นิวยอร์ก...
มหานครที่ยังไงชีวิตนี้ก็ต้องหาทางไปเหยียบให้ได้สักครั้ง
ว่าแล้วเราก็จัดทริปเสร็จสรรพ 9 วัน 9 คืนแบบไม่ปรึกษาเพื่อนร่วมทาง
เพื่อให้ได้ไปเยือน 3 เมือง นิวยอร์ก ออแลนโด้ ไมอามี่
และแล้วก็พาตัวเองและแฟนไปเหยียบนิวยอร์กอย่างที่ตั้งใจจนได้
ระหว่างเดินตามลายแทงไปที่นั่นที่นี่
ก็มีโอกาสได้แวะชิมเบียร์อร่อยๆ ที่ Connolly's Pub&Restaurant 5th Avenue
ซึ่งมีเบียร์เป็นของตัวเองชื่อว่า Connolly's Irish Red
และมีเบียร์น่าลองหลายตัวมาก เช่น Brooklyn Lager, Guinness Blonde
ส่วนที่ Chelsea's Market ก็มีร้านที่น่าสนใจ คือ The Filling Station
ขายเบียร์เป็นโหลคุกกี้มีฝาปิด (แบบแก้วชาที่ฮิตกันในบ้านเราตอนนี้)
ดื่มหมดก็เอาไปเติมได้ หรืออยากจะเดินดื่มบนถนนก็ทำได้
แค่หยิบออกมา เปิดฝา ดื่ม แล้วเก็บใส่กระเป๋าต่อ (แต่ผิดกฏหมายนะเอ้อ)
แต่เรื่องราวจริงๆ มันอยู่ตรงนี้...
ก่อนหน้าวันเดินทางไม่นาน เพื่อนเราอีกคู่หนึ่งก็เพิ่งไปเที่ยวนิวยอร์กเหมือนกัน
เพื่อนบอกว่า มีร้านเบียร์ร้านหนึ่ง เจ๋งมาก ควรจะไปเยือนให้ได้
เอาจริงๆ ตอนนั้นเรายังไม่ค่อยหมกมุ่นเรื่องเบียร์เท่าไหร่
แต่พอรู้ว่ามี The must อยู่ ก็ถามชื่อร้าน เปิดแผนที่ จับลงตารางเที่ยวทันที
คนอื่นไปนิวยอร์ก เค้าไปดู Broadway ไปเดิน Wall Street กัน
เราไปร้านเบียร์ค่ะ
ร้านนี้มีชื่อ McSorley's Old Ale House ตั้งอยู่ที่ 7th street
ถ้าเปิดใน Google ดู จะเห็นท็อปรีวิวเขียนว่า
"Simply the best light and dark beer you've ever have"
ซึ่งเราก็รู้สึกว่าเป็นรีวิวที่ไม่เกินเลยแต่อย่างใด
พอเราเดินมุดดิน ขึ้นถนน และเดินผ่านบาร์น้อยใหญ่ไปตามแผนที่
ก็เจอร้านนี้ไม่ยาก แค่เห็นหน้าร้านก็รู้สึกได้แล้วว่า มันช่างเก่าแก่และเก๋าจริงๆ
เข้าไปในร้าน รู้สึกเหมือนเข้าไปในโรงเบียร์สมัยก่อน บนพื้นมีแกลบอยู่เต็มไปหมด
บรรยากาศเหมือนอยู่ในไอริชผับที่เป็นบ้านไม้เก่าๆ
มีเครื่องรางสงครามต่างๆ แขวนอยู่ ให้อารมณ์แบบบาร์ในยุคร้อยปีก่อน
ซึ่งมีทั้งบาร์และโต๊ะให้นั่ง หลังเคาท์เตอร์บาร์คือสถานที่ รับออเดอร์ เสิร์ฟเบียร์
ไปจนถึงล้างแก้ว เงินที่ลูกค้าจ่ายค่าเบียร์ก็โยนมันตรงนั้นแหละ ทำทุกอย่าง
เราตัดสินใจยืนหน้าบาร์ เพื่อดูการทำงานแล้วก็พูดคุยกับบาร์เทนเดอร์หนวดเฟิ้ม
แล้วก็ต้องยืนอยู่อย่างนั้นตลอดชั่วโมง เพราะจะนั่งก็ไม่เหลือที่แล้วล่ะจ้า
จากการสอบถามข้อมูล McSorley มีอายุ 160 ปี (บรรพบุรุษรุ่นไหนล่ะเนี่ย)
ตั้งอยู่ที่นี่ ตกแต่งแบบนี้มาตั้งแต่เริ่ม
และเสิร์ฟเบียร์แค่ 2 ชนิด คือ Light Ale และ Dark Ale มาตลอด 160 ปี...
