### ว่าด้วยเรื่องอาถรรพ์ Box Office ในอเมริกา !! หนังฟอร์มใหญ่ยักษ์คว่ำกันระนาว !!! ใครเจ็บแค่ไหนมาดูกัน ?!!!



ปีนี้เป็นปีที่เหมือนจะมาสุดทางในแง่ของการสร้างสถิติใหม่ๆให้กับ ตารางหนังทำเงินในอเมริกา เพราะเอาแค่ยูนิเวอร์แซลเจ้าเดียวก็ถล่มทลายด้วยสถิติมากมายที่นับไม่หวาดไม่ไหว กลายเป็นหนังที่ทำเงินทั่วโลกและในบ้านได้อย่างน่าประทับใจ และเป็นเจ้าของผลงานในปีที่อัดแน่นไปด้วยความสำเร็จกันถ้วนหน้า (เอาแค่ 8 เดือนแรกพอ)

แต่สุดท้ายแล้วเมื่อมานับๆดู กับสิ่งที่เกิดขึ้นในตารางหนังทำเงินจริงๆแล้ว ก็ต้องบอกได้ว่าเป็นปีที่จัดได้ว่า ล้มเหลวหนักที่สุดอีกปีนึงก็ว่าได้ โดยหนังใหญ่ขายฟอร์มใหญ่หลายๆเรื่อง กลายเป็นเจ้าของความล้มเหลวในแบบที่ผู้สร้างจะต้องปาดเหงื่อปาดไคล กลืนน้ำลายเอื้อกๆจาก เม็ดเงินที่ลงทุนแล้วไม่ได้อะไรกลับมาตามที่คาดหวังกันไว้ และค่อนข้างเป็นอะไรที่ออกมาเหนือความคาดหมายมากๆในหลายๆผลงาน

และกลายเป็นทุกสตูดิโอเมเจอร์ที่มีหนังเข้าฉาย ก็กลายเป็นเจ้าของความล้มเหลวด้วยกันทั้งสิ้น


ดิสนีย์ ที่มีหนังระดับตัวท็อป พร้อมที่จะประสบความสำเร็จกันแบบหนักๆ ซึ่งก็ฝากความหวังไว้กับ Avengers : Age of Ultron แต่หนังก็ไม่สามารถพาตัวเองไปยังจุดที่ภาคแรกเคยทำเอาไว้ โดยทำเงินไปทั่วโลก 1402 ล้านดอลล่าร์ ห่างจากภาคแรกที่เคยทำได้ 1519 ล้านดอลล่าร์ ในขณะที่รายรับในบ้าน ทิ้งช่วงกันหนักมาก ภาคแรกเก็บไป 623 ล้านดอลล่าร์ ในขณะที่ภาคสองกวาดไป 459 ล้านดอลล่าร์ ทั้งๆที่ภาคนี้จัดเต็มมากกว่า ในการเป็นหนังรวมดาวแคแรกเตอร์ฮีโร่มาร์เวลที่คับคั่งที่สุด



ดิสนีย์ยังมาเสียศูนย์ในเวลาไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น ด้วยความล้มเหลวของ Tomorrowland ผลงานเจ็บหนักของผู้กำกับ แบรด เบิร์ด ที่หวังว่าภาษีในการเป็นผู้กำกับหนังคนแสดงจริงจาก Mission Impossible 4 จะช่วยเขาได้ แต่ก็กลายเป็นว่า หนังทำให้เรานึกไปถึงตอนที่แอนดรูว์ สแตนตัน ยอดฝีมือจากพิกซาร์ เปลี่ยนแนวมาทำหนังคนแสดงจริงกับ John Carter แล้วก็กลายเป็นหนังล้มเหลวอลังการจัดหนักจัดเต็ม แต่ยังดีที่ว่า TMRL ยังไม่ใช่หนังที่ล้มเหลวถึงระดับนั้น แต่ถึงกระนั้นก็ตามหนังก็ยังขาดทุนหนักหนาเอาการพอสมควร โดยเก็บรายรับทั่วโลกไปได้ 208 ล้านดอลล่าร์ จากทุนสร้าง 190 ล้านดอลล่าร์ นี่เป็นโปรเจ็กต์ที่เฮียแกถึงขนาดบอกปัด Mission Impossible 5 เพื่อมากำกับเลยทีเดียว งานนี้ทำให้เฮียกระเจิดเปิดเปิงไปหา The Incredibles 2 งานแอนิเมชั่นแนวถนัดแทบไม่ทัน เข็ดหลาบไปอีกนาน


