ครบรอบ 1 ปี ซ่อนเงินเก็บเมียไว้ได้ 7,000,000 บาท

ผมตัดสินใจอยู่นานว่าจะโพสต์เรื่องราวนี้ดีมั๊ย....เพราะกลัวว่าจะโดนดราม่าหลายเรื่อง รวมถึงกลัวหาว่าไปโฆษณาแฝงอะไรหรือป่าว ตอบก่อนเลยครับว่า เรื่องที่ผ่านมาตลอด 1 ปีเป็นเรื่องที่เริ่มต้นด้วยตัวคนเดียวเป็นรายได้เสริมจากธุรกิจที่ดูแลอยุ่แล้วในปัจจุบัน แต่ได้เคยสัญญากับคนในนี้ไว้ว่างจะเอามาแชร์ให้ฟังหวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจสำหรับคนเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ จนตอนนี้ครบ 1 ปีแล้วที่เริ่มต้น ถ้าสิ้นปีนี้ก็จะ 1 ปี 2 เดือน กับรายได้โดยประมาณ 7,000,000 บาท กระทู้นี้ไม่มีผลในการโฆษณาอะไรทั้งสิ้น ไม่ได้เชิญชวนไปสัมนา ไม่ได้พาไปทัวร์ที่ไหน ไม่ได้แนะนำหลังไมค์ ไม่ได้มีเทคนิคพิเศษอื่นใดนอกจากเทคนิคที่แชร์ในนี้เท่านั้น อาศัยความสม่ำเสมอในการทำคอนเทนต์ที่มีคุณภาพเป็นหลักให้กับคนที่สนใจดู จนเกิดยอดขายได้

ย้อนกลับไปเมื่อประมาณเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ผมได้เริ่มต้นธุรกิจขายของออนไลน์เล็กๆขึ้นมาจากการที่อยากจะหารายได้เสริมไปเที่ยวปีใหม่ แต่ใจจริงๆนี่จะเอาไปซื้อ Big Bike อยากได้ Ducuti หรือ ER6N สักคัน (ซื้อไปตลาดจ่ายกับข้าวเลยล่ะครับ 555 เพราะก็ยังไม่มีกลุ่มขี่ด้วยอยู่ดี) นั่นล่ะความฝันของลูกผู้ชายคนนึงเลยล่ะ ผมเองไม่ได้อยากดึงเงินในครอบครัวหรือจากธุรกิจหลักที่ทำอยู่เอามาซื้อเพราะผมคิดว่ามันคนล่ะส่วนกัน ถ้าอยากได้ก็ควรจะหารายได้อื่นมาเสริมแล้วค่อยใช้เงินนี้ซื้อดีกว่าจะได้ไม่ไปกระทบกับรายได้อื่นๆ ก็เริ่มต้นตามที่เคยกล่าวไว้ในกระทู้ก่อนหน้านั่นล่ะครับ ผมสรุปออกมาเป็นข้อๆให้ดูแบบง่ายๆว่า วางแผนอย่างไรนะครับ และจะอธิบายเรื่อง ซ่อนเงินไว้อย่างไรไม่ให้เมียรู้มาตลอดทั้งปี ^//^

คือก่อนอื่นที่จะขายสินค้ามันเป็นเรื่องของการมองตลาดนะครับ ถ้าเป็นผม ผมมองแบบนี้ตามลำดับ

1.ตลาดมีความต้องการในสินค้ากลุ่มไหนที่เหมาะสมกับเรา และเรามองกลับไปที่ตลาดนั้นว่า เรามีความรู้และมีความสุขที่จะอยู่ในตลาดนั้นหรือป่าว

2.ถ้าเราจะเข้าตลาดนั้น เราจะต้องรู้มูลค่าตลาดและเราจะมีจุดไหนที่จะเข้าไปแชร์ตลาดได้ และรู้จุดเด่นในสินค้าที่เราจะเข้าไปตีคู่แข่ง

3.กำหนดตัวต้นทุนเราให้ออกมาให้ได้ และควรมีกำไรอย่างน้อย ไม่ต่ำกว่า 100% ในการป้องกันผลประโยชน์ที่เราควรจะได้รับและคุ้มเหนื่อยในธุรกิจ

