สำหรับใครที่กำลังทำการค้าต่างๆ เชื่อว่าต้องมีปัญหาเรื่องราคามาจุกจิก ไม่มากก็น้อย แม้ธุรกิจเราอาจจะไม่เกี่ยวด้านราคา แต่ก็โดนอดเปรียบเทียบราคาไม่ได้อยู่ดี
.
และสำหรับคนที่ทำธุรกิจ ซื้อมา~ขายไป หรือกระทั่งโรงงานต่างๆ ที่เป็นธุรกิจสงครามราคาเกือบเต็มรูปแบบ เขาจะเจอมรสุมอะไรกันบ้าง กำไรเหลือกันเท่าไหร่ ตอนนี้เราจะมาเล่ากันให้หมดเปลือกเลย
.
คนที่อ่านถึงตอนนี้ ลองนึกตัวเลขในใจกันดูว่า ถ้าเราซื้อของชิ้นนึง แล้วนำมาขายออกไป เราหวังกำไรกี่ % และขั้นต่ำสุดแล้ว กำไรที่เรายอมรับได้ ยอมรับที่กี่ % ( ลองเขียนจดไว้ดู )
.
ธุรกิจ ที่เราจะมานำเสนอ เป็นธุรกิจเกี่ยวกับขายอุปกรณ์ ก่อสร้าง เป็นธุรกิจที่ตัดราคากันมาเนิ่นนานกว่า 40-50 ปี ฉะนั้นย่อมตัดราคากันถึงที่สุด ใครที่คิดว่าธุรกิจที่เราทำ ตัดราคากันมากแล้ว ลองมาดูธุรกิจที่คุณคิดกันว่าตัดราคากันมากขนาดนี้รึเปล่า
.
ธุรกิจขายอุปกรณ์ ก่อสร้าง เราจะเน้นภาพรวม เพราะสินค้าแต่ละประเภท กำไรอาจจะต่างกันบ้าง จึงเหมาเป็นภาพรวม ให้เข้าใจง่ายๆ เราจะแบ่งร้านค้า ออกเป็น 4 ประเภท
1. ร้านค้าขนาดเล็ก เน้นขายทั่วไปมีลูกค้าขาจรเสียส่วนใหญ่ ร้านพวกนี้ ราคาค่อนข้างสูง เน้นขายสถานที่ใกล้เคียง เพราะช่างอาจจะขี้เกียจหาสินค้าไกลๆ ร้านประเภทนี้เน้นกำไรสูง อยู่ที่ 40-150% ( ร้านประเภทนี้ส่วนใหญ่ไม่เติบโต เพราะไม่มีลูกค้าประจำเจ้าใหญ่ๆ )
2. Modern trade ร้านจำพวก ไทวัสดุ ร้านพวกนี้มีสินค้าครอบจักรวาล ราคาค่อนข้างมีมาตราฐาน แต่เนื่องจากค่าใช้จ่ายเรื่องการดำเนินการสูง ทำให้กำไรของร้านแบบนี้อยู่ที่ 20-40% (หมายเหตุ ถ้าเป็น dohome ราคาจะถูกกว่า ไทวัสดุ กำไรจะอยู่ที่ 15-30% ต่อสินค้า )
3. ร้านค้าขนาดกลาง - สูง ร้านประเภทนี้เริ่มตัดราคากันเป็นหลัก เนื่องจากต้องดึงลูกค้าให้อยู่กับเรามากที่สุด ลูกค้าเกือบทุกคน ไม่มี Brand Royalty ถ้าคุณขายถูก ลูกค้าก็พร้อมจะเปลี่ยนร้านในทันที เนื่องจากเราต้องแข่งกับร้านที่มี Power ร้านอื่นๆ และยังต้องกดกำไรให้เห็นส่วนต่างมาก พอที่ลูกค้าจะไม่หันไปซื้อ Modern trade ดังนั้นร้านค้าประเภทนี้จะได้กำไรอยู่ที่ 2-15%
4. ยี่ปั้วะ ต่างๆ กำไรของยี่ปั้วะนั้นแทบจะต่ำเตี้ย จนบางครั้งก็รับความเสี่ยงเรื่องการขาดทุนเช่นกัน สินค้าบางประเภท ตัดราคากันที่ 0.5% ใช่แล้วท่านฟังไม่ผิด ตัดราคาที่ 0.5% นั้นคือ ของราคา 1,000บาท แต่ตัดราคากันแค่ 5 บาท ลูกค้าก็พร้อมที่จะย้ายร้านสั่งแล้ว (สินค้าเหมือนกัน) กำไรของยี่ปั้วะส่วนใหญ่ จะอยู่ที่ 1-5%
.
