆนั้นเป็นสุดซอยบ้านทุกหลังเดินทะลุผ่านไปมาได้ ใกล้ๆประมาณ 50 เมตร มีสนามเด็กเล่นเก่าๆโทรมๆเครื่องเล่นขึ้นสนิม มีไฟดวงสองดวงสลัวๆ กลางสนามเด็กเล่นนั้นเป็นต้นโพธิ์ต้นใหญ่ลานเป็นดินแดง ต้นหญ้าขึ้นสูงประมาณเอว ตานั้นเราได้เป็นคนซ่อนค่ะเราวิ่งหนีออกมาคนเดียวตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าต้องชนะ คนอื่นๆก็จะซ่อนอยู่แถวๆบ้านงาน มีแต่เราทีออกมาตรงสนามเด็กเล่น ช่วงนั้นประมาณสามทุ่มแถวนั้นเงียบเลยค่ะ มีแต่เสียงแมลงนานๆทีจะมีรถผ่าน เราเลือกเข้าไปนั่งหมอบตรงใต้ต้นโพธิ์หญ้าก็สูงมืดด้วย เราคิดว่าไกลแบบนี้แหละหาไม่เจอแน่นอน นั่งคนเดียวอยู่นานค่ะ นานมากๆไม่มีคน ไม่มีใคร มีแต่เรา พอมันนานๆมากเข้าเราก็เริ่มมองไปรอบๆใจก็เริ่มกลัว มันแบบหวิวๆเสียวสันหลังวาบๆ เราเงยหน้ามองขึ้นไปบนต้นโพธิ์ เห็น ผญนั่งอยู่บนกิ่งต้นโพธิ์ ผมยาวเขาก้มหน้ามองลงมาที่เราหน้านิ่งๆ ตาก็กลัวและตกใจ จ้องมองผสานดวงตาเค้าเลยค่ะ มันขยับทำอะไรไม่ได้เลยตอนนั้นคือจะร้องไห้ ในใจคิดถึงแม่ พอขยับตัวได้ก็กรี๊ดแล้ววิ่งออกมาไปหาแม่ที่บ้านงาน ตอนนั้นไม่กล้าที่จะปริปากบอกใครเลย เก็บเงียบไว้คนเดียว แล้วร้องไห้กลับบ้าน หลังจากนั้นมาก็เหมือนได้ยินคนแก่แถวนั้นเค้าพูดว่าเมื่อก่อนมีผู้หญิงมาผูกคอตายที่ต้นโพธิ์นั้นไม่รู้ว่าเป็นใครเลยฝังศพไว้ที่ใต้ต้นโพธิ์นั่นแหละค่ะ ปัจจุบันก็ไม่กล้าที่จะไปเหยียบที่ตรงนั้นอีกเลยค่ะ
เรื่องที่สาม เหม่อ
ที่บ้านค่ะ หลังจากกินข้าวเสร็จเราก็ขึ้นไปอาบน้ำสระผมบนบ้านเราก็ยืนหวีผมอยู่ที่ตู้เสื้อผ้าค่ะ ตู้เสื้อผ้าเวลาเปิดจะมีกระจกอยู่ตรงประตู พอเปิดประตูกระจกก็จะส่องไปที่ห้องน้ำ เป็นลักษณะห้องนอนสองห้องที่มีห้องน้ำเป็นทางเชื่อมระหว่างสองห้องค่ะ เราก็หวีผมอยู่นานตาก็จ้องกระจกจากจ้องหน้าตัวเองก็เบนสายตาไปที่ห้องน้ำมืดๆข้างหลัง ตอนนั้นไม่รู้ตัวเองได้ค่ะเหมือนมันหลุดไปเลยมือก็หวีผมอยู่ที่เดิมซ้ำๆซักพักก็หยุดตอนนั้นเรารู้ตัวเองค่ะ รู้สึกตัวดีสายตาเรามองทะลุเข้าไปเหมือนเหม่ออยู่แบบนั้นจะละสายตาก็ไม่ได้ เราเห็นมีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่กลางห้องน้ำ ไม่มีหน้า ลอยอยู่ใส่ชุดสีขาว ผมยาวแบบสยายเต็มห้องน้ำเลยค่ะพุ่งเข้ามาหาที่ตัวเราสายตาเราเห็นชัดแจ้งทุกอย่างแต่ขยับตัวไม่ได้ เธอพุ่งทะลุผ่านตัวเราไป ขนลุกตัวชาวาบไปทั้งตัวเลยค่ะ พอเธอหายไปเราก็วิ่งลงมาด้านล่างไปกรี๊ดไม่อะไรทั้งสิ้น แต่บอกแม่ว่าผีหลอก แม่หัวเราะค่ะบอกเราว่าไม่มีอะไร เราก็คิดว่าไม่มีอะไรแต่วันต่อมาคือ แบบเดิมเลยค่ะ อาบน้ำแล้วหวีผมอยู่ที่เดิมไม่คิดอะไรเหมือนพยายามลืมๆเรื่องเมื่อวานไปอยู่ๆหนังสือเตรียมสอบของพี่ก็ตกลงมาเฉี่ยวหลังเราไปนิดเดียวดังปั้ง เราก็ตกใจแบบเอาอีกแล้วหรอคือแต่บอกใครไม่ได้ไงแม่ก็บอกว่าคิดไปเองอีก คือบนตู้จะมีหนังสือเตรียมสอบของพี่เล่นหนาประมาณสองนิ้วครึ่งเล่มเดียวคือเราจำได้ว่ามันอยู่ในสุดของตู้เลยก่อนอาบน้ำก็ไม่มีหนังสืออะไรโผล่ออกมาจากหลังตู้เลยด้วยซ้ำคือเป็นไปได้ไหมที่มันจะตกลงมาเองแต่ตอนนั้นเราก็แบบยังก้มลงไปเก็บหนังสือแล้วปีนเอาไปวางที่เดิม
เรื่องที่สี่ ห้อยหัว
เป็นคนชอบนอนห้อยหัวค่ะ ห้อยลงมาที่ปลายเตียงนอนเล่นอะไรบางทีไม่มีอะไรทำก็นอนห้อยหัว จากการที่ชอบนอนห้อยหัวนี่แหละค่ะ ทำให้ได้เห็นอยู่สองครั้ง ครั้งแรกห้อยหัวที่หน้าบ้าน ที่บ้านจะมีม้านั่งยาวเราก็เอาเท้าขัดกับที่พักเท้าไว้แล้วห้อยหัวลงมาช่วงนั้นเป็นช่วงหลังจากที่ย่าเราเสียได้ไม่นาน เราห้อยหัวแล้วก็เหม่อค่ะ เหม่ออีกแล้วค่ะ มองอะไรไปเรื่อยซักพักก็เหม่อมองลอดใต้ท้องรถไป เราเห็นเป็นเท้าคนเดินไม่ใส่รองเท้าใส่ซิ่นสีขาวเหนือตาตุ่มเล็กน้อยค่อยๆเดินผ่านหน้ารถไปค่ะ คือนึกว่าเป็นคนในบ้านแต่วั้นนั้นก็ไม่มีใครใส่ซิ่นเลยแม้แต่คนเดียว และหน้ารถเป็นกำแพงค่ะ
ครั้งที่สองนี่ก็ห้อยหัวในบ้านค่ะ ปลายเตียง นอนอ่านหนังสือสอบเข้าโรงเรียนมัธยม เบื่อๆก็เลยพัก ห้อยหัวลงมามองบ้านไปเรื่อยแหละค่ะลักษณะบ้านคือเป็นบ้านแบบ ชั้นแรกอยู่ซ้ายมือชั้นสองอยู่ขวามือ ชั้นสามอยู่ซ้ายมือ ชั้นสองเนี่ยปกติแม่จะเอาไว้จัดงาน ตั้งศพ ทำบุญบ้าน สู่ขวัญ ฉลองปีใหม่ก็ชั้นนี้แหละค่ะ ระยะหลังแม่เอาเตียงนอนมาตั้งไว้ตรงนี้ให้เรานอนคือชั้นสองทั้งชั้นเป็นห้องนอนเราเลยค่ะแต่ไม่มีที่กั้นห้องเท้าก็ชี้ไปทางบันได พอเราห้อยหัวลงก็จะหันไปทางบันไดบ้านเห็นชั้นหนึ่งครั้งนี้ไม่เหม่ออะไรเลยค่ะ ปกติทุกอย่างมองไปเรื่อย เห็นเงาดำๆใหญ่ๆเดินผ่านหน้าเราไปไวๆที่ชั้นหนึ่งตอนนั้นคือก็ไม่ตกใจอะไรแล้วปล่อยผ่านไปเฉยๆค่ะ
เรื่องที่ห้า บ้านร้างหลังนั้นเค้าเล่นของ
หลังจากที่เราสอบเข้าโรงเรียนมัธยมได้เรียนอยู่ได้ปีเดียวก็ต้องย้ายมาเรียนอีกจังหวัดค่ะ ช่วงสมัย ม.4 เรียนพิเศษเลิกค่ำ สองทุ่มเราก็ขับรถกลับบ้านเอง ทางที่จะถึงบ้านเรามีสามทางค่ะ ทางแรก ป่าช้าศาลเจ้าแม่ตะเคียน(คือเป็นทางแบบตัดผ่านป่าช้าเลยค่ะ) ทางที่สองบ้านร้างทางเปลี่ยวไม่มีไฟ ทางที่สามมาทางหน้าค่ายทหารเป็นบ้านร้างที่เจ้าของบ้านหลังนั้นเค้าแบบเล่นของอะไรพวกนี้ค่ะ แต่ปล่องร้างเพราะเจ้าของบ้านตายแล้ว(เรากลับทางนี้บ่อยที่สุด) คือวันนั้นกลับบ้านปกติ แต่เวลาผ่านบ้านหลังนี้เราจะแบบพยายามหรีตาลงให้เล็กที่สุดแล้วไม่มองอะไรข้างทาง หลังจากเหตุการณ์ตอนเห็นผีผ่านกระจกเราก็กลายเป็นคนกลัวกระจกไปเลยค่ะ แต่วันนั้นแบบไม่รู้ใจคิดอะไรมองผ่านกระจกรถมอเตอร์ไซค์ไปด้านหลังเห็นเป็นเงาดำๆซ้อนรถมอเตอร์ไซค์เราค่ะเหมือนเขารู้ว่าเรามองไปเขามองผ่านกระจกมาแล้วยิ้วให้เราค่ะแบบยิ้มปากฉีกไปจะถึงหูเลยค่ะ ตกใจมากบิดมอไซค์หน้าตั้งถึงบ้านเลย
เรื่องที่หก หอในมหาวิทยาลัย
เราสอบเข้ามาเรียนมหาลัยที่เชียงใหม่ได้ค่ะ เราได้อยู่หอในเป็นหอพักหญิงที่ติดกับสนามบาสและหอนาฬิกา ช่วงนั้นเป็นช่วงรับน้องคณะเราจะเลิกดึกค่ะ ประมาณเที่ยงคืนถึงจะกลับถึงหอ ห้องเราอยู่ชั้นสี่ทั้งชั้นมีเราคนเดียวที่อยู่คณะนี้แล้วเข้ารับน้องพอเลยห้าทุ่มจะเงียบเลยค่ะ ชั้นนี้จะเงียบแบบเงียบกริบเพราะส่วนใหญ่หอพักนี้เค้าให้พวกโควต้านักกีฬาคือหลับไวมาก เราเป็นคนอยู่ดึกทำงานดึกกว่าจะนอนก็ตีสามตี่สี่ คืนนั้นเราอยากเข้าห้องน้ำเลยเดินไปห้องน้ำปกติ เราเลือกเข้าห้องกลางค่ะ พอทำธุระเสร็จคือได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะที่ห้องข้างๆเป็นเสียงเล็กๆเย็นๆ แต่คือตอนนั้นห้องน้ำทั้งสองฟากไม่มีคนเลย มีเราแค่คนเดียวไอ้เราก็แบบตอนนั้นไม่หนีค่ะ กดชักโครกออกห้องน้ำมาแบบรีบๆแล้วเปิดประตูห้องที่ได้ยินเสียงคือมันก็ไม่มีใครเลยเดินกลับห้อง มาคิดอีกทีก็แอบหลอน ฮ่าๆ แต่เราก็อยู่ได้นะ มีช่วงที่ออกพรรษาแล้วคนในหอกลับบ้านหมด ทั้งชั้นเหลือเราคนเดียว แล้วยังมีข่าวลือเรื่องขบวนแดงอีกคือจะให้ทำยังไงล่ะคะ เพื่อนกลับหมด ทั้งฟากมีแค่เรา อยู่ได้หรือไม่ได้ก็ต้องอยู่ค่ะ
เรื่องที่เจ็ด คนรู้จักของน้าเค้ามาหา
ปิดเทอมกลับบ้านค่ะ อยู่ปกติกันจนกระทั่งวันหนึ่งคนรู้จักของน้าเค้าประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตคาที่หลังจากนั้นประมาณวันสองวันคือกลิ่นมาค่ะ กลิ่นน้ำหอมที่เค้าใช้บ่อยๆก็โชยมาเต็มเลยค่ะ น้าเขาก็ทักอยู่ว่าใครใช้น้ำหอมเนี่ยฉุนจังเลยทีแรกก็ไม่คิดอะไรแต่คือนอนเล่นอยู่เห็นคนอยู่ที่ประตูกระจกค่ะ(ประตูห้องนอนเป็นกระจกทึบๆสีดำ) จ้องเข้ามาในห้องตอนนั้นเริ่มกลัวแล้วค่ะคิดว่าไม่ใช่แล้ว ก็เลยออกไปถามคนข้างนอกว่านอกจจากเรากับน้ามีใครได้กลิ่นน้ำหอมไหม คือตอนนั้นได้กลิ่นหมดทุกคนเลยค่ะน้าเลยจัดการจุดธูปไหวเจ้าที่และบอกวิญญาณว่าให้สบายใจไปสู่สุขคติแล้วตอนที่ไหว้บอกเจ้าที่นั้นคือ เขามานั่งด้วยค่ะ ข้างๆ ...
