กระทู้นี้ค่อนข้างยาวหน่อยนะคะ
สวัสดีค่ะ นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่เราอยากมาเล่าหนึ่งในประสบการณ์ชีวิตที่ย่ำแย่ที่สุดในชีวิตเรา ไม่รู้จะเริ่มพูดยังไงดีเลยอ่ะ เราขอบอกไว้ก่อนนะคะว่าเรื่องที่เราจะเล่ามันไม่ได้มีแค่เรื่องศิลปินที่เราชอบ มันมีเรื่องชีวิตเส็งเคร็งของเราด้วยซะส่วนใหญ่ คือเราก็ไม่รู้จะรวบเรื่องยังไงให้มันรู้เรื่องอ่ะ555555 เราขอโทษด้วยนะคะถ้าเราเล่าอะไรไปแล้วทำให้สับสน
เราขอออกตัวก่อนเลยนะว่าเราเป็นติ่งค่ะ5555555 แล้วคือชีวิตเราเนี่ยเป็นหลายอย่างมากด้วย เราเป็นนักเรียน แล้วก็เป็นนักกีฬาด้วย เราไม่ได้อยากพูดว่าชีวิตเรามันเหนื่อยมาก เพราะเราเลือกทางนี้เองแล้วยังมีคนอื่นเหนื่อยกว่านี้อีกเยอะ แต่นั้นแหละค่ะ เราเป็นคนคิดมากแล้วก็เป็นคนที่พยายามจะทำทุกอย่างให้ดีอยู่ตลอดเวลามันเลยเป็นที่มาของกระทู้นี้
คืองี้นะคะ กีฬาที่เราเล่นอ่ะ คนส่วนมากถ้าไม่ไปเล่นอาชีพก็จะใช้ความสามารถด้านกีฬาไปขอทุนเรียนต่อที่อเมริกา ไอ้ทุนนักกีฬาที่ว่านี่มันไม่ได้หายากมากหรอกค่ะ ส่วนใหญ่เด็กก็จะเริ่มหาที่เรียนกันตอนม.ห้า อีเมล์คุยกับโค้ชของทีมมหาวิทยาลัยแล้วก็จะเริ่มเซ็นสัญญาตอนช่วงม.หกเดือนพฤศจิกา(รุ่นเราก็ช่วงนี้แหละค่ะ) เรามีโอกาสได้ไปอเมริกาปีที่แล้วค่ะ พูดให้เข้าใจง่ายๆคือไปให้โค้ชดูตัวอ่ะค่ะ คนอยู่ม.ห้าก็จะเริ่มดีลกับโค้ช ส่งผลงาน ส่งพอร์ท แล้วก็คุยกันตกลงว่าเขาจะให้ทุนเรามั๊ย ก็ต้องไปสอบโทเฟล เอสเอที ให้ได้คะแนนตามที่มหาลัยกำหนด ถ้าคนที่เล่นเก่งหน่อยก็จะมีโค้ชจากหลายมหาลัยสนใจและมาติดต่อหลายคน แต่คนที่ไม่ได้เก่งมากอย่างเรานี่สิ ก็ยากหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะหายากขนาดนั้น เราไปครั้งนั้นเราก็ได้คุยกับที่นึงค่ะ ขอไม่บอกนะคะว่าที่ไหน คือเขาverbally commit กับเราแล้วอ่ะว่าเขาจะให้ทุนเรา เราก็ดีใจสิ บอกเกณฑ์คะแนนอะไรมาเรียบร้อยแล้วด้วย เราก็ตกลงกับเขาค่ะ ว่าเราจะไป เราดีมากกกกกกกกกกกกกกก ไม่คิดหรอกว่าไปครั้งเดียวแล้วจะได้ กลับมาเราก็ต้องเตรียมตัวสอบ ทั้งโทเฟลและเอสเอทีเลยค่ะ แต่คือมันยากมาก จากที่เราเคยได้ซ้อมทุกวัน แต่เราก็ต้องแบ่งเวลามาเรียนพิเศษ(ซึ่งเกิดมาไม่เคยเรียนเลย)เพื่อให้สอบได้คะแนนดีๆ จะได้รอบเดียวผ่าน ไม่งั้นเสียดายเงินแม่แย่เลย เราก็เรียนค่ะ เรียนแต่ภาษาอังกฤษอย่างเดียวเลย จากซ้อมทุกวันก็เหลืออาทิตย์ละแค่สี่วัน เพราะปกติเราซ้อมหลังเลิกเรียนไงคะพอเอาเวลาไปเรียนมันก็ไม่มีเวลาไปซ้อม ผลงานเราก็แย่ลง แต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไรมากเพราะตอนนี้ไม่ค่อยได้แข่งแล้ว ปกตินี่แข่งทุกเดือน ขาดรร.