ด้าน ยูนิเวอร์แซล แม้จะเป็นเจ้าของผลลัพธ์ในช่วง 8 เดือนแรกที่ดีมากจาก Jurassic World, Furious 7, Minions (พันล้านดอลล่าร์ทั้งสามเรื่อง), Pitch Perfect 2, Fifty Shades of Grey, Straight Outta Compton, Trainwreck แต่ก็ต้องไม่ลืมความล้มเหลวที่เกิดขึ้นกับ Seventh Son เมื่อช่วงเดือนแรกของปี ที่กวาดเงินไป 17 ล้านดอลล่าร์ในบ้าน จากทุนสร้าง 95 ล้านดอลล่าร์ ยังดีที่มีรายรับทั่วโลก 110 ล้าน มาช่วยให้ไม่เจ็บหนักกว่าเดิม (แต่ก็ยังขาดทุน) รวมไปถึง Blackhat ของไมเคิล มานน์ที่เจ็บหนักสุดตัวเหมือนกัน



พอหลังจากเดือนที่ 8 มาปุ๊บ ยูนิเวอร์แซล ก็กลายเป็นสตูดิโอที่เผชิญหน้าความล้มเหลวกันเป็นโดมิโน่ ทันที ไม่ว่าจะเป็น Everest ของบัลทาซ่าร์ คอร์มาเคอร์, Crimson Peak ของเกียเลอร์โม เดล โตโร่, Steve Jobs ของแดนนี่ บอยล์ และล่าสุดกับ Jems And The Holograms ที่ถือว่าเป็นผลงานที่ขาดทุนด้วยกันทั้งสิ้น แม้จะยังไม่หมดโปรแกรมฉายแต่อนาคตของหนังทั้งสามเรื่องในการทำเงิน ก็ดูไม่มีความหวังสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเรื่องหลังสุด ที่กลายเป็นหนึ่งในหนังเปิดตัวล้มเหลวที่สุดในประวัติศาสตร์ของภาพยนตร์ทันที



วอร์เนอร์ดูจะเป็นเจ้าที่เจ็บที่สุดแล้วในปีนี้ เพราะนอกจากหนัง Mad Max : Fury Road และ San Andreas ที่ทำเงินไป 150 กว่าล้านดอลล่าร์ด้วยกันทั้งคู่ ก็ไม่มีหนังเรื่องไหนของสตู ฯ ทำเงินเกิน 100 ล้านดอลล่าร์ได้อีกเลย และส่วนใหญ่ก็มาพร้อมความล้มเหลวเต็มพิกัด เช่น Pan ผลงานอลังการทุนสร้าง 150 ล้านดอลล่าร์ ที่หลุด Top 10 ของ Box Office ไปในสามสัปดาห์แรกของการออกฉาย หรือจะ JUpiter Ascending, Hot Pursuit, We Are Your Friends, Our Brand Is Crisis, Entourage, Max, The Man from UNCLE, Run All Night หนังเกินกว่าครึ่งของปีนี้ของสตู ฯ ก็กลายเป็นความน่าผิดหวังด้วยกันถ้วนหน้า ...นับเป็นปีที่หนักที่สุดของสตู ฯ ในรอบหลายปีที่ผ่านมาเลยทีเดียว



ฟ็อกซ์ ก็ไม่น้อยหน้า เพราะนอกจากความสำเร็จร้อยกว่าล้านดอลล่าร์ของ The Martian, Home, Kingsman, Spy แล้ว หนังก็ยังเผชิญหน้ากับความผิดคาด อย่าง Maze Runner : Scorch Trials ที่ทำเงินได้น้อยกว่าภาคแรกมาก ด้วยรายรับในอเมริกา 78 ล้านดอลล่าร์ ไม่ถึง 100 ล้านดอล เหมือนภาคก่อน, งานรีเมคอย่าง Poltergeist ก็กลายเป็นความผิดหวัง, Paper Towns ที่หวังจะให้ดังเหมือน The Fault In Our Stars ก็เก็บเงินไปกระจุ๋มกระจิ๋ม ไหนจะมาหนังฮีโร่ที่เป็นความคาดหวังสุดตัวในการเป็นจุดเริ่มต้นแฟรนไชส์ชุดใหม่อย่าง Fantastic Four ก็มีปัญหาจนทำให้หนังคว่ำไม่เป็นท่า เก็บเงินไป 56 ล้านดอลล่าร์ เท่ากับรายรับเปิดตัวสามวันที่ภาคแรกของเวอร์ชั่นต้นฉบับทำเอาไว้เลยทีเดียว และไหนจะหนังเกมขึ้นจอที่หวังเป็นแฟรนไชส์อีกเรื่องอย่าง Hitman ที่ก็พังไม่เป็นท่า หนังตลกของวินซ์ วอห์นอย่าง Unfinished Business ก็พินาศเช่นกัน เพราะทั้งเงินและคำวิจารณ์ดิ่งดับหมดถ้วนหน้า ถือว่าเป็นอะไรที่น่าเห็นใจมากๆสำหรับสองสตูคู่ซี้อย่างฟ็อกซ์/วอร์เนอร์ ที่ปีนี้ไม่ใช่ปีของเขาจริงๆ