4.เมื่อผมได้ตลาดได้สินค้าและได้ต้นทุนแล้ว ผมจะมองว่าเราจะเริ่มต้นแค่คนเดียวได้มั๊ยทั้งระบบในช่วง 3-6 เดือนแรกคือ สามารถทำกระบวนการตั้งแต่ต้นจนสามารถขายและรับเงินลูกค้าได้เลย โดยใช้เราคนเดียวมั๊ย

5.ถ้าเกิดว่าทำได้ ผมก็กำหนดการลงทุนไว้อีกว่า ค่าโฆษณาออนไลน์ Facebook หรือ Google Ads จะต้องสามารถทำให้คุ้มค่าใช้จ่ายใน 1 บิล หรือ 2 บิลได้หรือไม่ คือ ตัวเลขจริงๆเลยนะ ค่าโฆษณา 300 บาท/วัน Facebook Ads เดือนล่ะ 9,000 บ. แต่ต้องสามารถสร้างยอดขายใน ใน 1 บิล หรือ 2 บิล รวมกันได้เกิน 9,000 บาท คือ ขายสินค้าแค่บิลเดียวจะต้องได้ค่าโฆษณาทั้งเดือนคืนมา ต่อ 1 ช่องทางการโฆษณาน่ะ ถ้าทำได้ประมาณนี้ผมให้ลิสต์ว่าสมควรขายสินค้านี้อย่างยิ่ง (แต่ถ้าต้อง 3-5 บิล ขึ้นมาก็เหนื่อยหน่อย แต่ถ้าเกิน 7 บิล ผมว่าอยู่เฉยๆก็กำไรนะ ไม่เครียดด้วย)

6.ฉลากสินค้า กล่อง แพ็คเก็จ ต้องสามารถสั่งขั้นต่ำได้นะ อ่อสินค้าก็ต้องสั่งขึ้นต่ำแบบต่ำจริงๆด้วยนะ เพราะว่าผมให้ความสำคัญกับต้นทุนกำไรและผลของการเติบโตไปด้วยกันด้วย หากคิดจะมาฟันเราล็อตแรก ผมก็สั่งนะ แต่สั่งแล้วมีเปลี่ยนแปลงไปให้เจ้าอื่นทำให้ดีกว่าอ่ะ 555 หรือหากเราสามารถผลิตได้เองจะยิ่งดีใหญ่

7.อ่อเรื่องช่องทางจัดจำหน่ายเอาง่ายเลยนะ 3 ช่องทาง กับคน 1 คน ที่จะต้องบริหารให้ได้ ง่ายๆเลย Facebook / Adwords / Instragram ถ้า 3 รูปแบบนี้ยังโฆษณาขายของไม่ได้อีก ทำใจได้เลยว่าสินค้ามาผิดทางไม่เหมาะกับออนไลน์ล่ะ

8.สำคัญคือเรื่องการตั้งราคาให้แข่งได้ทุกกลุ่มเป้าหมาย ไม่อยากไปตัดเจ้าอื่นทำให้ราคาเสียใช่ป่ะ คือให้ทำแบบนี้ไปเลย 1 สินค้า 3 ราคา 3 แบรนด์ 3 ช่องทางการตลาด 3 กลุ่มลูกค้า แต่เงินเข้ากระเป๋าเราคนเดียว Get มั๊ยครับว่าไปแตกแบรนด์มาแข่งกันเองพอ (แต่ถ้าแม่มทุกกลุ่มยังขายไม่ได้ก็อยู่เฉยๆกำไรกว่านะ 555)

9.สุดท้ายเคล็ดลับออนไลน์ล่ะกัน : ผมให้ความสำคัญกับการตลาดในการขายที่จะทำให้ลูกค้าเป้าหมายเจอและซื้อเรา สินค้าจะดีเลิศแค่ไหน ถ้าใช้โฆษณาเดือนละ 9,000 หรือวันล่ะ 300 แล้วไม่ได้ยอดอะไรเลยและไม่ทำกำไรบ้างด้วย (อยู่เฉยๆกำไรกว่านะ) ดังนั้นแล้วไปเลือกว่าจะขายช่องไหนที่เหมาะกับสินค้าเราและขายได้ ซึ่งเราจะต้องหาและรู้ให้ได้เร็วที่สุดนะครับ

