หลายๆ คน ไม่ได้อยากโสดนักหรอก แต่ส่วนใหญ่ความรักที่เข้ามา มักเป็นความรักที่จังหวะไม่ดีเสมอ
แล้วเราก็มักจะโทษจังหวะ โทษโชคชะตาอย่างนู้นอย่างนี้ บทความนี้จะทำให้เห็นมุมมองใหม่ๆว่า เออ จริงๆ ที่เราโสดมันอาจจะไม่ใช่โชคชะตาหรอก แต่เป็นนิสัยติดตัว เหตุผลทางจิตวิทยาอะไรบางอย่างที่ทำให้เราเป็นแบบนี้
จริงๆแล้วเรื่องของความสัมพันธ์ หรือความรัก ไม่ได้เป็นเรื่องของโชคชะตา ความบังเอิญอย่างที่คิด
ตัวเราเองสามารถควบคุมโลกของความรักได้มากพอสมควร เราสามารถสร้างโลกของตัวเราได้ ทุกการกระทำ ทุกความคิด ทุกๆอย่างที่เป็นตัวเรามีผลต่อคนที่เข้ามาเสมอ วิธีที่เราตอบสนองต่อพวกเขา วิธีที่เราแสดงตัวตนเราออกไปทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว
- กำแพง -
คนทุกคนมักจะเคยเจ็บปวดจากปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ และความเจ็บปวดนั้นๆ จะทำให้เราพยายามสร้างกำแพงขึ้นมาเพื่อป้องกันอะไรบางอย่าง
เรื่องแบบนี้เป็นมาตั้งแต่สมัยที่เราเป็นเด็ก คนที่ถูกเลี้ยงดูโดยพ่อแม่ที่ละเลยหรือเย็นชา ก็จะโตมาเป็นคนที่ไม่เชื่อใจในความรัก หลังจากนั้น เวลามีคนมาให้ความสนใจกับเรามากๆ เราก็จะมักสงสัยคนๆนั้นก่อนเลย
'เขาต้องการอะไรจากเรารึเปล่า เขาจะหลอกเรารึเปล่านะ'
และเมื่อใดที่เรามีเกราะป้องกัน มีกำแพงของตัวเองแล้ว เราก็มักจะเลือกคบกับคนที่เราไม่สมควรคบไว้โดยที่ไม่รู้ตัว เราจะเลือกคบกับคนที่ไม่ใส่ใจกับเรามากเท่าที่ควร เพราะเราจะไม่กล้าคบกับคนดีๆ และเวลาที่ความสัมพันธ์มันพัง ก็จะลงท้ายด้วยการโทษว่าเป็นความผิดของเขา
ทั้งๆที่ตัวเราเองนี่แหละที่เป็นคนเลือกแบบนี้ตั้งแต่ต้น ตัวเราเองเป็นคนเลือกที่จะคบกับคนที่ไม่แคร์เรา
- ความกลัว-
เพราะเราไม่เคยชินกับการได้รับความรัก ทำให้เรากลัวความใกล้ชิด และเราก็จะพยายามหาอะไรมาตอกย้ำความคิดนี้ของเราอยู่เสมอ
หรือถึงแม้เราจะพยายามคิดแง่ดี หรือเจอข้อดีของตัวเองขึ้นมา ‘ฉันมีค่าพอนะ เขาอยู่กับฉันแล้วจะต้องรู้สึกดีแน่ๆ' แต่เชื่อสิ อีกสักพักก็จะมีความคิดลอยแว้บเข้ามาในหัว 'นี่เราคิดว่าเราเป็นใครวะ ทำไมมั่นใจขนาดนี้' ความกลัวเหล่านี้แหละ จะเป็นตัวชะงักความสัมพันธ์ของเรา และยิ่งตอกย้ำให้เราเห็นภาพที่ลบๆของตัวเอง
คนเราไม่ค่อยกล้าคิดหรอกว่าเราสวย เราหล่อ เราดีแล้ว เพราะเรามักจะถูกบังคับให้คิดว่าอย่าหลงตัวเอง มันจึงกลายเป็นเรื่องง่ายกว่ามากที่เราจะไม่ชอบตัวเอง