ทีเป็นอาทิตย์ มุ่งจะสอบให้ผ่านอย่างเดียว จากที่เคยซ้อมหนัก ติ่งหนัก ตามเซฟรูปตามโหวตให้ศลป. ตอนนั้นคือไม่มีค่ะ เราห่างๆจากการตามศลป.ไปเลย ซ้อมก็น้อย เราเรียนอย่างเดียวเลย ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เราแค่คิดว่าต้องสอบให้ผ่านให้คะแนนเยอะๆ ด้วยความที่เราเป็นคนเรียนไม่แย่ ทำให้เรามีความคิดที่ว่าไม่อยากให้ใครมาเห็นเราพลาดอ่ะค่ะ พอจะนึกความรู้สึกเราออกมั๊ย เราเป็นทั้งนักกีฬาและนักเรียนไปด้วยแต่เราก็ประคองเกรดมาได้ตลอด เราก็ไม่อยากให้คะแนนสอบมันออกมาแย่ คือประมาณว่าเรากลัวเสียเซลฟ์อ่ะ(มานึกย้อนไปแล้วตลกตัวเอง) ปรากฏว่าคะแนนสอบโทเฟลก็ออกมาดีจริงๆค่ะ ถึงจะไม่ได้ดีมาก แต่มันก็ผ่านเกณฑ์มาเยอะอยู่ เราก็เออ ผ่านไปแล้วเปลาะหนึ่ง เหลือแค่เอสเอที ทีนี้เรียนหนักกว่าเดิมอีกค่ะ เพราะเอสดอทีมันยากมาก เรื่องซ้อมนี่แทบจะหายไปเลยค่ะ โอปป้าที่รักนี่ยิ่งกว่าหาย เราไม่รู้ข่าว ไม่ตาม ยิ่งช่วงนั้นหายไปไม่ได้คัมแบคเราก็ยิ่งไม่ได้สนใจ(เรายังรักเขาอยู่นะคะ แต่เราก็ต้องรักอนาคตตัวเองก่อนไง) นี่ก็เรียนไปค่ะ เตรียมสอบอย่างเดียว พอเราสอบเสร็จปุ๊บ คะแนนออก ก็ไม่แย่มาก ผ่านเกณฑ์อยู่ ชีวิตดีมากค่ะ อารมณ์ว่าติดแล้ว มีที่เรียนตั้งแต่ม.ห้า เหลือแค่ส่งคะแนนกับรอเวลาเซ็นตอนม.หกเฉยๆ เราก็ชิวสิคะ55555 แต่พอเราก็ลังดีใจได้ไม่นาน สิ่งที่เราคิดว่าเราทำก็ทำได้ง่ายๆมันก็พังลงค่ะ มันไม่ใช่ฝันร้ายนะ มันคือการตื่นจากความฝันมากกว่า อยู่ดีๆมหาลัยที่เราคุยไว้ตั้งแต่แรกเขาก็ไม่เอาเราแล้วอ่ะ ตอนนั้นแบบ เคว้งคว้างมาก แล้วตอนที่เขาปฏิเสธเรามันเป็นช่วงที่เราขึ้นม.หกแล้วไงคะ จากที่ตั้งใจจะไม่สอบโควต้าหรือรับตรงที่ไหนทั้งสิ้นก็ต้องกลับมาคิดใหม่ เพราะตอนนั้นมันเหลือแค่อีกสามสี่เดือนจะเป็นช่วงเซ็นสัญญาแล้ว ตอนนั้นสถานการณ์เปลี่ยนหมดค่ะ ต้องกลับไปแข่งมากๆเพื่อทำผลงาน ให้โค้ชจากมหาลัยอื่นสนใจ ความบรรลัยของเรื่องทั้งหมดมันเริ่มตรงนี้แหละค่ะ คนที่แทบไม่ได้ซ้อมเลยมาเป็นเวลาห้าหกเดือนนี่จะเอาอะไรไปแข่งกับเค้าเนี่ยยยย เราผลงานไม่ดีเลยหลังจากกลับมาแข่ง คนถามเราก็บอกว่าไม่ค่อยได้ซ้อมค่ะ แต่คือ เล่นถามทุกคนถามทุกแมตช์ขนาดนี้ จิตใจเราย่ำแย่มากค่ะ ยิ่งกีฬาที่เราเล่นเนี่ยมันอยู่ที่ใจล้วนๆเลยค่ะ แล้วคือเราจิตตกมากตอนนั้น เล่นไม่ได้เลย เหมือนคนหัดเล่นใหม่ ที่พีคสุดที่คือม.หกเทอมหนึ่งเราขาดเรียนไปหนึ่งเดือนเต็มๆเพื่อไปแข่ง แต่ผลงานไม่ดีซักแมตช์ แล้วเราจะเอาผลงานที่ไหนไปให้โค้ชดูนึกภาพออกมั๊ยคะ แล้วที่แย่คือขาดรร.หนึ่งเดือน บ้า บ้าไปแล้ว ปกติแค่สองอาทิตย์ก็จะตายแล้วนี่หนึ่งเดือน คะนงคะแนนอะไรพังหมด แล้วไอ้ความงี่เง่าของเราที่คิดว่าเราต้องเป็นคนเรียนดีที่หนึ่งของห้องไปตลอดชาติเนี่ยมันทำให้เรายิ่งวิตกค่ะ คือชีวิตตอนนั้นพังมาก ผลงานกีฬาไม่ดี ยังไม่มีที่เรียน(คนอื่นเขามีกันหมดแล้ว) เกรดก็จะเป็นยังไงไม่รู้ เรียนก็ไม่รู้เรื่อง งานส่งไม่ทันอีก พังค่ะ คำเดียวเลย พัง