เรื่องที่แปด ระหว่างทางกลับหอ
ย้ายมาอยู่หอนอกค่ะ เรียนมหาลัยเดิม เพิ่มเติมคือความแก่และทนงาน ฮ่าๆ (ไม่ขำใช่ไหม) คือเราอยู่หอนอกที่ไกลมากๆ ซอยวัดอุโมงค์ก่อนถึงวัดร่ำเปิงเราเข้าหอดึกๆค่ะ ขับรถปกติจนถึงช่วงก่อนถึงวัดอุโมงค์เราเห็นเด็ก ไม่ใส่เสื้อนั่งกอดเขาอยู่ตรงต้นไม้ก่อนขึ้นเนินตอนนั้นสติมาเต็มเห็นเหมือนไม่เห็นค่ะคือ เห็นแต่เราก็ยังทำตัวปกติผ่านเขาไปเฉยๆ แถวนี้เห็นบ่อยค่ะ เห็นจนชินและไม่กี่วันมานี้ก็เห็นตรงก่อนถึงหอเรา เค้าจะเรียกโค้งเย็น โค้งนี้จะเย็นมากและมืดเพราะต้นไม้ใหญ่บังไฟถนน เราก็ขี่รถมาปกตินี่แหละค่ะ คือประมาณเดือนก่อน โค้งตรงนี้มีอุบัติเหตุรถชนแล้วเสียชีวิตพยายามไม่คิดอะไรแล้วค่ะ รีบบิดรถกลับหอสิ่งที่ได้พบคือเงาดำๆยืนอยู่ตรงจุดที่เกิดอุบัติเหตุแล้วหายไป...นี่เพิ่งเจอแต่เราก็ไม่อยากเจออีก
เรื่องที่เก้า ห้องเซรามิกส์
ห้องเซรามิกส์ค่ะ ก่อนมิดเทอมนั่งทำโปรเจ็คอยู่กับเพื่อนอีกสามคนที่คณะ ประมาณตีสี่ตีห้าเราอยากเข้าห้องน้ำเลยเดินไปเข้าห้องน้ำก่อน แต่ตามันไม่อยู่สุขก่อนถึงประตูห้องน้ำที่หน้าห้องน้ำจะมีประตูแดงค่ะ เราเห็นอีกแล้วเงาดำๆอยู่หน้าประตูแดงเลยค่ะ คือตอนนั้นสติครบมากตัดสินใจหันหลังกลับเข้ามาหาเพื่อนที่ห้องเซ แล้วบอกเพื่อนไป เพือ่นบอกว่าก่อนหน้าที่เราจะเห็นก็มีรุ่นน้องเห็นเหมือนกัน...
เรื่องที่สิบ ที่ห้องโปรดัก
ประมาณสองอาทิตย์ที่แล้วนั่งทำงานอยู่ที่คณะค่ะ หามรุ่งหามค่ำข้าวก็ไม่ได้กินนอนก็ไม่ได้นอนดีๆมาประมาณสามวันแล้วค่ะยังต้องมานั่งตัดไม้อยู่คณะ คืนนั้นเป็นคืนวันออกพรรษาก็นั่งเบลอทำงานปกติก้มหน้าทำงานตาสายตาขึ้นหน้าเราเห็นผู้หญิงนั่งกอดเข่าอยู่ใต้โต๊ะทำงานของเพื่อนใจหวิวค่ะไม่บอกเพื่อนด้วยกลัวจะไปเตวงเขา ก็เงียบทำงานปกติเราว่าเราคิดมากและตาฝาดไปเองแต่คืออีกพักเราก็เห็นผู้หญิงคนเดิมท่าเดิมแต่คือเขาหั้นหน้ามาหาเราแล้วหายไปเลยไวๆ เราคิดว่าไม่ใช่แล้วค่ะ สองครั้ง ใจเรากลัวมากแต่ยังต้องทำงานคิดถึงเขาแล้วบอกว่าต่างคนต่างอยู่นะ เราไม่เบียดเบียนกัน ช่วงเวลาใกล้เช้าเราก็ทำงานค่ะคิดว่าจะไม่เห็นอีกแล้วแต่ไม่เลยเราเห็นเขาท่าเดิมรอบที่สามแต่เขาไม่หันหน้ามาหาเรา อีกสองวันต่อมาเราเลยบอกเพื่อนค่ะ
ปล. เราคิดว่าเราต้องไปทำบุญใช่ไหมคะ
เรียบเรียงประสบการณ์เห็นผีตั้งแต่เด็ก (ม้วนเดียวจบไม่มีมาต่อทีหลัง)
เรื่องแรก ผีครู
เราเป็นคนต่างจังหวัดค่ะติดชายแดนลาวเป็นเมืองที่ต้องตั้งใจไปถึงจะไปถึง สมัยเด็กๆไม่มีความเจริญใดๆทั้งสิ้นอย่างดีมีแค่ห้างท้องถิ่นของจังหวัดที่บ้านเราเลี้ยงผีค่ะ เรียกว่า ผีครู ผีครูเนี่ยปู่จำปั้นข้าวเหนียวขึ้นไปวางบนหิ้งทุกวันแล้วเติมน้ำมีลักษณะเป็นกล่องกลมๆสีดำๆมีการแกะสลักลงรักทาชาด(ลักษณะคล้ายๆในรูปแต่ผนังกล่องเป็นไม้ซี่ๆมองทะลุเข้าไปข้างในได้ ขออณุญาติยืมรูปจากเน็ตค่ะ)