เสียงในใจของเราจะคอยตอกย้ำเราอยู่เสมอ ‘ขาฉันใหญ่’ ‘ฉันมันน่าเกลียด’ ‘ฉันมันอ้วน’ และเมื่อไหร่ที่เราไม่ชอบตัวเอง เราก็จะยิ่งสร้างบรรยากาศที่อึมครึม ทำให้คนไม่กล้าเข้าหา หรือแม้แต่ตัวเราเองที่ไม่กล้าเข้าหาคนอื่น
ความไม่มั่นใจในตัวเองนั่นแหละ ยิ่งจะทำให้เรากลัวการแข่งขัน บางครั้งเวลาที่เราไปชอบใคร แต่มีคนอื่นมาชอบเขาเหมือนกัน เราก็จะชอบคิดว่า ‘คนนั้นดีกว่าเราตั้งเยอะ เราจะเอาอะไรไปสู้เขาวะ’ จนสุดท้ายเราก็จะถอยทั้งๆที่เรายังไม่ได้ลอง เรามักจะกลัวที่จะถูกมองว่าโง่ หรือแพ้ที่ไม่ได้ถูกเลือก หรือแม้กระทั่งคิดไปว่า ถ้าเราชนะ เราก็ต้องทำร้ายความรู้สึกของอีกคน
แต่ความจริงแล้ว ความรักคือการแข่งขัน ถ้าคุณไม่ทุ่มเท ไม่กล้าที่จะให้โอกาสกับมัน มันก็ไม่มีวันเป็นของคุณหรอก มันน่ากลัวจริงๆน่ะแหละที่จะข้ามผ่านความกลัวเหล่านั้น แต่เมื่อเราสู้แล้ว สุดท้ายตัวเราเองนี่แหละจะเข้มแข็งขึ้น เราจะค่อยๆขจัดความคิดอคติกับตัวเองออกไป และมันก็จะไปเพิ่มโอกาสดีๆที่อาจจะทำให้ความสัมพันธ์ดีๆเกิดขึ้นในอนาคต
- Comfort Zone & Rule -
เมื่อเราอยู่คนเดียวมากขึ้น เราก็จะค่อยๆเข้าไปอยู่ใน Comfort Zone ของตัวเอง เรามักจะมี Routine ของตัวเอง มีโลกของตัวเองที่กว้างขึ้น และกลัวที่จะออกมาจากโลกนั้น
ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากเสียงข้างในใจเราอีกน่ะแหละ ‘เราอยู่คนเดียวได้ แค่นอนดูซีรีย์ก็มีความสุขแล้วไง จะออกไปข้างนอกทำไม’ แต่ปัญหามันจะไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ เพราะอีกสักพัก เสียงๆนั้นก็จะดังขึ้นมาใหม่ ‘อยู่คนเดียวอีกละ อย่างเรานี่ต้องอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตแน่ๆ ไม่มีใครอยากมาใช้ชีวิตแบบนี้กับเราหรอก’
เอ้า สับสนอีก
กิจกรรมที่ทำให้เรารู้สึกสบายใจกับตัวเอง สุดท้ายก็จะทำให้เรารู้สึกแย่อยู่ดี เพราะฉะนั้นแล้ว เราควรจะลองต่อต้านเสียงในใจเราตั้งแต่ต้น แล้วลองออกไปใช้ชีวิตข้างนอกดูบ้าง ลองยิ้ม ลองสบตา ลองเปิดใจให้คนอื่น เพื่อที่จะค้นหาตัวตนในแบบใหม่ๆของตัวเอง และค้นหาว่าอะไรที่ทำให้เรามีความสุข
นอกจากที่เราจะมี Comfort Zone ของตัวเองแล้ว เราก็ยังจะเขียนกฏของตัวเองขึ้นมา เพื่อที่เราจะไม่ต้องเจ็บแบบซ้ำๆเดิมๆอีก แต่กฏบนกระดาษมันใช้ไม่ได้ในโลกของความจริงหรอก คุณก็รู้
เช่น หลังจากที่ผู้หญิงคนหนึ่งเคยคบกับนักดนตรี ซึ่งตัวเธอก็มีเคมีที่เข้ากับเขาได้ดีมาก แต่สุดท้ายความสัมพันธ์ก็ไม่เวิร์ค ผู้หญิงคนนั้นก็จะตั้งกฏของตัวเองขึ้นมาเลย
‘ฉันจะไม่คบกับนักดนตรีอีกแล้ว’
ทั้งๆที่เธอก็รู้ว่านักดนตรีทุกคนบนโลก ไม่ใช่คนแบบเขาคนนั้นทั้งหมด
-Everybody hurts-
ทุกๆคนมีบาดแผลกันทั้งนั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะไม่พบเจอความเจ็บปวดในชีวิต ยิ่งเจ็บปวด เราก็ยิ่งถอยหลังเข้าไปอยู่ในกำแพงที่เราสร้างขึ้น และเมื่อเรายิ่งถอย เราก็จะยิ่งจมดิ่งอยู่กับความเจ็บปวดไปเรื่อยๆ
ทางเดียวที่จะพบเจอกับความรักดีๆได้ คือ คุณจะต้องสู้กับความคิด สู้กับบาดแผลในอดีตของตัวเอง
อย่าคิดว่านี่เป็นปัญหาของความสัมพันธ์ ต้องให้คนอื่นมาแก้ จะแก้เองได้ยังไง อย่ารอให้คนอื่นมาบอกว่า คุณน่ะดีพร้อมที่จะมีความรักที่ดี ทุกๆอย่างมันเริ่มที่ตัวคุณเองทั้งนั้น เราต้องรักตัวเอง ให้คุณค่ากับตัวเองก่อน และก็คอยเปิดโอกาสอยู่เสมอ
บางครั้งมันอาจจะเจ็บปวด เศร้า เสียใจ แต่เมื่อใดที่เราไม่สู้ เราจะยิ่งลดโอกาสที่จะพบคนดีๆในอนาคตลงไปเท่านั้น
การเปิดโอกาสและจริงใจจะนำพาไปสู่ความรักที่แท้จริงและอุดมสมบูรณ์อยู่เสมอ แม้จะไม่ใช่ในความรักครั้งนี้ แต่ความรักครั้งต่อๆไปก็จะดีขึ้นแน่นอน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เครดิต ผู้แปลและเรียบเรียง : sunset
ที่มา - https://www.facebook.com/PsychologistCafe/photos/a.1510948479145891.1073741828.1509818395925566/1656737037900367/?type=3&theater
จิตวิทยากับความโสด
แล้วเราก็มักจะโทษจังหวะ โทษโชคชะตาอย่างนู้นอย่างนี้ บทความนี้จะทำให้เห็นมุมมองใหม่ๆว่า เออ จริงๆ ที่เราโสดมันอาจจะไม่ใช่โชคชะตาหรอก แต่เป็นนิสัยติดตัว เหตุผลทางจิตวิทยาอะไรบางอย่างที่ทำให้เราเป็นแบบนี้
จริงๆแล้วเรื่องของความสัมพันธ์ หรือความรัก ไม่ได้เป็นเรื่องของโชคชะตา ความบังเอิญอย่างที่คิด
ตัวเราเองสามารถควบคุมโลกของความรักได้มากพอสมควร เราสามารถสร้างโลกของตัวเราได้ ทุกการกระทำ ทุกความคิด ทุกๆอย่างที่เป็นตัวเรามีผลต่อคนที่เข้ามาเสมอ วิธีที่เราตอบสนองต่อพวกเขา วิธีที่เราแสดงตัวตนเราออกไปทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว
- กำแพง -
คนทุกคนมักจะเคยเจ็บปวดจากปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ และความเจ็บปวดนั้นๆ จะทำให้เราพยายามสร้างกำแพงขึ้นมาเพื่อป้องกันอะไรบางอย่าง
เรื่องแบบนี้เป็นมาตั้งแต่สมัยที่เราเป็นเด็ก คนที่ถูกเลี้ยงดูโดยพ่อแม่ที่ละเลยหรือเย็นชา ก็จะโตมาเป็นคนที่ไม่เชื่อใจในความรัก หลังจากนั้น เวลามีคนมาให้ความสนใจกับเรามากๆ เราก็จะมักสงสัยคนๆนั้นก่อนเลย