ตอนนั้นสภาพเราเหมือนคนบ้าอ่ะค่ะ ร้องไห้ง่ายมาก มองโลกในแง่ร้ายไปหมด(พื้นฐานเราเป็นคนคิดมากด้วย) เวลาเราเครียดมากๆเราจะร้องไห้ดังมากๆ ร้องแบบตะโกนออกมาอ่ะ เหมือนคนบ้าจริงๆนะตอนนั้นอ่ะ พอเราร้องไห้เราก็จะไม่มีสติ พูดไม่รู้เรื่อง จิกหัวหยิกแขนตัวเอง เป็นแบบนี้หลายรอบมากๆ ในหัวเราตอนนั้นคือเราต้องทำผลงานให้ดี ต้องมีที่เรียน ต้องรักษาเกรด ทุกอย่างตีกันไปหมด แม่เราถึงขั้นพาไปหาหมอจิตเวช คือเราว่าตอนนั้นสภาพเราเหมือนคนจิตป่วยมากจริงๆ เราเคยโทรไปขอคำปรึกษากับคนที่เขาจะพาเด็กไปแข่งที่อเมริกาแล้วหาที่เรียนอ่ะค่ะ เราแค่ขอคำปรึกษานะ รู้มั๊ยเขาพูดกับเราว่าไง เขาบอกเราว่า "ถ้าหนูผลงานแย่ขนาดนี้ไม่มีที่ไหนรับหนูหรอกค่ะ" โอเค จบ บาย จบลงที่ร้องไห้เหมือนเดิม กลายเป็นหมาบ้าเหมือนเดิม คนพูดเขาคงไม่รู้หรอกว่าประโยคเดียวของเขามันทำร้ายเราขนาดไหน ตอนนั้นเราอยากทิ้งทุกอย่าง ไม่เอาแล้วกีฬา ไม่เอาแล้ว จะกลับไปเรียนเหมือนเดิมเพราะเราคิดว่ายังไงเราก็เรียนได้ดีกว่าเล่นกีฬา ตอนนั้นคิดอะไรไม่รู้ค่ะ เข้าทวิตที่ไม่ได้เข้ามานานเป็นปี ปรากฏว่า อ้าว โอปป้าจะมาคอนเดี่ยวที่ไทยครั้งแรกในรอบเจ็ดปี กรีดร้องงงงงงง บอกแม่จองตั๋วเครื่องบินไปกทม.ตั้งแต่ยังไม่คอนเฟิร์มคอนฯ #มั่นหน้าว่ามีคอน ป้ะล่ะ55555555555555 ตอนแรกแม่ก็เหมือนจะไม่โอเคนะคะ เหมือนนางจะไม่ให้ไป แต่เราเคยพูดกับแม่ไว้เนิ่นๆแล้วว่าถ้ามีคอนที่ไทยขอไปนะ แค่วงเดียว เราไม่ได้ติ่งหลายวง แม่ก็เลยยอมๆเราไป ระหว่างนั้นเราก็แข่งไปด้วย เรียนไปด้วย ประคองคะแนนยิ่งกว่าอะไร แทบลืมโอปป้าอีกรอบเลยค่ะ เพราะช่วงนั้นหนักมาก เรากลายเป็นหมาบ้าประมาณอาทิตย์ละสองรอบ เราไปแข่งก็เล่นไม่ดี ผลงานแย่ เป็นที่โหล่ตลอด กี่ทีๆก็เป็นไอ้ขี้แพ้ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ชีวิตพังที่สุดในโลกเลยค่ะ อยากทุ่มเทกับสิ่งที่เราทำให้ได้ซักครึ่งของทีจงฮยอนทำ อยากพัฒนาตัวเองให้ได้ซักครึ่งนึงของที่แทมินทำ เราร้องไห้หน้าโปสเตอร์แทบทุกวัน ยิ่งเห็นหน้าชายนี่ยิ่งรู้สึกแย่ รู้สึกผิด แล้วก็รู้สึกว่า เราไม่ควรไปคอนฯเลย อยู่ซ้อมดีกว่ามั๊ย จากนั้นก็กลายเป็นหมาบ้าอีกรอบค่ะ แม่ก็มาโอ๋ มากอดเรา เราก็ระบายทุกอย่างให้แม่ฟัง(แต่จริงๆพูดไม่รู้เรื่อง) แม่ก็บอกไม่เป็นไรนะ หนูไปดูคอนเสิร์ตให้สบายใจเลย ไม่ต้องเครียด สรุปคือเราก็ไปค่ะ