มีซึ่งไม่รู้ว่าข้างในเป็นอะไรจำได้ตั้งแต่เด็กแม่จะบอกเสมอว่าอย่าเล่นหัวปู่ อย่าขึ้นเตียงปู่ อย่าปีนหิ้งผี เราทำหมดเลยค่ะผลที่ตามมาคือเราเข้าบ้านไม่ได้อยู่ไม่ได้เลย เข้ามาแล้วต้องออกไปนอนที่กองทรายหน้าบ้านแม่กับพ่อไปตามเข้าบ้านมากี่ครั้งก็วิ่งออกไปนอนที่เดิมแม่บอกว่าเหมือนต้องไปขอผีครูหลังจากนั้นเราก็เข้าบ้านได้ค่ะ เรื่องนี้เราจำไม่ได้แต่ทุกคนในครอบครัวรู้หมดเลยค่ะ
เรื่องที่สอง เล่นซ่อนหาตอนกลางคืนที่งานศพ
ประมาณ ป.2 คนที่หมู่บ้านเสียชีวิตแม่ก็ไปช่วยงานศพค่ะ คนในหมู่บ้านอยู่กันคล้ายๆพี่น้อง บ้านหลังนั้นเป็นพี่หนังนู้นเหมือนแบบลุงป้าน้าอาแยกออกมามีครอบครัวกันก็จริงแต่ยังสร้างบ้านอยู่ติดๆกันค่ะ แม่พาเราไปด้วย แม่ไปช่วยที่หลังครัวแล้วปล่อยให้เราเล่นกับเด็กๆในหมู่บ้าน ทีแรกก็เล่นวิ่งไล่จับกันจนกระทั้งวิ่งกันจนเหนื่อยอยากเล่นอย่างอื่นบ้าง เราก็เป็นตัวตั้งตัวตีเลยค่ะ ซ่อนหา ตอนนั้นจำได้ว่าอยากเล่นมากเพื่อนๆก็เออออเล่นกัน แถวๆนั้นเป็นสุดซอยบ้านทุกหลังเดินทะลุผ่านไปมาได้ ใกล้ๆประมาณ 50 เมตร มีสนามเด็กเล่นเก่าๆโทรมๆเครื่องเล่นขึ้นสนิม มีไฟดวงสองดวงสลัวๆ กลางสนามเด็กเล่นนั้นเป็นต้นโพธิ์ต้นใหญ่ลานเป็นดินแดง ต้นหญ้าขึ้นสูงประมาณเอว ตานั้นเราได้เป็นคนซ่อนค่ะเราวิ่งหนีออกมาคนเดียวตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าต้องชนะ คนอื่นๆก็จะซ่อนอยู่แถวๆบ้านงาน มีแต่เราทีออกมาตรงสนามเด็กเล่น ช่วงนั้นประมาณสามทุ่มแถวนั้นเงียบเลยค่ะ มีแต่เสียงแมลงนานๆทีจะมีรถผ่าน เราเลือกเข้าไปนั่งหมอบตรงใต้ต้นโพธิ์หญ้าก็สูงมืดด้วย เราคิดว่าไกลแบบนี้แหละหาไม่เจอแน่นอน นั่งคนเดียวอยู่นานค่ะ นานมากๆไม่มีคน ไม่มีใคร มีแต่เรา พอมันนานๆมากเข้าเราก็เริ่มมองไปรอบๆใจก็เริ่มกลัว มันแบบหวิวๆเสียวสันหลังวาบๆ เราเงยหน้ามองขึ้นไปบนต้นโพธิ์ เห็น ผญนั่งอยู่บนกิ่งต้นโพธิ์ ผมยาวเขาก้มหน้ามองลงมาที่เราหน้านิ่งๆ ตาก็กลัวและตกใจ จ้องมองผสานดวงตาเค้าเลยค่ะ มันขยับทำอะไรไม่ได้เลยตอนนั้นคือจะร้องไห้ ในใจคิดถึงแม่ พอขยับตัวได้ก็กรี๊ดแล้ววิ่งออกมาไปหาแม่ที่บ้านงาน ตอนนั้นไม่กล้าที่จะปริปากบอกใครเลย เก็บเงียบไว้คนเดียว แล้วร้องไห้กลับบ้าน หลังจากนั้นมาก็เหมือนได้ยินคนแก่แถวนั้นเค้าพูดว่าเมื่อก่อนมีผู้หญิงมาผูกคอตายที่ต้นโพธิ์นั้นไม่รู้ว่าเป็นใครเลยฝังศพไว้ที่ใต้ต้นโพธิ์นั่นแหละค่ะ ปัจจุบันก็ไม่กล้าที่จะไปเหยียบที่ตรงนั้นอีกเลยค่ะ
เรื่องที่สาม เหม่อ