พาราเมาต์ มี Mission Impossible : Rogue Nation เป็นพระเอกในปีนี้ก็จริง แต่ต้องบอกว่า Mission Impossible ภาคนี้ยังไม่ใช่ภาคที่พีคที่สุด เพราะยังทำเงินในบ้านรองจากภาค 2 และภาค 4 เช่นเดียวกับรายรับทั่วโลกก็ยังตามภาค 4 อยู่ ทั้งๆที่คำวิจารณ์และกระแสมาดีมากๆ ส่วน Spongebob Movie ก็กลายเป็นเซอร์ไพรส์ช่วงต้นปีที่ทำให้สตู ฯ ยิ้มออกได้ เพราะหนังกวาดไป 162 ล้านดอลล่าร์เหนือความคาดหมาย แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีอะไรให้เซอร์ไพรส์กันอีกเลย เจ็บหนักจนเป๋ไปพักใหญ่ก็คือ Terminator : Genisys ที่เก็บในบ้านได้ 89 ล้านดอลล่าร์เท่านั้น จากทุนสร้าง 150 ล้านดอลล่าร์ ยังดีที่ตลาดจีนช่วยหนังเอาไว้ได้แบบหืดจับ โดยเก็บรายรับทั่วโลกไป 440 ล้านดอลล่าร์ พอให้หนังมีกำไรเข้ามาบ้างไรบ้าง แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้สตู ฯมั่นใจในการสร้างภาคต่อ เพราะก็มีข่าวออกมาว่า พาราเมาต์ขอระงับการสร้างเพื่อปรับเปลี่ยนอะไรให้เหมาะสมกันสักพัก และเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก รอดูกันต่อไปว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นยังไง นอกเหนือไปจากนี้ สตู ฯ ก็ยังต้องเสียน้ำตาให้กับ Paranormal Activity : Ghost Dimensions, Scouts Guide To Zombie Apocalypse, Captive และ Hot Tub Machine 2 ที่ทำเงินไม่เข้าเป้าซะเหลือเกิน



โซนี่ ถือเป็นม้าตีนปลายของจริง เพราะหลังจากเป็นเจ้าของช่วงครึ่งปีแรกที่ไม่น่าพอใจเท่าไหร่ กับ Pixels ที่แป้กสนิทด้วยรายรับในบ้าน 78 ล้านดอลล่าร์ ทั้งที่หน้าหนังควรจะไปได้ถึง 100 ล้านด้วยซ้ำ ยังมี Chappie ที่เป็นผลงานนีล บลอมแคมป์ที่ทำเงินน้อยที่สุด ไหนจะหนังเจ้าป้าเมอรีล สตรีพ เป็นร็อค สตาร์อย่าง Ricki And The Flash ที่ทำเงินได้น่าผิดหวัง รวมถึง Aloha หนังใหม่ในรอบหลายปีของ คาเมรอน โครว์ ผู้กำกับ Jerry Maguire ที่แทบจะไม่มีคนรู้ว่าหนังเข้าฉายไปแล้ว ...อย่างไรก็ดี เดือนตุลาคมถือเป็นเดือนที่หนังยิ้มออก เพราะ Hotel Transylvania 2 และ Goosebumps กลายเป็นหนังที่ถือว่าประสบความสำเร็จของสตู ฯ และมีแผนจะสร้างภาคต่อหลังจากนี้ด้วยกันทั้งคู่ ในขณะที่ The Walk ผลงานดราม่าที่เปิดตัวในเดือนนี้ กลายเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ของโรเบิร์ต เซเมคคิส ผู้กำกับ Forrest Gump และ Back To The Future รวมไปถึงโจเซฟ กอร์ดอน เลวิตต์ ที่การขายฝีมือครั้งนี้ของเขาโดนความแป้กของหนังเข้ามาขโมยซีน