อยากเล่าความรู้สึกตอนอยู่ในคอนให้ฟังมากเลย เหมือนเราได้ถอยออกจากโลกเครียดๆมาหนึ่งก้าว ไอ้ออกมาอยู่ในคอมฟอร์ทโซน ได้อยู่ในที่ที่เราเคยมีความสุขมาก่อน เชื่อมั๊ยคะ ภายในเวลาสองชั่วโมงห้าสิบนาที ความเครียดความทุกข์ใจของเราหายไปเกือบหมดเลยค่ะ ตอนนั้นสมองโล่งมาก แม้แต่เมนตัวเองผมสีอะไรยังจำไม่ได้555555 เหมือนกลายเป็นอีกคน กลับมาแข่งมาอะไรก็กลายเป็นว่าเล่นดีซะงั้น งง คือเรามีชายนี่เป็นกำลังใจอ่ะ ถ้าใครรู้สึกแย่ลองเอาศิลปินที่เราชอบเป็นกำลังใจดูนะคะ ลองคิดว่าพี่เค้ารอดูความสำเร็จของเราอยู่ เมื่อก่อนพี่เค้าก็แค่เด็กธรรมดาเหมือนกัน พี่เค้ายังสู้มาได้ เค้าเหนื่อยกว่าเราอีกเค้ายังทำได้เลย หลังจากไปคอนมาชีวิตเราก็เริ่มเข้าที่เข้าทางขึ้นเรื่อยๆ มีโค้ชติดต่อมา คุยกัน โอเค คะแนนสอบผ่านอยู่แล้ว เขาโอเคกับผลงานเรา ตกลงให้ทุน เซ็นสัญญา จบ .................................... ทำไมมันง่ายจังวะ.....
ชีวิตเรามันก็มีทั้งขึ้นทั้งลงนั่นแหละค่ะ แค่ว่าช่วงขาลงของเราเราจะเข้มแข็งแค่ไหน เราโชคไม่ดีที่เราไม่เข้มแข็ง เราอ่อนแอ เราไม่เอาไหน แต่เราโชคดีที่มีคนมาช่วยเราไว้ได้ทัน นอกจากพ่อแม่แล้วเราก็มีชายนี่นี่แหละค่ะที่เป็นกำลังใจของเรา ชายนี่เป็นทั้งศิลปินที่เราชื่นชอบ รัก และเคารพด้วย เราเอาพี่เขาเป็นแบบอย่าง เราพยายามทุ่มเทให้ได้แบบเขา เราไม่เคยท้อที่จะลุกออกไปซ้อมต่อเวลาเราแพ้กลับมา เพราะทุกครั้งที่ชายนี่ได้รางวัล ชายนี่จะพูดเสมอว่า"เราสัญญาว่าจะทำงานให้หนักขึ้นครับ" ชายนี่เป็นทุกอย่างของเรา เป็นแรงบันดาลใจ เป็นตัวอย่างของการใช้ชีวิต ชีวิตเราอาจจะเหลวแหลกกว่านี้ก็ได้ถ้าเราไม่ได้มาเป็นติ่ง สิ่งมีชีวิตที่ทุกคนเหมารวมว่าทำตัวไร้สาระ น่ารำคาญ แต่อย่าลืมนะคะ ถ้าเราติ่งอย่างถูกวิธี ติ่งในขอบเขต สิ่งเหล่านี้จะช่วยทำให้จิตใจเราเข้มแข็งมากค่ะ เราโชคดีด้วยที่แฟนด้อมเราน่ารัก การไปคอนฯครั้งนั้นมันทำให้เรารู้ว่าความสุขหาง่ายจะตาย คนรอบข้างก็พร้อมจะช่วยเหลือเราอยู่แล้ว ไม่รู้จะพูดยังไงดีแต่ชนว.ที่เรารู้จักน่ารักทุกคน
เราอาจจะไม่กลับมาเป็นคนปกติแบบนี้ถ้าเราไม่ได้ไปดูคอนฯอ่ะ เราพูดจริงๆนะ ความเครียดอนนั้นมันเกินที่เรารับไหวจริงๆ แต่สิ่งที่เรารักทำให้เราหายบ้าได้ ก็แปลกดีเนอะ5555 ชายนี่ช่วยชีวิตเราไว้จริงๆ จริงๆกระทู้นี้ก็ไม่มีอะไรมากแล้วแหละค่ะ ขอบคุณคนที่อ่านมาจนถึงตอนนี้ เราแค่อยากให้ทุกคนลองเอาสิ่งที่เราชอบมาเป็นแรงบันดาลใจในการต่อสู้ในชีวิตเหมือนเรา มันได้ผลจริงๆนะ ไม่มีอะไรแล้วแหละค่ะ ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ สวัสดีค่ะ