กลยุทธ์ การตัดราคา ไม่ใช่แค่รับมาเท่าไหร่ ก็ขายเท่านั้น แต่จะนับไปรวมถึงเป้าสินค้า ด้วย เช่น
ยี่ปั้วะ ซื้อของ 1 ล้านบาท ได้ ทอง 1 บาท ส่วนใหญ่มักคิดว่า ก็มอบเป้าแบบเดียวกันให้ลูกค้าของเราไป ก็คือจบ
.
แต่ในความเป็นจริง ลูกค้าของยี่ปั้วะส่วนใหญ่ ไม่มีกำลังพอที่จะซื้อเป้าพวกนี้ได้ ยี่ปั้วะบางแห่งจึง นำเป้าสิ่งของนั้นๆ มาตีเป็นมูลค่า แล้วมาลดราคาสินค้าให้เรา เช่น เป้าทอง 1 บาท ตีเป็นมูลค่า 20,000 บาท เทียบเป็น 2% จาก 1 ล้านบาท ก็นำส่วนตรงนี้มาลดราคาให้ลูกค้าเพิ่มจากเดิมให้อีก 1-2% แทน ( อย่างที่บอก 0.5% ยังมีผลเลย ดังนั้น 1-2% ถือว่าเยอะมาก )
.
สรุปแล้ว ในธุรกิจซื้อมาขายไป ในสินค้าชนิดเดียวกัน ที่ใครๆก็สามารถเป็นตัวแทนขายได้ กำไรสุทธิจะเป็น
ขายส่ง 1.5-3%
ขายปลีก 3-10%
.
เดี๋ยวเย็นๆมาเขียนเรื่อง
"ธุรกิจแบบนี้จะโดนปลาใหญ่ กินปลาเล็ก รึเปล่า?? "
~ ในความคิดหลายๆคน มักคิดว่าไทวัสดุ Dohome กินตลาดนี้ไปแล้ว จะจริงอย่างที่บอกรึเปล่า เด่วมาเล่าเย็นๆนะ
เล่าหมดเปลือก จุดจบของสงครามราคา เหลือกำไรกี่ % ปลาใหญ่จะกินปลาเล็กรึเปล่า ??
.
และสำหรับคนที่ทำธุรกิจ ซื้อมา~ขายไป หรือกระทั่งโรงงานต่างๆ ที่เป็นธุรกิจสงครามราคาเกือบเต็มรูปแบบ เขาจะเจอมรสุมอะไรกันบ้าง กำไรเหลือกันเท่าไหร่ ตอนนี้เราจะมาเล่ากันให้หมดเปลือกเลย
.
คนที่อ่านถึงตอนนี้ ลองนึกตัวเลขในใจกันดูว่า ถ้าเราซื้อของชิ้นนึง แล้วนำมาขายออกไป เราหวังกำไรกี่ % และขั้นต่ำสุดแล้ว กำไรที่เรายอมรับได้ ยอมรับที่กี่ % ( ลองเขียนจดไว้ดู )
.
ธุรกิจ ที่เราจะมานำเสนอ เป็นธุรกิจเกี่ยวกับขายอุปกรณ์ ก่อสร้าง เป็นธุรกิจที่ตัดราคากันมาเนิ่นนานกว่า 40-50 ปี ฉะนั้นย่อมตัดราคากันถึงที่สุด ใครที่คิดว่าธุรกิจที่เราทำ ตัดราคากันมากแล้ว ลองมาดูธุรกิจที่คุณคิดกันว่าตัดราคากันมากขนาดนี้รึเปล่า
.