ที่บ้านค่ะ หลังจากกินข้าวเสร็จเราก็ขึ้นไปอาบน้ำสระผมบนบ้านเราก็ยืนหวีผมอยู่ที่ตู้เสื้อผ้าค่ะ ตู้เสื้อผ้าเวลาเปิดจะมีกระจกอยู่ตรงประตู พอเปิดประตูกระจกก็จะส่องไปที่ห้องน้ำ เป็นลักษณะห้องนอนสองห้องที่มีห้องน้ำเป็นทางเชื่อมระหว่างสองห้องค่ะ เราก็หวีผมอยู่นานตาก็จ้องกระจกจากจ้องหน้าตัวเองก็เบนสายตาไปที่ห้องน้ำมืดๆข้างหลัง ตอนนั้นไม่รู้ตัวเองได้ค่ะเหมือนมันหลุดไปเลยมือก็หวีผมอยู่ที่เดิมซ้ำๆซักพักก็หยุดตอนนั้นเรารู้ตัวเองค่ะ รู้สึกตัวดีสายตาเรามองทะลุเข้าไปเหมือนเหม่ออยู่แบบนั้นจะละสายตาก็ไม่ได้ เราเห็นมีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่กลางห้องน้ำ ไม่มีหน้า ลอยอยู่ใส่ชุดสีขาว ผมยาวแบบสยายเต็มห้องน้ำเลยค่ะพุ่งเข้ามาหาที่ตัวเราสายตาเราเห็นชัดแจ้งทุกอย่างแต่ขยับตัวไม่ได้ เธอพุ่งทะลุผ่านตัวเราไป ขนลุกตัวชาวาบไปทั้งตัวเลยค่ะ พอเธอหายไปเราก็วิ่งลงมาด้านล่างไปกรี๊ดไม่อะไรทั้งสิ้น แต่บอกแม่ว่าผีหลอก แม่หัวเราะค่ะบอกเราว่าไม่มีอะไร เราก็คิดว่าไม่มีอะไรแต่วันต่อมาคือ แบบเดิมเลยค่ะ อาบน้ำแล้วหวีผมอยู่ที่เดิมไม่คิดอะไรเหมือนพยายามลืมๆเรื่องเมื่อวานไปอยู่ๆหนังสือเตรียมสอบของพี่ก็ตกลงมาเฉี่ยวหลังเราไปนิดเดียวดังปั้ง เราก็ตกใจแบบเอาอีกแล้วหรอคือแต่บอกใครไม่ได้ไงแม่ก็บอกว่าคิดไปเองอีก คือบนตู้จะมีหนังสือเตรียมสอบของพี่เล่นหนาประมาณสองนิ้วครึ่งเล่มเดียวคือเราจำได้ว่ามันอยู่ในสุดของตู้เลยก่อนอาบน้ำก็ไม่มีหนังสืออะไรโผล่ออกมาจากหลังตู้เลยด้วยซ้ำคือเป็นไปได้ไหมที่มันจะตกลงมาเองแต่ตอนนั้นเราก็แบบยังก้มลงไปเก็บหนังสือแล้วปีนเอาไปวางที่เดิม
เรื่องที่สี่ ห้อยหัว
เป็นคนชอบนอนห้อยหัวค่ะ ห้อยลงมาที่ปลายเตียงนอนเล่นอะไรบางทีไม่มีอะไรทำก็นอนห้อยหัว จากการที่ชอบนอนห้อยหัวนี่แหละค่ะ ทำให้ได้เห็นอยู่สองครั้ง ครั้งแรกห้อยหัวที่หน้าบ้าน ที่บ้านจะมีม้านั่งยาวเราก็เอาเท้าขัดกับที่พักเท้าไว้แล้วห้อยหัวลงมาช่วงนั้นเป็นช่วงหลังจากที่ย่าเราเสียได้ไม่นาน เราห้อยหัวแล้วก็เหม่อค่ะ เหม่ออีกแล้วค่ะ มองอะไรไปเรื่อยซักพักก็เหม่อมองลอดใต้ท้องรถไป เราเห็นเป็นเท้าคนเดินไม่ใส่รองเท้าใส่ซิ่นสีขาวเหนือตาตุ่มเล็กน้อยค่อยๆเดินผ่านหน้ารถไปค่ะ คือนึกว่าเป็นคนในบ้านแต่วั้นนั้นก็ไม่มีใครใส่ซิ่นเลยแม้แต่คนเดียว และหน้ารถเป็นกำแพงค่ะ
ครั้งที่สองนี่ก็ห้อยหัวในบ้านค่ะ ปลายเตียง นอนอ่านหนังสือสอบเข้าโรงเรียนมัธยม เบื่อๆก็เลยพัก ห้อยหัวลงมามองบ้านไปเรื่อยแหละค่ะลักษณะบ้านคือเป็นบ้านแบบ ชั้นแรกอยู่ซ้ายมือชั้นสองอยู่ขวามือ ชั้นสามอยู่ซ้ายมือ ชั้นสองเนี่ยปกติแม่จะเอาไว้จัดงาน ตั้งศพ ทำบุญบ้าน สู่ขวัญ ฉลองปีใหม่ก็ชั้นนี้แหละค่ะ ระยะหลังแม่เอาเตียงนอนมาตั้งไว้ตรงนี้ให้เรานอนคือชั้นสองทั้งชั้นเป็นห้องนอนเราเลยค่ะแต่ไม่มีที่กั้นห้องเท้าก็ชี้ไปทางบันได พอเราห้อยหัวลงก็จะหันไปทางบันไดบ้านเห็นชั้นหนึ่งครั้งนี้ไม่เหม่ออะไรเลยค่ะ ปกติทุกอย่างมองไปเรื่อย เห็นเงาดำๆใหญ่ๆเดินผ่านหน้าเราไปไวๆที่ชั้นหนึ่งตอนนั้นคือก็ไม่ตกใจอะไรแล้วปล่อยผ่านไปเฉยๆค่ะ
เรื่องที่ห้า บ้านร้างหลังนั้นเค้าเล่นของ