[เล่าประสบการณ์จากคนเกือบบ้า] ศิลปินเคป็อปไม่ได้แค่ร้องเพลงให้เราฟัง แต่เขายังช่วยชีวิตเราไว้ด้วย
สวัสดีค่ะ นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่เราอยากมาเล่าหนึ่งในประสบการณ์ชีวิตที่ย่ำแย่ที่สุดในชีวิตเรา ไม่รู้จะเริ่มพูดยังไงดีเลยอ่ะ เราขอบอกไว้ก่อนนะคะว่าเรื่องที่เราจะเล่ามันไม่ได้มีแค่เรื่องศิลปินที่เราชอบ มันมีเรื่องชีวิตเส็งเคร็งของเราด้วยซะส่วนใหญ่ คือเราก็ไม่รู้จะรวบเรื่องยังไงให้มันรู้เรื่องอ่ะ555555 เราขอโทษด้วยนะคะถ้าเราเล่าอะไรไปแล้วทำให้สับสน
เราขอออกตัวก่อนเลยนะว่าเราเป็นติ่งค่ะ5555555 แล้วคือชีวิตเราเนี่ยเป็นหลายอย่างมากด้วย เราเป็นนักเรียน แล้วก็เป็นนักกีฬาด้วย เราไม่ได้อยากพูดว่าชีวิตเรามันเหนื่อยมาก เพราะเราเลือกทางนี้เองแล้วยังมีคนอื่นเหนื่อยกว่านี้อีกเยอะ แต่นั้นแหละค่ะ เราเป็นคนคิดมากแล้วก็เป็นคนที่พยายามจะทำทุกอย่างให้ดีอยู่ตลอดเวลามันเลยเป็นที่มาของกระทู้นี้
คืองี้นะคะ กีฬาที่เราเล่นอ่ะ คนส่วนมากถ้าไม่ไปเล่นอาชีพก็จะใช้ความสามารถด้านกีฬาไปขอทุนเรียนต่อที่อเมริกา ไอ้ทุนนักกีฬาที่ว่านี่มันไม่ได้หายากมากหรอกค่ะ ส่วนใหญ่เด็กก็จะเริ่มหาที่เรียนกันตอนม.ห้า อีเมล์คุยกับโค้ชของทีมมหาวิทยาลัยแล้วก็จะเริ่มเซ็นสัญญาตอนช่วงม.หกเดือนพฤศจิกา(รุ่นเราก็ช่วงนี้แหละค่ะ) เรามีโอกาสได้ไปอเมริกาปีที่แล้วค่ะ พูดให้เข้าใจง่ายๆคือไปให้โค้ชดูตัวอ่ะค่ะ คนอยู่ม.ห้าก็จะเริ่มดีลกับโค้ช ส่งผลงาน ส่งพอร์ท แล้วก็คุยกันตกลงว่าเขาจะให้ทุนเรามั๊ย ก็ต้องไปสอบโทเฟล เอสเอที ให้ได้คะแนนตามที่มหาลัยกำหนด ถ้าคนที่เล่นเก่งหน่อยก็จะมีโค้ชจากหลายมหาลัยสนใจและมาติดต่อหลายคน แต่คนที่ไม่ได้เก่งมากอย่างเรานี่สิ ก็ยากหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะหายากขนาดนั้น เราไปครั้งนั้นเราก็ได้คุยกับที่นึงค่ะ ขอไม่บอกนะคะว่าที่ไหน คือเขาverbally commit กับเราแล้วอ่ะว่าเขาจะให้ทุนเรา เราก็ดีใจสิ บอกเกณฑ์คะแนนอะไรมาเรียบร้อยแล้วด้วย เราก็ตกลงกับเขาค่ะ ว่าเราจะไป เราดีมากกกกกกกกกกกกกกก ไม่คิดหรอกว่าไปครั้งเดียวแล้วจะได้ กลับมาเราก็ต้องเตรียมตัวสอบ ทั้งโทเฟลและเอสเอทีเลยค่ะ แต่คือมันยากมาก จากที่เราเคยได้ซ้อมทุกวัน แต่เราก็ต้องแบ่งเวลามาเรียนพิเศษ(ซึ่งเกิดมาไม่เคยเรียนเลย)เพื่อให้สอบได้คะแนนดีๆ จะได้รอบเดียวผ่าน ไม่งั้นเสียดายเงินแม่แย่เลย เราก็เรียนค่ะ เรียนแต่ภาษาอังกฤษอย่างเดียวเลย จากซ้อมทุกวันก็เหลืออาทิตย์ละแค่สี่วัน เพราะปกติเราซ้อมหลังเลิกเรียนไงคะพอเอาเวลาไปเรียนมันก็ไม่มีเวลาไปซ้อม ผลงานเราก็แย่ลง แต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไรมากเพราะตอนนี้ไม่ค่อยได้แข่งแล้ว ปกตินี่แข่งทุกเดือน ขาดรร.