ธุรกิจขายอุปกรณ์ ก่อสร้าง เราจะเน้นภาพรวม เพราะสินค้าแต่ละประเภท กำไรอาจจะต่างกันบ้าง จึงเหมาเป็นภาพรวม ให้เข้าใจง่ายๆ เราจะแบ่งร้านค้า ออกเป็น 4 ประเภท
1. ร้านค้าขนาดเล็ก เน้นขายทั่วไปมีลูกค้าขาจรเสียส่วนใหญ่ ร้านพวกนี้ ราคาค่อนข้างสูง เน้นขายสถานที่ใกล้เคียง เพราะช่างอาจจะขี้เกียจหาสินค้าไกลๆ ร้านประเภทนี้เน้นกำไรสูง อยู่ที่ 40-150% ( ร้านประเภทนี้ส่วนใหญ่ไม่เติบโต เพราะไม่มีลูกค้าประจำเจ้าใหญ่ๆ )
2. Modern trade ร้านจำพวก ไทวัสดุ ร้านพวกนี้มีสินค้าครอบจักรวาล ราคาค่อนข้างมีมาตราฐาน แต่เนื่องจากค่าใช้จ่ายเรื่องการดำเนินการสูง ทำให้กำไรของร้านแบบนี้อยู่ที่ 20-40% (หมายเหตุ ถ้าเป็น dohome ราคาจะถูกกว่า ไทวัสดุ กำไรจะอยู่ที่ 15-30% ต่อสินค้า )
3. ร้านค้าขนาดกลาง - สูง ร้านประเภทนี้เริ่มตัดราคากันเป็นหลัก เนื่องจากต้องดึงลูกค้าให้อยู่กับเรามากที่สุด ลูกค้าเกือบทุกคน ไม่มี Brand Royalty ถ้าคุณขายถูก ลูกค้าก็พร้อมจะเปลี่ยนร้านในทันที เนื่องจากเราต้องแข่งกับร้านที่มี Power ร้านอื่นๆ และยังต้องกดกำไรให้เห็นส่วนต่างมาก พอที่ลูกค้าจะไม่หันไปซื้อ Modern trade ดังนั้นร้านค้าประเภทนี้จะได้กำไรอยู่ที่ 2-15%
4. ยี่ปั้วะ ต่างๆ กำไรของยี่ปั้วะนั้นแทบจะต่ำเตี้ย จนบางครั้งก็รับความเสี่ยงเรื่องการขาดทุนเช่นกัน สินค้าบางประเภท ตัดราคากันที่ 0.5% ใช่แล้วท่านฟังไม่ผิด ตัดราคาที่ 0.5% นั้นคือ ของราคา 1,000บาท แต่ตัดราคากันแค่ 5 บาท ลูกค้าก็พร้อมที่จะย้ายร้านสั่งแล้ว (สินค้าเหมือนกัน) กำไรของยี่ปั้วะส่วนใหญ่ จะอยู่ที่ 1-5%
.
กลยุทธ์ การตัดราคา ไม่ใช่แค่รับมาเท่าไหร่ ก็ขายเท่านั้น แต่จะนับไปรวมถึงเป้าสินค้า ด้วย เช่น
ยี่ปั้วะ ซื้อของ 1 ล้านบาท ได้ ทอง 1 บาท ส่วนใหญ่มักคิดว่า ก็มอบเป้าแบบเดียวกันให้ลูกค้าของเราไป ก็คือจบ
.
แต่ในความเป็นจริง ลูกค้าของยี่ปั้วะส่วนใหญ่ ไม่มีกำลังพอที่จะซื้อเป้าพวกนี้ได้ ยี่ปั้วะบางแห่งจึง นำเป้าสิ่งของนั้นๆ มาตีเป็นมูลค่า แล้วมาลดราคาสินค้าให้เรา เช่น เป้าทอง 1 บาท ตีเป็นมูลค่า 20,000 บาท เทียบเป็น 2% จาก 1 ล้านบาท ก็นำส่วนตรงนี้มาลดราคาให้ลูกค้าเพิ่มจากเดิมให้อีก 1-2% แทน ( อย่างที่บอก 0.5% ยังมีผลเลย ดังนั้น 1-2% ถือว่าเยอะมาก )
.
สรุปแล้ว ในธุรกิจซื้อมาขายไป ในสินค้าชนิดเดียวกัน ที่ใครๆก็สามารถเป็นตัวแทนขายได้ กำไรสุทธิจะเป็น
ขายส่ง 1.5-3%
ขายปลีก 3-10%
.
เดี๋ยวเย็นๆมาเขียนเรื่อง
"ธุรกิจแบบนี้จะโดนปลาใหญ่ กินปลาเล็ก รึเปล่า?? "
~ ในความคิดหลายๆคน มักคิดว่าไทวัสดุ Dohome กินตลาดนี้ไปแล้ว จะจริงอย่างที่บอกรึเปล่า เด่วมาเล่าเย็นๆนะ