หลังจากที่เราสอบเข้าโรงเรียนมัธยมได้เรียนอยู่ได้ปีเดียวก็ต้องย้ายมาเรียนอีกจังหวัดค่ะ ช่วงสมัย ม.4 เรียนพิเศษเลิกค่ำ สองทุ่มเราก็ขับรถกลับบ้านเอง ทางที่จะถึงบ้านเรามีสามทางค่ะ ทางแรก ป่าช้าศาลเจ้าแม่ตะเคียน(คือเป็นทางแบบตัดผ่านป่าช้าเลยค่ะ) ทางที่สองบ้านร้างทางเปลี่ยวไม่มีไฟ ทางที่สามมาทางหน้าค่ายทหารเป็นบ้านร้างที่เจ้าของบ้านหลังนั้นเค้าแบบเล่นของอะไรพวกนี้ค่ะ แต่ปล่องร้างเพราะเจ้าของบ้านตายแล้ว(เรากลับทางนี้บ่อยที่สุด) คือวันนั้นกลับบ้านปกติ แต่เวลาผ่านบ้านหลังนี้เราจะแบบพยายามหรีตาลงให้เล็กที่สุดแล้วไม่มองอะไรข้างทาง หลังจากเหตุการณ์ตอนเห็นผีผ่านกระจกเราก็กลายเป็นคนกลัวกระจกไปเลยค่ะ แต่วันนั้นแบบไม่รู้ใจคิดอะไรมองผ่านกระจกรถมอเตอร์ไซค์ไปด้านหลังเห็นเป็นเงาดำๆซ้อนรถมอเตอร์ไซค์เราค่ะเหมือนเขารู้ว่าเรามองไปเขามองผ่านกระจกมาแล้วยิ้วให้เราค่ะแบบยิ้มปากฉีกไปจะถึงหูเลยค่ะ ตกใจมากบิดมอไซค์หน้าตั้งถึงบ้านเลย
เรื่องที่หก หอในมหาวิทยาลัย
เราสอบเข้ามาเรียนมหาลัยที่เชียงใหม่ได้ค่ะ เราได้อยู่หอในเป็นหอพักหญิงที่ติดกับสนามบาสและหอนาฬิกา ช่วงนั้นเป็นช่วงรับน้องคณะเราจะเลิกดึกค่ะ ประมาณเที่ยงคืนถึงจะกลับถึงหอ ห้องเราอยู่ชั้นสี่ทั้งชั้นมีเราคนเดียวที่อยู่คณะนี้แล้วเข้ารับน้องพอเลยห้าทุ่มจะเงียบเลยค่ะ ชั้นนี้จะเงียบแบบเงียบกริบเพราะส่วนใหญ่หอพักนี้เค้าให้พวกโควต้านักกีฬาคือหลับไวมาก เราเป็นคนอยู่ดึกทำงานดึกกว่าจะนอนก็ตีสามตี่สี่ คืนนั้นเราอยากเข้าห้องน้ำเลยเดินไปห้องน้ำปกติ เราเลือกเข้าห้องกลางค่ะ พอทำธุระเสร็จคือได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะที่ห้องข้างๆเป็นเสียงเล็กๆเย็นๆ แต่คือตอนนั้นห้องน้ำทั้งสองฟากไม่มีคนเลย มีเราแค่คนเดียวไอ้เราก็แบบตอนนั้นไม่หนีค่ะ กดชักโครกออกห้องน้ำมาแบบรีบๆแล้วเปิดประตูห้องที่ได้ยินเสียงคือมันก็ไม่มีใครเลยเดินกลับห้อง มาคิดอีกทีก็แอบหลอน ฮ่าๆ แต่เราก็อยู่ได้นะ มีช่วงที่ออกพรรษาแล้วคนในหอกลับบ้านหมด ทั้งชั้นเหลือเราคนเดียว แล้วยังมีข่าวลือเรื่องขบวนแดงอีกคือจะให้ทำยังไงล่ะคะ เพื่อนกลับหมด ทั้งฟากมีแค่เรา อยู่ได้หรือไม่ได้ก็ต้องอยู่ค่ะ
เรื่องที่เจ็ด คนรู้จักของน้าเค้ามาหา
ปิดเทอมกลับบ้านค่ะ อยู่ปกติกันจนกระทั่งวันหนึ่งคนรู้จักของน้าเค้าประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตคาที่หลังจากนั้นประมาณวันสองวันคือกลิ่นมาค่ะ กลิ่นน้ำหอมที่เค้าใช้บ่อยๆก็โชยมาเต็มเลยค่ะ น้าเขาก็ทักอยู่ว่าใครใช้น้ำหอมเนี่ยฉุนจังเลยทีแรกก็ไม่คิดอะไรแต่คือนอนเล่นอยู่เห็นคนอยู่ที่ประตูกระจกค่ะ(ประตูห้องนอนเป็นกระจกทึบๆสีดำ) จ้องเข้ามาในห้องตอนนั้นเริ่มกลัวแล้วค่ะคิดว่าไม่ใช่แล้ว ก็เลยออกไปถามคนข้างนอกว่านอกจจากเรากับน้ามีใครได้กลิ่นน้ำหอมไหม คือตอนนั้นได้กลิ่นหมดทุกคนเลยค่ะน้าเลยจัดการจุดธูปไหวเจ้าที่และบอกวิญญาณว่าให้สบายใจไปสู่สุขคติแล้วตอนที่ไหว้บอกเจ้าที่นั้นคือ เขามานั่งด้วยค่ะ ข้างๆ ...