ทีเป็นอาทิตย์ มุ่งจะสอบให้ผ่านอย่างเดียว จากที่เคยซ้อมหนัก ติ่งหนัก ตามเซฟรูปตามโหวตให้ศลป. ตอนนั้นคือไม่มีค่ะ เราห่างๆจากการตามศลป.ไปเลย ซ้อมก็น้อย เราเรียนอย่างเดียวเลย ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เราแค่คิดว่าต้องสอบให้ผ่านให้คะแนนเยอะๆ ด้วยความที่เราเป็นคนเรียนไม่แย่ ทำให้เรามีความคิดที่ว่าไม่อยากให้ใครมาเห็นเราพลาดอ่ะค่ะ พอจะนึกความรู้สึกเราออกมั๊ย เราเป็นทั้งนักกีฬาและนักเรียนไปด้วยแต่เราก็ประคองเกรดมาได้ตลอด เราก็ไม่อยากให้คะแนนสอบมันออกมาแย่ คือประมาณว่าเรากลัวเสียเซลฟ์อ่ะ(มานึกย้อนไปแล้วตลกตัวเอง) ปรากฏว่าคะแนนสอบโทเฟลก็ออกมาดีจริงๆค่ะ ถึงจะไม่ได้ดีมาก แต่มันก็ผ่านเกณฑ์มาเยอะอยู่ เราก็เออ ผ่านไปแล้วเปลาะหนึ่ง เหลือแค่เอสเอที ทีนี้เรียนหนักกว่าเดิมอีกค่ะ เพราะเอสดอทีมันยากมาก เรื่องซ้อมนี่แทบจะหายไปเลยค่ะ โอปป้าที่รักนี่ยิ่งกว่าหาย เราไม่รู้ข่าว ไม่ตาม ยิ่งช่วงนั้นหายไปไม่ได้คัมแบคเราก็ยิ่งไม่ได้สนใจ(เรายังรักเขาอยู่นะคะ แต่เราก็ต้องรักอนาคตตัวเองก่อนไง) นี่ก็เรียนไปค่ะ เตรียมสอบอย่างเดียว พอเราสอบเสร็จปุ๊บ คะแนนออก ก็ไม่แย่มาก ผ่านเกณฑ์อยู่ ชีวิตดีมากค่ะ อารมณ์ว่าติดแล้ว มีที่เรียนตั้งแต่ม.ห้า เหลือแค่ส่งคะแนนกับรอเวลาเซ็นตอนม.หกเฉยๆ เราก็ชิวสิคะ55555 แต่พอเราก็ลังดีใจได้ไม่นาน สิ่งที่เราคิดว่าเราทำก็ทำได้ง่ายๆมันก็พังลงค่ะ มันไม่ใช่ฝันร้ายนะ มันคือการตื่นจากความฝันมากกว่า อยู่ดีๆมหาลัยที่เราคุยไว้ตั้งแต่แรกเขาก็ไม่เอาเราแล้วอ่ะ ตอนนั้นแบบ เคว้งคว้างมาก แล้วตอนที่เขาปฏิเสธเรามันเป็นช่วงที่เราขึ้นม.หกแล้วไงคะ จากที่ตั้งใจจะไม่สอบโควต้าหรือรับตรงที่ไหนทั้งสิ้นก็ต้องกลับมาคิดใหม่ เพราะตอนนั้นมันเหลือแค่อีกสามสี่เดือนจะเป็นช่วงเซ็นสัญญาแล้ว ตอนนั้นสถานการณ์เปลี่ยนหมดค่ะ ต้องกลับไปแข่งมากๆเพื่อทำผลงาน ให้โค้ชจากมหาลัยอื่นสนใจ ความบรรลัยของเรื่องทั้งหมดมันเริ่มตรงนี้แหละค่ะ คนที่แทบไม่ได้ซ้อมเลยมาเป็นเวลาห้าหกเดือนนี่จะเอาอะไรไปแข่งกับเค้าเนี่ยยยย เราผลงานไม่ดีเลยหลังจากกลับมาแข่ง คนถามเราก็บอกว่าไม่ค่อยได้ซ้อมค่ะ แต่คือ เล่นถามทุกคนถามทุกแมตช์ขนาดนี้ จิตใจเราย่ำแย่มากค่ะ ยิ่งกีฬาที่เราเล่นเนี่ยมันอยู่ที่ใจล้วนๆเลยค่ะ แล้วคือเราจิตตกมากตอนนั้น เล่นไม่ได้เลย เหมือนคนหัดเล่นใหม่ ที่พีคสุดที่คือม.หกเทอมหนึ่งเราขาดเรียนไปหนึ่งเดือนเต็มๆเพื่อไปแข่ง แต่ผลงานไม่ดีซักแมตช์ แล้วเราจะเอาผลงานที่ไหนไปให้โค้ชดูนึกภาพออกมั๊ยคะ แล้วที่แย่คือขาดรร.หนึ่งเดือน บ้า บ้าไปแล้ว ปกติแค่สองอาทิตย์ก็จะตายแล้วนี่หนึ่งเดือน คะนงคะแนนอะไรพังหมด แล้วไอ้ความงี่เง่าของเราที่คิดว่าเราต้องเป็นคนเรียนดีที่หนึ่งของห้องไปตลอดชาติเนี่ยมันทำให้เรายิ่งวิตกค่ะ คือชีวิตตอนนั้นพังมาก ผลงานกีฬาไม่ดี ยังไม่มีที่เรียน(คนอื่นเขามีกันหมดแล้ว) เกรดก็จะเป็นยังไงไม่รู้ เรียนก็ไม่รู้เรื่อง งานส่งไม่ทันอีก พังค่ะ คำเดียวเลย พัง