ในฐานะสตูดิโออิสระอย่าง ไลออนสเกต ที่เน้นหนังทุนต่ำเป็นหลัก แต่ก็ใช่ว่าจะหนีความน่าผิดหวังของปีไปได้ Insurgent กลายเป็นหนังที่ทำเงินให้กับสตู ฯได้มากที่สุด แม้หนังจะเก็บในบ้านได้น้อยกว่าภาคแรก แต่ภาคนี้ก็ทำเงินทั่วโลกได้ดีกว่าภาคแรก แม้จะแค่ 10 กว่าล้านดอลล่าร์ก็ตาม  โดยนอกเหนือจากเรื่องนี้แล้วก็ยังไม่มีอะไรที่เป็นความเซอร์ไพรส์จริงจัง เจ็บหนักสุดก็คงเป็น Mortdecai ของป๋าจอห์นนี่ เด็ปป์ ที่พลังดาราป๋าไม่ช่วยอะไร ในอเมริกาเลยเก็บเงินไปแค่ 7 ล้านดอลล่าร์ เช่นเดียวกับ The Last Witch Hunter หนังขายฟอร์มวิน ดีเซล ที่พลังเฮียวินไม่ได้ช่วยหนังแม้แต่น้อย จากทุนสร้าง 95 ล้านดอลล่าร์ หนังเก็บในบ้านไปแค่ 19 ล้านดอลล่าร์เท่านั้น นอกเหนือจากนี้ก็ยังมี Childd 44, Knock Knock, The Vatican Tapes ที่ถือเป็นความน่าผิดหวังและคิดว่าน่าจะทำเงินได้มากกกว่านี้

ในช่วงที่หนังซบเซามาพร้อมความหลากหลายมากมาย จนหาสาเหตุไม่ได้ว่าเพราะอะไร ทั้งหนังที่ดูสนุกจริงๆ ก็ยังมีแป้ก รวมไปถึงหนังขายชื่อนักแสดง ดารา ผู้กำกับจัดเต็ม ก็ยังกลายเป็นหนังแป้กได้เช่นเดียวกัน

น่าเป็นห่วงว่าหลังจากนี้ในช่วงสองเดือนที่เหลือ เรื่องไหนจะได้เข้าข่ายความล้มเหลวแบบเดียวกันกับที่ว่าข้างต้นนี้บ้าง

โซนี่เหลือ Spectre, The Night Before, Concussion ที่พอจะทำให้เงินรวมของสตู สูงขึ้น อย่างน้อยก็มีพระเอกเป็นเจมส์ บอนด์

ยูนิเวอร์แซลเหลือ By The Sea, Legend, Krampus, Sisters ซึ่งก็ไม่มีเรื่องไหนน่าไว้ใจ

วอร์เนอร์ เหลือ The 33, Creed, In The Heart of The Sea, Point Break เรื่องหลังสุดน่าเป็นห่วงมากกว่าใครเพื่อน

ฟ็อกซ์ เหลือ The Peanuts Movie, Victor Frankenstein, Alvin And The Chipmunks : Road Chip, Joy, Revenant

พาราเมาต์เหลือ The Big Short, Daddy's Home, Anamolisa

ดิสนีย์เหลือ The Good Dinosaur, Star Wars : The Force Awakens เรียกได้ว่าเป็นสตู ฯที่พร้อมจะผงาดมากๆ ในช่วงปลายปีนี้ เพื่อจะมาช่วงชิงตำแหน่งเจ้าทำเงินสูงสุดแห่งปีจากยูนิเวอร์แซลไป ยิ่ง SW นี่ได้รับการคาดการณ์ว่าจะถล่มทลายทุกสถิติด้วยแล้ว ยิ่งน่าจับตามอง

ไลออนสเกต เหลือ The Hunger Games ภาคจบ ที่ก็ประมาทไม่ได้เหมือนกัน

เป็นช่วงท้ายปีที่หนังขายฟอร์มเหลือไม่เยอะ แต่เน้นจัดหนักจัดเต็มเอาให้สถิติสะเทือน มารอดูกันว่าจะมีเรื่องอะไรที่แป้กแบบไม่คาดคิดกันอีกบ้าง และหนังที่ว่าเต็งๆทำเงินทั้งหลาย จะสามารถทำได้ดีแค่ไหน หรือจะถูกอาถรรพ์บ็อกส์ออฟฟิศในช่วงนี้ ทำให้ออกมาเป็นเกมส์ที่พลิกผันเซอร์ไพรส์ผู้ชมแฟนหนังทั่วทั้งโลก รอดูกันต่อไป