โอ้ว... นี่มันคือตำนาน
เวลาสั่งต้องสั่งเป็นคู่ ในราคา $5.5 (ถ้าสั่งแก้วเดียวก็ $3 ไม่คุ้มง่ะ)
จริงๆ แล้วมาทีละ 2 แก้วก็ไม่เป็นปัญหา
เพราะว่าแก้วไม่ใหญ่ และเบียร์ก็ดื่มง่ายมาก อร่อยมากทั้ง Light และ Dark
ท่ามกลางบรรยากาศขโมงโฉงเฉงในร้าน
เรากับแฟนสั่งเบียร์มาดื่มกันไม่จบไม่สิ้น (ไม่รู้ทำไมไม่เมาสักที)
แล้วบาร์เทนเดอร์หนวดยาวเฟื้อยก็เริ่มทักทายเรา
เล่าถึงประวัตินั้นนี้ของร้าน บอกว่า ดีนะมาวันนี้ คนยังไม่แน่น (นี่ไม่แน่นเหรอ)
ในขณะที่เสิร์ฟเบียร์ไปด้วย ล้างแก้วไปด้วย
(นึกภาพผู้ชายร่างยักษ์ เอา 10 นิ้ว เกี่ยวหูแก้วนิ้วละ 2 แก้ว
แล้วเอามาแกว่งในหม้อที่มีน้ำร้อนๆ ซ้ายที ขวาที ซ้ายที ขวาที
เป็นอันสิ้นสุดการล้างแก้ว แล้วก็เอาแก้วตั้งเคาท์เตอร์พร้อมรินเบียร์)
บาร์เทนสุดหล่อคนนี้เป็นหนึ่งในเจ้าของ McSorley's รุ่นปัจจุบัน
พอได้คุยกัน ก็เกิดความเชื่อมโยงแปลกประหลาดขึ้นมาบางอย่าง
คือเค้าชอบกินอาหารไทยมาก (ระหว่างทำงาน ก็กินผัดขี้เมาไปด้วย)
แล้วเค้าก็มีบุคลิกที่เหมือนจิมมี่ นักต้มเบียร์ รูมเมทของแฟนเรามาก
แล้วเค้าก็ Complimentary ให้เรา 1 คู่ด้วย
คืนนั้น หมดกันไปประมาณ $50 ก็น่าจะ 10 คู่
ดื่ม 2 คน เฉลี่ยคนละ 10 แก้ว (เราดื่มน้อยกว่าแฟนหน่อยนึง 8 ต่อ 12 ไรงี้)
เดินออกจากร้านด้วยความเซนิดๆ อารมณ์ดีหน่อยๆ ยิ้มกริ่มๆ
สุดยอดของความประทับใจ...
ตำนานก็คือตำนาน...
ขายเบียร์อยู่ 2 ชนิดแบบนี้มา 160 ปี ก็ยังมีคนแน่นร้านทุกวัน
ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง ไม่ต้องหาสูตรมาต้มเพิ่ม แค่ทำให้มันดีตั้งแต่เริ่มแรก
คิดถึงบรรยากาศวันนั้นชะมัด (อยากกลับไปใหม่ เพราะลืมรสชาติเบียร์ละเนี่ย)
คิดถึงแกลบที่กระจายอยู่เต็มพื้น
ดูโคตรเลอะเทอะ ฝุ่นฟุ้งกระจาย
แต่ว่า ถ้าเบียร์หกลงพื้นก็ไม่เปียกเละเทะนะเอ้า
บอกแล้วว่าเราเป็นคนโรแมนติก >_<
ขอจบด้วยกลอนที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก McSorley's โดยตรงละกันนะคะ
At that awesome bar,
We sat. We drank. We talked.