เรื่องที่แปด ระหว่างทางกลับหอ
ย้ายมาอยู่หอนอกค่ะ เรียนมหาลัยเดิม เพิ่มเติมคือความแก่และทนงาน ฮ่าๆ (ไม่ขำใช่ไหม) คือเราอยู่หอนอกที่ไกลมากๆ ซอยวัดอุโมงค์ก่อนถึงวัดร่ำเปิงเราเข้าหอดึกๆค่ะ ขับรถปกติจนถึงช่วงก่อนถึงวัดอุโมงค์เราเห็นเด็ก ไม่ใส่เสื้อนั่งกอดเขาอยู่ตรงต้นไม้ก่อนขึ้นเนินตอนนั้นสติมาเต็มเห็นเหมือนไม่เห็นค่ะคือ เห็นแต่เราก็ยังทำตัวปกติผ่านเขาไปเฉยๆ แถวนี้เห็นบ่อยค่ะ เห็นจนชินและไม่กี่วันมานี้ก็เห็นตรงก่อนถึงหอเรา เค้าจะเรียกโค้งเย็น โค้งนี้จะเย็นมากและมืดเพราะต้นไม้ใหญ่บังไฟถนน เราก็ขี่รถมาปกตินี่แหละค่ะ คือประมาณเดือนก่อน โค้งตรงนี้มีอุบัติเหตุรถชนแล้วเสียชีวิตพยายามไม่คิดอะไรแล้วค่ะ รีบบิดรถกลับหอสิ่งที่ได้พบคือเงาดำๆยืนอยู่ตรงจุดที่เกิดอุบัติเหตุแล้วหายไป...นี่เพิ่งเจอแต่เราก็ไม่อยากเจออีก
เรื่องที่เก้า ห้องเซรามิกส์
ห้องเซรามิกส์ค่ะ ก่อนมิดเทอมนั่งทำโปรเจ็คอยู่กับเพื่อนอีกสามคนที่คณะ ประมาณตีสี่ตีห้าเราอยากเข้าห้องน้ำเลยเดินไปเข้าห้องน้ำก่อน แต่ตามันไม่อยู่สุขก่อนถึงประตูห้องน้ำที่หน้าห้องน้ำจะมีประตูแดงค่ะ เราเห็นอีกแล้วเงาดำๆอยู่หน้าประตูแดงเลยค่ะ คือตอนนั้นสติครบมากตัดสินใจหันหลังกลับเข้ามาหาเพื่อนที่ห้องเซ แล้วบอกเพื่อนไป เพือ่นบอกว่าก่อนหน้าที่เราจะเห็นก็มีรุ่นน้องเห็นเหมือนกัน...
เรื่องที่สิบ ที่ห้องโปรดัก
ประมาณสองอาทิตย์ที่แล้วนั่งทำงานอยู่ที่คณะค่ะ หามรุ่งหามค่ำข้าวก็ไม่ได้กินนอนก็ไม่ได้นอนดีๆมาประมาณสามวันแล้วค่ะยังต้องมานั่งตัดไม้อยู่คณะ คืนนั้นเป็นคืนวันออกพรรษาก็นั่งเบลอทำงานปกติก้มหน้าทำงานตาสายตาขึ้นหน้าเราเห็นผู้หญิงนั่งกอดเข่าอยู่ใต้โต๊ะทำงานของเพื่อนใจหวิวค่ะไม่บอกเพื่อนด้วยกลัวจะไปเตวงเขา ก็เงียบทำงานปกติเราว่าเราคิดมากและตาฝาดไปเองแต่คืออีกพักเราก็เห็นผู้หญิงคนเดิมท่าเดิมแต่คือเขาหั้นหน้ามาหาเราแล้วหายไปเลยไวๆ เราคิดว่าไม่ใช่แล้วค่ะ สองครั้ง ใจเรากลัวมากแต่ยังต้องทำงานคิดถึงเขาแล้วบอกว่าต่างคนต่างอยู่นะ เราไม่เบียดเบียนกัน ช่วงเวลาใกล้เช้าเราก็ทำงานค่ะคิดว่าจะไม่เห็นอีกแล้วแต่ไม่เลยเราเห็นเขาท่าเดิมรอบที่สามแต่เขาไม่หันหน้ามาหาเรา อีกสองวันต่อมาเราเลยบอกเพื่อนค่ะ
ปล. เราคิดว่าเราต้องไปทำบุญใช่ไหมคะ