ยิ้มยิ้มยิ้มยิ้มยิ้มยิ้มยิ้มยิ้มยิ้ม


ติดตามข่าวสารและพูดคุยกันต่อได้ที่
http://facebook.com/filmzlapsocial
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 22
ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ แต่ขอแย้งนิดนึง ตรงที่บอกว่า
"พอหลังจากเดือนที่ 8 มาปุ๊บ ยูนิเวอร์แซล ก็กลายเป็นสตูดิโอที่เผชิญหน้าความล้มเหลวกันเป็นโดมิโน่ ทันที"
อันนี้ไม่ถูกต้องซะทีเดียว ในเดือน 9 Universal มีหนังที่ห่างไกลจากคำว่า "ล้มเหลว" อยู่นั่นคือ  The Visit กับ Everest

The Visit ถือว่าเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จด้วยซ้ำ เพราะหนังทำรายได้ไปแล้วกว่า $ 90 ล้านทั่วโลก ด้วยทุนสร้างแค่  $5 ล้าน นับเป็นหนังสยองขวัญที่ทำรายได้มากที่สุดของปี ส่วน Everest ถึงแม้จะทำรายได้ไม่เข้าเป้าในบ้านแต่มีตลาดต่างประเทศมาช่วยไว้มากทำรายได้ไปแล้ว $177 ล้าน จากทุนสร้าง $55 ล้าน และคาดว่ารายได้น่าจะถึง $200ล้าน เมื่อเข้าฉายในจีนกับญี่ปุ่น ส่วน Steve Jobs เห็นด้วยว่าทำเงินน้อยกว่าที่ควร แต่ Jems And The Holograms ก็ไม่ได้ถือว่าเจ็บตัวมากอะไร กับทุนสร้างแค่ $5 ล้าน

แล้วที่สำคัญที่สุดที่ผมอยากให้ข้อมูลคือ Universal ไม่ได้ขาดทุนกับหนังหลายเรื่องที่ใช้ชื่อ Universal จัดจำหน่าย อย่าง Blackhat กับ Seventh Son ที่เป็นหนังของ  Legendary ออกทุนผลิตและโปรโมทเองทั้งหมด เจ็บตัวคนเดียว (Universal ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขาดทุนแม้แต่นิดเดียวแค่จัดจำหน่ายให้) เพราะทั้งสองเรื่องเป็นหนังที่ผลิตก่อน Legendary ย้ายพันธมิตรมาจาก Warner Bros. ซึ่งตอนแรกทั้งสองเรื่องจะต้องถูกจัดจำหน่ายโดย Warner Bros. แต่พอย้ายบ้านปุ๊บก็มาฝาก Universal จัดจำหน่ายซึ่ง Universal ไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบขาดทุนเลย แถมยังได้เงินค่าฝาก(ขาย)จัดจำหน่ายอีก

สำหรับ Crimson Peak ก็เป็นหนังของ Legendary  ที่รับผิดชอบเองออกเงินเองทั้งหมด ถึงแม้จะผลิตหลังย้ายบ้านมาอยู่กับ Universal แล้ว แต่ Universal ไม่ยอมร่วมทุนด้วย เพราะ Legendary ไม่ยอมลดเรทจาก R มาเป็น PG13 ตามที่ Universal ขอ Universal เลยให้ Legendary รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด และก็เป็นตามคาด Legendary เจ็บตัวอีกคนเดียว
ความคิดเห็นที่ 2
ตลาดอเมริกาตอนนี้เดาทางยากมาก  บางเรื่องทั้งหน้าหนัง ทั้งคำวิจารณ์ดี ยังแทบไม่รอด

อาจเป็นเพราะคนหันไปดู Home entertainment แบบจริงจังมากขึ้น ทั้งการเติบโตของ Netflix  และการแข่งขันของช่องทีวีในการพัฒนาซีรี่  อย่างกระแส walking dead, GOT ที่หลายปีแล้วก็ยังไม่ตก

รายได้จากโรงหนังลดเร็ว

ค่ายหนังจึงต้องรีบเอาลงแผ่น เอาลงเนทเร็วขึ้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่