ตอนนั้นสภาพเราเหมือนคนบ้าอ่ะค่ะ ร้องไห้ง่ายมาก มองโลกในแง่ร้ายไปหมด(พื้นฐานเราเป็นคนคิดมากด้วย) เวลาเราเครียดมากๆเราจะร้องไห้ดังมากๆ ร้องแบบตะโกนออกมาอ่ะ เหมือนคนบ้าจริงๆนะตอนนั้นอ่ะ พอเราร้องไห้เราก็จะไม่มีสติ พูดไม่รู้เรื่อง จิกหัวหยิกแขนตัวเอง เป็นแบบนี้หลายรอบมากๆ ในหัวเราตอนนั้นคือเราต้องทำผลงานให้ดี ต้องมีที่เรียน ต้องรักษาเกรด ทุกอย่างตีกันไปหมด แม่เราถึงขั้นพาไปหาหมอจิตเวช คือเราว่าตอนนั้นสภาพเราเหมือนคนจิตป่วยมากจริงๆ เราเคยโทรไปขอคำปรึกษากับคนที่เขาจะพาเด็กไปแข่งที่อเมริกาแล้วหาที่เรียนอ่ะค่ะ เราแค่ขอคำปรึกษานะ รู้มั๊ยเขาพูดกับเราว่าไง เขาบอกเราว่า "ถ้าหนูผลงานแย่ขนาดนี้ไม่มีที่ไหนรับหนูหรอกค่ะ" โอเค จบ บาย จบลงที่ร้องไห้เหมือนเดิม กลายเป็นหมาบ้าเหมือนเดิม คนพูดเขาคงไม่รู้หรอกว่าประโยคเดียวของเขามันทำร้ายเราขนาดไหน ตอนนั้นเราอยากทิ้งทุกอย่าง ไม่เอาแล้วกีฬา ไม่เอาแล้ว จะกลับไปเรียนเหมือนเดิมเพราะเราคิดว่ายังไงเราก็เรียนได้ดีกว่าเล่นกีฬา ตอนนั้นคิดอะไรไม่รู้ค่ะ เข้าทวิตที่ไม่ได้เข้ามานานเป็นปี ปรากฏว่า อ้าว โอปป้าจะมาคอนเดี่ยวที่ไทยครั้งแรกในรอบเจ็ดปี กรีดร้องงงงงงง บอกแม่จองตั๋วเครื่องบินไปกทม.ตั้งแต่ยังไม่คอนเฟิร์มคอนฯ #มั่นหน้าว่ามีคอน ป้ะล่ะ55555555555555 ตอนแรกแม่ก็เหมือนจะไม่โอเคนะคะ เหมือนนางจะไม่ให้ไป แต่เราเคยพูดกับแม่ไว้เนิ่นๆแล้วว่าถ้ามีคอนที่ไทยขอไปนะ แค่วงเดียว เราไม่ได้ติ่งหลายวง แม่ก็เลยยอมๆเราไป ระหว่างนั้นเราก็แข่งไปด้วย เรียนไปด้วย ประคองคะแนนยิ่งกว่าอะไร แทบลืมโอปป้าอีกรอบเลยค่ะ เพราะช่วงนั้นหนักมาก เรากลายเป็นหมาบ้าประมาณอาทิตย์ละสองรอบ เราไปแข่งก็เล่นไม่ดี ผลงานแย่ เป็นที่โหล่ตลอด กี่ทีๆก็เป็นไอ้ขี้แพ้ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ชีวิตพังที่สุดในโลกเลยค่ะ อยากทุ่มเทกับสิ่งที่เราทำให้ได้ซักครึ่งของทีจงฮยอนทำ อยากพัฒนาตัวเองให้ได้ซักครึ่งนึงของที่แทมินทำ เราร้องไห้หน้าโปสเตอร์แทบทุกวัน ยิ่งเห็นหน้าชายนี่ยิ่งรู้สึกแย่ รู้สึกผิด แล้วก็รู้สึกว่า เราไม่ควรไปคอนฯเลย อยู่ซ้อมดีกว่ามั๊ย จากนั้นก็กลายเป็นหมาบ้าอีกรอบค่ะ แม่ก็มาโอ๋ มากอดเรา เราก็ระบายทุกอย่างให้แม่ฟัง(แต่จริงๆพูดไม่รู้เรื่อง) แม่ก็บอกไม่เป็นไรนะ หนูไปดูคอนเสิร์ตให้สบายใจเลย ไม่ต้องเครียด สรุปคือเราก็ไปค่ะ