You finished a glass.
I finished a glass.
Drinking was going on and on and on and on....
Rush of the day didn't harm us.
Tired of the journey did nothing to us.
Pace of people coming in and out had no business with us.
That was special to me.
Chilling out with you always be special to me...
So let's stick together if it's special for you too.
การเดินทางตามล่าหาเบียร์ : ตอนที่ 1
http://ppantip.com/topic/33957415
การเดินทางตามล่าหาเบียร์ : ตอนที่ 2
http://ppantip.com/topic/33957424
การเดินทางตามล่าหาเบียร์ : ตอนที่ 3
http://ppantip.com/topic/33957486
การเดินทางตามล่าหาเบียร์ : ตอนที่ 4
http://ppantip.com/topic/33979341
การเดินทางตามล่าหาเบียร์ : ตอนที่ 5
http://ppantip.com/topic/33990273
การเดินทางตามล่าหาเบียร์ : ตอนที่ 6
http://ppantip.com/topic/34017308
การเดินทางตามล่าหาเบียร์ : ตอนที่ 7
http://ppantip.com/topic/34076186
การเดินทางตามล่าหาเบียร์ : ตอนที่ 8
http://ppantip.com/topic/34199394
การเดินทางตามล่าหาเบียร์ : ตอนที่ 9
http://ppantip.com/topic/34305261
การเดินทางตามล่าหาเบียร์ : ตอนที่ 11
http://ppantip.com/topic/34730107
การเดินทางตามล่าหาเบียร์ : ตอนพิเศษ
http://ppantip.com/topic/34810416
การเดินทางตามล่าหาเบียร์ : ตอนที่ 10 New York Legend
มหานครที่ยังไงชีวิตนี้ก็ต้องหาทางไปเหยียบให้ได้สักครั้ง
ว่าแล้วเราก็จัดทริปเสร็จสรรพ 9 วัน 9 คืนแบบไม่ปรึกษาเพื่อนร่วมทาง
เพื่อให้ได้ไปเยือน 3 เมือง นิวยอร์ก ออแลนโด้ ไมอามี่
และแล้วก็พาตัวเองและแฟนไปเหยียบนิวยอร์กอย่างที่ตั้งใจจนได้
ระหว่างเดินตามลายแทงไปที่นั่นที่นี่
ก็มีโอกาสได้แวะชิมเบียร์อร่อยๆ ที่ Connolly's Pub&Restaurant 5th Avenue
ซึ่งมีเบียร์เป็นของตัวเองชื่อว่า Connolly's Irish Red
และมีเบียร์น่าลองหลายตัวมาก เช่น Brooklyn Lager, Guinness Blonde
ส่วนที่ Chelsea's Market ก็มีร้านที่น่าสนใจ คือ The Filling Station
ขายเบียร์เป็นโหลคุกกี้มีฝาปิด (แบบแก้วชาที่ฮิตกันในบ้านเราตอนนี้)
ดื่มหมดก็เอาไปเติมได้ หรืออยากจะเดินดื่มบนถนนก็ทำได้
แค่หยิบออกมา เปิดฝา ดื่ม แล้วเก็บใส่กระเป๋าต่อ (แต่ผิดกฏหมายนะเอ้อ)
แต่เรื่องราวจริงๆ มันอยู่ตรงนี้...