'เขาต้องการอะไรจากเรารึเปล่า เขาจะหลอกเรารึเปล่านะ'
และเมื่อใดที่เรามีเกราะป้องกัน มีกำแพงของตัวเองแล้ว เราก็มักจะเลือกคบกับคนที่เราไม่สมควรคบไว้โดยที่ไม่รู้ตัว เราจะเลือกคบกับคนที่ไม่ใส่ใจกับเรามากเท่าที่ควร เพราะเราจะไม่กล้าคบกับคนดีๆ และเวลาที่ความสัมพันธ์มันพัง ก็จะลงท้ายด้วยการโทษว่าเป็นความผิดของเขา
ทั้งๆที่ตัวเราเองนี่แหละที่เป็นคนเลือกแบบนี้ตั้งแต่ต้น ตัวเราเองเป็นคนเลือกที่จะคบกับคนที่ไม่แคร์เรา
- ความกลัว-
เพราะเราไม่เคยชินกับการได้รับความรัก ทำให้เรากลัวความใกล้ชิด และเราก็จะพยายามหาอะไรมาตอกย้ำความคิดนี้ของเราอยู่เสมอ
หรือถึงแม้เราจะพยายามคิดแง่ดี หรือเจอข้อดีของตัวเองขึ้นมา ‘ฉันมีค่าพอนะ เขาอยู่กับฉันแล้วจะต้องรู้สึกดีแน่ๆ' แต่เชื่อสิ อีกสักพักก็จะมีความคิดลอยแว้บเข้ามาในหัว 'นี่เราคิดว่าเราเป็นใครวะ ทำไมมั่นใจขนาดนี้' ความกลัวเหล่านี้แหละ จะเป็นตัวชะงักความสัมพันธ์ของเรา และยิ่งตอกย้ำให้เราเห็นภาพที่ลบๆของตัวเอง
คนเราไม่ค่อยกล้าคิดหรอกว่าเราสวย เราหล่อ เราดีแล้ว เพราะเรามักจะถูกบังคับให้คิดว่าอย่าหลงตัวเอง มันจึงกลายเป็นเรื่องง่ายกว่ามากที่เราจะไม่ชอบตัวเอง
เสียงในใจของเราจะคอยตอกย้ำเราอยู่เสมอ ‘ขาฉันใหญ่’ ‘ฉันมันน่าเกลียด’ ‘ฉันมันอ้วน’ และเมื่อไหร่ที่เราไม่ชอบตัวเอง เราก็จะยิ่งสร้างบรรยากาศที่อึมครึม ทำให้คนไม่กล้าเข้าหา หรือแม้แต่ตัวเราเองที่ไม่กล้าเข้าหาคนอื่น
ความไม่มั่นใจในตัวเองนั่นแหละ ยิ่งจะทำให้เรากลัวการแข่งขัน บางครั้งเวลาที่เราไปชอบใคร แต่มีคนอื่นมาชอบเขาเหมือนกัน เราก็จะชอบคิดว่า ‘คนนั้นดีกว่าเราตั้งเยอะ เราจะเอาอะไรไปสู้เขาวะ’ จนสุดท้ายเราก็จะถอยทั้งๆที่เรายังไม่ได้ลอง เรามักจะกลัวที่จะถูกมองว่าโง่ หรือแพ้ที่ไม่ได้ถูกเลือก หรือแม้กระทั่งคิดไปว่า ถ้าเราชนะ เราก็ต้องทำร้ายความรู้สึกของอีกคน
แต่ความจริงแล้ว ความรักคือการแข่งขัน ถ้าคุณไม่ทุ่มเท ไม่กล้าที่จะให้โอกาสกับมัน มันก็ไม่มีวันเป็นของคุณหรอก มันน่ากลัวจริงๆน่ะแหละที่จะข้ามผ่านความกลัวเหล่านั้น แต่เมื่อเราสู้แล้ว สุดท้ายตัวเราเองนี่แหละจะเข้มแข็งขึ้น เราจะค่อยๆขจัดความคิดอคติกับตัวเองออกไป และมันก็จะไปเพิ่มโอกาสดีๆที่อาจจะทำให้ความสัมพันธ์ดีๆเกิดขึ้นในอนาคต
- Comfort Zone & Rule -
เมื่อเราอยู่คนเดียวมากขึ้น เราก็จะค่อยๆเข้าไปอยู่ใน Comfort Zone ของตัวเอง เรามักจะมี Routine ของตัวเอง มีโลกของตัวเองที่กว้างขึ้น และกลัวที่จะออกมาจากโลกนั้น
ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากเสียงข้างในใจเราอีกน่ะแหละ ‘เราอยู่คนเดียวได้ แค่นอนดูซีรีย์ก็มีความสุขแล้วไง จะออกไปข้างนอกทำไม’ แต่ปัญหามันจะไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ เพราะอีกสักพัก เสียงๆนั้นก็จะดังขึ้นมาใหม่ ‘อยู่คนเดียวอีกละ อย่างเรานี่ต้องอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตแน่ๆ ไม่มีใครอยากมาใช้ชีวิตแบบนี้กับเราหรอก’
เอ้า สับสนอีก
กิจกรรมที่ทำให้เรารู้สึกสบายใจกับตัวเอง สุดท้ายก็จะทำให้เรารู้สึกแย่อยู่ดี เพราะฉะนั้นแล้ว เราควรจะลองต่อต้านเสียงในใจเราตั้งแต่ต้น แล้วลองออกไปใช้ชีวิตข้างนอกดูบ้าง ลองยิ้ม ลองสบตา ลองเปิดใจให้คนอื่น เพื่อที่จะค้นหาตัวตนในแบบใหม่ๆของตัวเอง และค้นหาว่าอะไรที่ทำให้เรามีความสุข
นอกจากที่เราจะมี Comfort Zone ของตัวเองแล้ว เราก็ยังจะเขียนกฏของตัวเองขึ้นมา เพื่อที่เราจะไม่ต้องเจ็บแบบซ้ำๆเดิมๆอีก แต่กฏบนกระดาษมันใช้ไม่ได้ในโลกของความจริงหรอก คุณก็รู้
เช่น หลังจากที่ผู้หญิงคนหนึ่งเคยคบกับนักดนตรี ซึ่งตัวเธอก็มีเคมีที่เข้ากับเขาได้ดีมาก แต่สุดท้ายความสัมพันธ์ก็ไม่เวิร์ค ผู้หญิงคนนั้นก็จะตั้งกฏของตัวเองขึ้นมาเลย
‘ฉันจะไม่คบกับนักดนตรีอีกแล้ว’
ทั้งๆที่เธอก็รู้ว่านักดนตรีทุกคนบนโลก ไม่ใช่คนแบบเขาคนนั้นทั้งหมด
-Everybody hurts-
ทุกๆคนมีบาดแผลกันทั้งนั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะไม่พบเจอความเจ็บปวดในชีวิต ยิ่งเจ็บปวด เราก็ยิ่งถอยหลังเข้าไปอยู่ในกำแพงที่เราสร้างขึ้น และเมื่อเรายิ่งถอย เราก็จะยิ่งจมดิ่งอยู่กับความเจ็บปวดไปเรื่อยๆ
ทางเดียวที่จะพบเจอกับความรักดีๆได้ คือ คุณจะต้องสู้กับความคิด สู้กับบาดแผลในอดีตของตัวเอง
อย่าคิดว่านี่เป็นปัญหาของความสัมพันธ์ ต้องให้คนอื่นมาแก้ จะแก้เองได้ยังไง อย่ารอให้คนอื่นมาบอกว่า คุณน่ะดีพร้อมที่จะมีความรักที่ดี ทุกๆอย่างมันเริ่มที่ตัวคุณเองทั้งนั้น เราต้องรักตัวเอง ให้คุณค่ากับตัวเองก่อน และก็คอยเปิดโอกาสอยู่เสมอ
บางครั้งมันอาจจะเจ็บปวด เศร้า เสียใจ แต่เมื่อใดที่เราไม่สู้ เราจะยิ่งลดโอกาสที่จะพบคนดีๆในอนาคตลงไปเท่านั้น
การเปิดโอกาสและจริงใจจะนำพาไปสู่ความรักที่แท้จริงและอุดมสมบูรณ์อยู่เสมอ แม้จะไม่ใช่ในความรักครั้งนี้ แต่ความรักครั้งต่อๆไปก็จะดีขึ้นแน่นอน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้