พอผมได้เงื่อนไขและกฏเกณฑ์ในตอนนั้นเรียบร้อยแล้วก็เริ่มต้นทำการตลาดและขายด้วยตัวคนเดียวมาตลอดครับ ทุกวันนี้ก็มีทีมงานเพิ่มมาช่วยในการส่งของและจัดการในเรื่องต่างๆบ้างทำให้เราสามารถทำให้ธุรกิจนี้กลายๆว่าจะเป็น Passive Income อีกช่องทางหนึ่ง หลายคนถามว่าสินค้าขายดีขนาดนี้ในช่วงปีที่ผ่านมาจะไม่มีคู่แข่งมาตัดราคา หรือแย่งตลาดเพิ่มมากขึ้นเลยเหรอ ตอบได้เลยครับ ว่ามีเพิ่มขึ้นแน่นอนแต่ ผมมีทัศนคติแบบนี้และก็แก้ปัญหาไปตามความคิดผมเองว่าควรจะทำอย่างไร ผมอธิบายไว้อย่างนี้ล่ะกันครับ

เกี่ยวกับคู่แข่งที่เยอะขึ้น มันยิ่งทำให้เรารวยและเด่นยิ่งขึ้น

ปัญหาที่คนทำธุรกิจออนไลน์และทั่วไปเจอก็คือ มีคู่แข่งขันในสินค้าที่ทำกำไรเพิ่มมากขึ้นๆทุกปีและทุกปีก็มีคนล้มหายตายจาก จากธุรกิจที่แข่งขันกันเองนั้นอยู่เสมอ แต่ในความคิดผมนั้น คิดว่ามันดีมากที่เกิดคู่แข่งมากขึ้น ซึ่งจะช่วยทำให้กระตุ้นตลาดได้ดียิ่งขึ้น ทำให้คนรู้จักสินค้ามากขึ้น มีความต้องการมากขึ้น มีคนพูดถึงมากขึ้น สินค้าหรือบริการเป็นที่ยอมรับมากขึ้น และทำให้เราขึ้นเป็นเบอร์ 1 ได้ง่ายขึ้นด้วยซ้ำ หากเรามั่นใจว่า สินค้าหรือบริการที่เราทำอยู่นั้นแตกต่างกับของคู่แข่งอย่างสิ้นเชิง โดยหากเราได้วางแผนตำแหน่งของสินค้ามาแล้วตั้งแต่ต้นก็แทบจะไม่กลัวอะไรเลยว่าจะมีคนขายแข่งกับเรา
ถ้าถามผมโครตชอบเลยที่มีคู่แข่งเกิดขึ้นมาเยอะๆ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นแล้วตัดราคา เสนอบริการอะไรที่แตกต่างจากเรา หรือแม้กระทั่งโดนด่าหรือโจมตีจากคู่แข่ง

#จากประสบการณ์ที่ผ่านมา
-ยิ่งผมมีคู่แข่งมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เรามีจุดแข็งมากกว่าคู่แข่งที่เปิดใหม่ (ใช้เรื่องนี้อธิบายกับลูกค้าได้เลยว่า ทำไมเราดีกว่า)
-ยิ่งมีคนโจมตีเรามากเท่าไหร่ (ยิ่งทำให้เราการันตีกับลูกค้าได้เลยว่า คนเลือกบริการเรามีเยอะมากกว่าเท่านั้น)
-ยิ่งคู่แข่งตัดราคา (เรายิ่งสร้างข้อเปรียบเทียบให้เห็นได้ชัด)
-ยิ่งมีคนเลียนแบบมากเท่าไหร่ (ออริจินอลยิ่งดีกว่าเสมอ)
-ยิ่งเกิดคู่แข่งเยอะมากเท่าไหร่ (เรายิ่งพัฒนาให้นำคู่แข่งเสมอ)

#สิ่งที่เราแก้ปัญหาคือ
1.ทำเช็คลิสต์ข้อเปรียบเทียบกับคู่แข่งให้เรียบร้อยให้ลูกค้าตัดสินใจได้เลยว่าเราดีกว่าอย่างไร
2.เปรียบเทียบให้เห็นว่าราคาถูกกว่าไม่ได้เป็นตัวตัดสินว่าคุณภาพสินค้าหรือบริการจะดีกว่าเสมอไป
3.ใจกว้างกับลูกค้าเสมอหากอยากไปซื้อกับคู่แข่ง แต่ต้องยื่นข้อเสนอทุกครั้งว่าหากคิดว่าของเราดีกว่า กลับมาหาเรานะเพราะเราให้ส่วนลดเลยหากตัดสินใจซื้อกับเรา
4.กล้าที่จะกดดันคู่แข่งด้วยช่องทางการตลาดที่มากกว่า
5.กล้าที่จะยื่นข้อเสนอพิเศษให้กับลูกค้าที่มั่นใจสินค้าของเรา
6.กล้าอย่างสุดท้ายที่ควรทำคือ "กล้าที่จะร่วมมือกับคู่แข่ง"
#ทุกอย่างอยู่ที่ทัศนคติในการแก้ปัญหา หากอยู่รอดได้แสดงว่าคุณมีทัศนคติที่ดีในการมองปัญหาเป็นโอกาส