ก่อนหน้าวันเดินทางไม่นาน เพื่อนเราอีกคู่หนึ่งก็เพิ่งไปเที่ยวนิวยอร์กเหมือนกัน
เพื่อนบอกว่า มีร้านเบียร์ร้านหนึ่ง เจ๋งมาก ควรจะไปเยือนให้ได้
เอาจริงๆ ตอนนั้นเรายังไม่ค่อยหมกมุ่นเรื่องเบียร์เท่าไหร่
แต่พอรู้ว่ามี The must อยู่ ก็ถามชื่อร้าน เปิดแผนที่ จับลงตารางเที่ยวทันที
คนอื่นไปนิวยอร์ก เค้าไปดู Broadway ไปเดิน Wall Street กัน
เราไปร้านเบียร์ค่ะ
ร้านนี้มีชื่อ McSorley's Old Ale House ตั้งอยู่ที่ 7th street
ถ้าเปิดใน Google ดู จะเห็นท็อปรีวิวเขียนว่า
"Simply the best light and dark beer you've ever have"
ซึ่งเราก็รู้สึกว่าเป็นรีวิวที่ไม่เกินเลยแต่อย่างใด
พอเราเดินมุดดิน ขึ้นถนน และเดินผ่านบาร์น้อยใหญ่ไปตามแผนที่
ก็เจอร้านนี้ไม่ยาก แค่เห็นหน้าร้านก็รู้สึกได้แล้วว่า มันช่างเก่าแก่และเก๋าจริงๆ
เข้าไปในร้าน รู้สึกเหมือนเข้าไปในโรงเบียร์สมัยก่อน บนพื้นมีแกลบอยู่เต็มไปหมด
บรรยากาศเหมือนอยู่ในไอริชผับที่เป็นบ้านไม้เก่าๆ
มีเครื่องรางสงครามต่างๆ แขวนอยู่ ให้อารมณ์แบบบาร์ในยุคร้อยปีก่อน
ซึ่งมีทั้งบาร์และโต๊ะให้นั่ง หลังเคาท์เตอร์บาร์คือสถานที่ รับออเดอร์ เสิร์ฟเบียร์
ไปจนถึงล้างแก้ว เงินที่ลูกค้าจ่ายค่าเบียร์ก็โยนมันตรงนั้นแหละ ทำทุกอย่าง
เราตัดสินใจยืนหน้าบาร์ เพื่อดูการทำงานแล้วก็พูดคุยกับบาร์เทนเดอร์หนวดเฟิ้ม
แล้วก็ต้องยืนอยู่อย่างนั้นตลอดชั่วโมง เพราะจะนั่งก็ไม่เหลือที่แล้วล่ะจ้า
จากการสอบถามข้อมูล McSorley มีอายุ 160 ปี (บรรพบุรุษรุ่นไหนล่ะเนี่ย)
ตั้งอยู่ที่นี่ ตกแต่งแบบนี้มาตั้งแต่เริ่ม
และเสิร์ฟเบียร์แค่ 2 ชนิด คือ Light Ale และ Dark Ale มาตลอด 160 ปี...
โอ้ว... นี่มันคือตำนาน
เวลาสั่งต้องสั่งเป็นคู่ ในราคา $5.5 (ถ้าสั่งแก้วเดียวก็ $3 ไม่คุ้มง่ะ)
จริงๆ แล้วมาทีละ 2 แก้วก็ไม่เป็นปัญหา
เพราะว่าแก้วไม่ใหญ่ และเบียร์ก็ดื่มง่ายมาก อร่อยมากทั้ง Light และ Dark
ท่ามกลางบรรยากาศขโมงโฉงเฉงในร้าน
เรากับแฟนสั่งเบียร์มาดื่มกันไม่จบไม่สิ้น (ไม่รู้ทำไมไม่เมาสักที)
แล้วบาร์เทนเดอร์หนวดยาวเฟื้อยก็เริ่มทักทายเรา
เล่าถึงประวัตินั้นนี้ของร้าน บอกว่า ดีนะมาวันนี้ คนยังไม่แน่น (นี่ไม่แน่นเหรอ)
ในขณะที่เสิร์ฟเบียร์ไปด้วย ล้างแก้วไปด้วย
(นึกภาพผู้ชายร่างยักษ์ เอา 10 นิ้ว เกี่ยวหูแก้วนิ้วละ 2 แก้ว
แล้วเอามาแกว่งในหม้อที่มีน้ำร้อนๆ ซ้ายที ขวาที ซ้ายที ขวาที
เป็นอันสิ้นสุดการล้างแก้ว แล้วก็เอาแก้วตั้งเคาท์เตอร์พร้อมรินเบียร์)
บาร์เทนสุดหล่อคนนี้เป็นหนึ่งในเจ้าของ McSorley's รุ่นปัจจุบัน