อยากเล่าความรู้สึกตอนอยู่ในคอนให้ฟังมากเลย เหมือนเราได้ถอยออกจากโลกเครียดๆมาหนึ่งก้าว ไอ้ออกมาอยู่ในคอมฟอร์ทโซน ได้อยู่ในที่ที่เราเคยมีความสุขมาก่อน เชื่อมั๊ยคะ ภายในเวลาสองชั่วโมงห้าสิบนาที ความเครียดความทุกข์ใจของเราหายไปเกือบหมดเลยค่ะ ตอนนั้นสมองโล่งมาก แม้แต่เมนตัวเองผมสีอะไรยังจำไม่ได้555555 เหมือนกลายเป็นอีกคน กลับมาแข่งมาอะไรก็กลายเป็นว่าเล่นดีซะงั้น งง คือเรามีชายนี่เป็นกำลังใจอ่ะ ถ้าใครรู้สึกแย่ลองเอาศิลปินที่เราชอบเป็นกำลังใจดูนะคะ ลองคิดว่าพี่เค้ารอดูความสำเร็จของเราอยู่ เมื่อก่อนพี่เค้าก็แค่เด็กธรรมดาเหมือนกัน พี่เค้ายังสู้มาได้ เค้าเหนื่อยกว่าเราอีกเค้ายังทำได้เลย หลังจากไปคอนมาชีวิตเราก็เริ่มเข้าที่เข้าทางขึ้นเรื่อยๆ มีโค้ชติดต่อมา คุยกัน โอเค คะแนนสอบผ่านอยู่แล้ว เขาโอเคกับผลงานเรา ตกลงให้ทุน เซ็นสัญญา จบ .................................... ทำไมมันง่ายจังวะ.....
ชีวิตเรามันก็มีทั้งขึ้นทั้งลงนั่นแหละค่ะ แค่ว่าช่วงขาลงของเราเราจะเข้มแข็งแค่ไหน เราโชคไม่ดีที่เราไม่เข้มแข็ง เราอ่อนแอ เราไม่เอาไหน แต่เราโชคดีที่มีคนมาช่วยเราไว้ได้ทัน นอกจากพ่อแม่แล้วเราก็มีชายนี่นี่แหละค่ะที่เป็นกำลังใจของเรา ชายนี่เป็นทั้งศิลปินที่เราชื่นชอบ รัก และเคารพด้วย เราเอาพี่เขาเป็นแบบอย่าง เราพยายามทุ่มเทให้ได้แบบเขา เราไม่เคยท้อที่จะลุกออกไปซ้อมต่อเวลาเราแพ้กลับมา เพราะทุกครั้งที่ชายนี่ได้รางวัล ชายนี่จะพูดเสมอว่า"เราสัญญาว่าจะทำงานให้หนักขึ้นครับ" ชายนี่เป็นทุกอย่างของเรา เป็นแรงบันดาลใจ เป็นตัวอย่างของการใช้ชีวิต ชีวิตเราอาจจะเหลวแหลกกว่านี้ก็ได้ถ้าเราไม่ได้มาเป็นติ่ง สิ่งมีชีวิตที่ทุกคนเหมารวมว่าทำตัวไร้สาระ น่ารำคาญ แต่อย่าลืมนะคะ ถ้าเราติ่งอย่างถูกวิธี ติ่งในขอบเขต สิ่งเหล่านี้จะช่วยทำให้จิตใจเราเข้มแข็งมากค่ะ เราโชคดีด้วยที่แฟนด้อมเราน่ารัก การไปคอนฯครั้งนั้นมันทำให้เรารู้ว่าความสุขหาง่ายจะตาย คนรอบข้างก็พร้อมจะช่วยเหลือเราอยู่แล้ว ไม่รู้จะพูดยังไงดีแต่ชนว.ที่เรารู้จักน่ารักทุกคน
เราอาจจะไม่กลับมาเป็นคนปกติแบบนี้ถ้าเราไม่ได้ไปดูคอนฯอ่ะ เราพูดจริงๆนะ ความเครียดอนนั้นมันเกินที่เรารับไหวจริงๆ แต่สิ่งที่เรารักทำให้เราหายบ้าได้ ก็แปลกดีเนอะ5555 ชายนี่ช่วยชีวิตเราไว้จริงๆ จริงๆกระทู้นี้ก็ไม่มีอะไรมากแล้วแหละค่ะ ขอบคุณคนที่อ่านมาจนถึงตอนนี้ เราแค่อยากให้ทุกคนลองเอาสิ่งที่เราชอบมาเป็นแรงบันดาลใจในการต่อสู้ในชีวิตเหมือนเรา มันได้ผลจริงๆนะ ไม่มีอะไรแล้วแหละค่ะ ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ สวัสดีค่ะ