นั่นคือสิ่งที่ผมวางแผนและก็ทำมาตลอดในปีที่ผ่านมาครับ จนทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ซื้อ Big Bike  เลยสักที มองกลับไปว่าเก็บเงินไว้ดีกว่า น่าจะเอาเงินก้อนนี้เป็นเงินที่เอาไว้ “สอนให้ลูกลงทุน เจ็บกับการขาดทุนด้วยเงินของป๊าเค้าเอง เรียนรู้ด้วยตัวเค้าเองว่าบริหารเงินผิดแล้วเจ๊งเป็นอย่างไร เค้าจะได้มีภูมิคุ้มกันทางการเงิน”  

กลับมาที่เรื่องของเมียว่าทำไมเค้าไม่รู้และผมทำอย่างไร เริ่มเกริ่นนำก่อนนะครับว่า “ คนเราทุกคนมีความเก่งที่แตกต่างกันออกไปในแต่ล่ะด้าน “ พอดีว่าภรรยาผมเค้าเป็นคนที่สวยน่ารักมาก ชอบเรื่องที่ผู้หญิงทุกคนชอบคือการช็อปปิ้ง แต่ไม่ได้ชอบไปเที่ยวไหนมากเท่าไหร่ เป็นคนอยู่ติดบ้าน ทำอาหารโครตเก่งแถมอร่อยมาก การเลี้ยงดูลูกนี่เค้าสุดยอดเลยล่ะครับ ผมนี่วางใจได้เลยว่าเค้าจะเป็นแม่ที่ดูของลูกผมได้แน่นอน ส่วนเรื่องการดูแลผมก็ทำได้เป็นอย่างดี เตรียมอาหารทำกับข้าว ไม่มีที่ติ ที่บ้านจะมีแม่บ้านคอยดูแลบ้านและทำความสะอาดอยู่แล้วเค้าจะเป็นคนบอกและกำหนดอาหารและลงมือทำ ส่วนผมต้องไปซื้อกับข้าวให้เค้าตลอด (นี่ล่ะความฝัน Biker ล่ะว่าจะได้โอกาสซิ่งก็ตอนนี้) แต่เค้าเองจะไม่ได้เก่งเรื่องการบริหารธุรกิจหรือเรื่องการเงินเลย อย่างเรื่องตลาดหุ้นผมเคยให้เค้าลองลงทุนและศึกษาดูเรื่องตัวเลขเค้าก็ไม่เข้าใจ เรื่องการวิเคราะห์ธุรกิจว่าจะต้องทำอย่างไร นี่ก็แล้วใหญ่เลย อาจจะเป็นเพราะว่าสิ่งแวดล้อมที่โตมาแตกต่างกัน ผมทำธุรกิจมาตั้งแต่เด็กเลยชินกับเรื่องพวกนี้ แต่ภรรยาผมโตมาจากสายงานเกี่ยวกับโรงแรมเลยมีความคิดเห็นในธุรกิจที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มีหลายครั้งที่เราทำงานร่วมกัน และก็ต้องทะเลาะกันทุกครั้งไป บางครั้งมันก็ทำให้ความสัมพันธ์มันแย่ไปเลยก็มี ผลเลยตกลงกันว่า ธุรกิจใครธุรกิจมัน บริหารกันเอง แต่ให้คำปรึกษาซึ่งกันและกันขอความเห็นร่วมกันได้ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่จะไม่ลงทุนร่วมกัน เพื่อป้องกันปัญหาการทะเลาะกัน  เมื่อเราตกลงกันแล้วผมก็เลยเริ่มต้นดังที่กล่าวมาข้างต้น โดยผมไม่ได้บอกว่ายอดขายเท่าไหร่ ต่อวันนึงเงินเข้าเท่าไหร่ กำไรเท่าไหร่ โดยผมก็มีวิธีการหลบซ่อนรายได้ที่เข้ามาดังนี้ครับ

ต่อด้านล่างนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่