พอได้คุยกัน ก็เกิดความเชื่อมโยงแปลกประหลาดขึ้นมาบางอย่าง
คือเค้าชอบกินอาหารไทยมาก (ระหว่างทำงาน ก็กินผัดขี้เมาไปด้วย)
แล้วเค้าก็มีบุคลิกที่เหมือนจิมมี่ นักต้มเบียร์ รูมเมทของแฟนเรามาก
แล้วเค้าก็ Complimentary ให้เรา 1 คู่ด้วย
คืนนั้น หมดกันไปประมาณ $50 ก็น่าจะ 10 คู่
ดื่ม 2 คน เฉลี่ยคนละ 10 แก้ว (เราดื่มน้อยกว่าแฟนหน่อยนึง 8 ต่อ 12 ไรงี้)
เดินออกจากร้านด้วยความเซนิดๆ อารมณ์ดีหน่อยๆ ยิ้มกริ่มๆ
สุดยอดของความประทับใจ...
ตำนานก็คือตำนาน...
ขายเบียร์อยู่ 2 ชนิดแบบนี้มา 160 ปี ก็ยังมีคนแน่นร้านทุกวัน
ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง ไม่ต้องหาสูตรมาต้มเพิ่ม แค่ทำให้มันดีตั้งแต่เริ่มแรก
คิดถึงบรรยากาศวันนั้นชะมัด (อยากกลับไปใหม่ เพราะลืมรสชาติเบียร์ละเนี่ย)
คิดถึงแกลบที่กระจายอยู่เต็มพื้น
ดูโคตรเลอะเทอะ ฝุ่นฟุ้งกระจาย
แต่ว่า ถ้าเบียร์หกลงพื้นก็ไม่เปียกเละเทะนะเอ้า
บอกแล้วว่าเราเป็นคนโรแมนติก >_<
ขอจบด้วยกลอนที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก McSorley's โดยตรงละกันนะคะ
At that awesome bar,
We sat. We drank. We talked.
You finished a glass.
I finished a glass.
Drinking was going on and on and on and on....
Rush of the day didn't harm us.
Tired of the journey did nothing to us.
Pace of people coming in and out had no business with us.
That was special to me.
Chilling out with you always be special to me...
So let's stick together if it's special for you too.
การเดินทางตามล่าหาเบียร์ : ตอนที่ 1 http://ppantip.com/topic/33957415
การเดินทางตามล่าหาเบียร์ : ตอนที่ 2 http://ppantip.com/topic/33957424
การเดินทางตามล่าหาเบียร์ : ตอนที่ 3 http://ppantip.com/topic/33957486
การเดินทางตามล่าหาเบียร์ : ตอนที่ 4 http://ppantip.com/topic/33979341
การเดินทางตามล่าหาเบียร์ : ตอนที่ 5 http://ppantip.com/topic/33990273
การเดินทางตามล่าหาเบียร์ : ตอนที่ 6 http://ppantip.com/topic/34017308
การเดินทางตามล่าหาเบียร์ : ตอนที่ 7 http://ppantip.com/topic/34076186
การเดินทางตามล่าหาเบียร์ : ตอนที่ 8 http://ppantip.com/topic/34199394
การเดินทางตามล่าหาเบียร์ : ตอนที่ 9 http://ppantip.com/topic/34305261
การเดินทางตามล่าหาเบียร์ : ตอนที่ 11 http://ppantip.com/topic/34730107
การเดินทางตามล่าหาเบียร์ : ตอนพิเศษ http://ppantip.com/topic/34810416