ไขคดีหัวใจ...ใต้มนต์จันทร์
ตอนที่ 8
“ถามจากใจเลยนะครับ คุณเกวลิน” เสียงบ่นจาก
จงจินต์ หนึ่งในลูกทีมของนักสืบสาวดังซ้ำอยู่เป็นรอบที่หนึ่งร้อยเห็นจะได้ เกวลินรำคาญเหลือแสน แต่ก็ต้องทนฟัง “เราจะทำคดีนี้ไปเพื่ออะไร เบาะแสก็ไม่มี ความเป็นไปได้ก็น้อย”
“นั่นน่ะซี้”
ปวีร์ ลูกทีมอีกคนก็แอบบ่นผ่านสัญญาณโทรศัพท์ที่ตั้งประชุมสายเอาไว้เช่นกัน “นี่ปกติผมแล้วแต่เจ๊ลินตลอดเลยน้า แต่งานนี้ดูได้ไม่คุ้มเสียยังไม่ก็ม่ายรู้”
“พวกแกจะบ่นยังไงก็เปลี่ยนใจฉันไม่ได้หรอก หุบปากซะ ไม่งั้นจะไล่กลับบ้านไปให้หมดแล้วจะไม่ส่งงานให้อีกเลย” เกวลินพูดยืนยันความตั้งใจปนกับข่มขู่ออกไป ทั้งคู่ก็ทำเสียงงุบงิบล้อเลียนกับความเผด็จการของหล่อน เกวลินไม่พอใจนักแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงได้ เพราะงานสืบเรื่องชู้สาวไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง และลูกทีมสองคนที่จัดว่าเป็นมือดีเรียกใช้ได้ง่ายที่สุดก็มีแค่ปวีร์และจงจินต์ คนหนึ่งเป็นหนุ่มเซอร์มาดติสต์ขี่ช็อปเปอร์แต่นิสัยงอแงเหมือนเด็กอนุบาล ส่วนอีกคนเป็นหนุ่มแว่นหน้าใสขับรถโฟล์คแต่ปากจัดยิ่งกว่าแม่ค้า พูดง่ายๆ คือมีนิสัยน่ารำคาญกันคนละแบบ
วันนี้เป็นวันแรกของการเฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวของนายโกสินทร์หน้าที่ทำการพรรคนุรักษ์ไทย เกวลินยังไม่ได้รถคืนจากอู่ นักสืบสาวจึงต้องยอมทนนั่งกับจงจินต์ในรถโฟล์คแคบๆ โดยส่งปวีร์ให้ไปเฝ้าที่ลานจอดรถของพรรคพร้อมด้วยช็อปเปอร์คู่ใจของเจ้าตัว หลังจากนั่งเฝ้ารออย่างอึดอัดและอบอ้าวจากการที่รถของจงจินต์ไม่มีแอร์อยู่นานเกือบสามชั่วโมง ปวีร์ก็ส่งสัญญาณมาในที่สุด
“เจ๊ลิน เป้าหมายกำลังขับรถออกไปแล้ว”
เกวลินก็รีบดึงสติมาโฟกัสกับภารกิจ นักสืบสาวได้ยินเสียงเครื่องยนต์ช็อปเปอร์ดังผ่านโทรศัพท์เข้ามา ปวีร์กำลังเคลื่อนไหว ขณะที่จงจินต์ใช้มือดันแว่นตาขึ้นเบาๆ เตรียมพร้อมจะเหยียบคันเร่งเช่นกัน
หลังจากนั้นไม่นาน รถยุโรปของนายโกสินทร์ก็ขับเคลื่อนออกมาจากสำนักงานแล้วเลี้ยวไปตามถนนลาดพร้าว จงจินต์รีบหมุนพวงมาลัยพารถโฟล์คขับตามรถของนายโกสินทร์ไปอย่างรวดเร็ว (เท่าที่จะเร็วได้) ขณะที่ช็อปเปอร์ของปวีร์ขับตามหลังอีกที เสียงลมตีเข้ามาตลอดเวลาจากโทรศัพท์ นอกจากเกวลินจะนึกรำคาญจงจินต์ที่ขับรถโฟล์คที่ช้าเป็นเต่าแล้ว หล่อนก็รำคาญปวีร์เช่นกันที่ชอบขับช็อปเปอร์ฉวัดเฉวียนไปมาราวกับเห็นถนนเป็นสนามหญ้าบ้านอย่างไรอย่างนั้น
“ขับดีๆ หน่อยวี พี่ไม่อยากเห็นแกลงไปนอนใต้ท้องรถเมล์นะ” เกวลินพูดเตือนผ่านโทรศัพท์ ในขณะที่ปวีร์ผู้ซึ่งสวมหูฟังบลูทูธเอาไว้ตอบโต้คำเตือนของนักสืบสาวด้วยการปาดหน้ารถเมล์ ก่อนจะหัวเราะลั่นเหมือนเห็นความเป็นความตายเป็นเรื่องสนุก
“กูว่าต้องตายสักทีว่ะ ถึงจะเข็ด
” จงจินต์แท็กมือเกวลินด่าปวีร์บ้าง แต่คราวนี้ปวีร์ด่ากลับ
“เออ แต่ต่อให้กูตายจนเกิดใหม่ไปสิบชาติ รถเต่าก็ยังคลานไม่พ้นแยกเล้ย”
“ไอ้เชี่ยวี”
“โอ๊ย อย่าเพิ่งปัญญาอ่อนกันได้ไหมวะ” เกวลินพูดแทรกออกไปอย่างเหนื่อยใจ เป็นความจริงว่าถ้าสองคนนี้ไม่พยายามจะมีปัญหากับเกวลิน มันก็จะต้องมีปัญหากันเองให้ได้ “เดี๋ยวก็คลาดเป้าหมายกันพอดี”
“ไม่คลาดหรอก รถเป้าหมายเข้าซอยลาดพร้าว101 น่าจะลัดไปออกเลียบด่วน” จงจินต์พูดขึ้นเมื่อเห็นว่ารถของโกสินทร์เปิดสัญญาณไฟเลี้ยวซ้ายเพื่อจะเข้าซอยที่อยู่ด้านหน้าห่างไปเกือบร้อยเมตร จงจินต์เป็นเหมือนคนที่ฝังชิปแผนที่กรุงเทพฯ ไว้ในสมอง หนุ่มเนิร์ดจำได้หมดว่าซอยไหนลัดเลาะออกถนนไหนได้บ้าง และก็สามารถวางแผนเสร็จสรรพภายในหนึ่งวินาทีที่เห็นว่ารถของนายโกสินทร์เปิดไฟเลี้ยว “ผมว่าเราควรขับตามเข้าไป แล้วให้วีไปดักรอที่เส้นเลียบด่วน”
“ไม่ได้ พี่ว่าเราต้องส่งต่อให้วีเป็นฝ่ายตามเข้าไปในซอย แล้วเราต่างหากไปดักรอที่ถนนเลียบด่วน”
“ผมจะขับไปดักไม่ทันเอาน่ะสิพี่”
“แต่รถเราประกบเขามานานมากแล้วนะ ถ้าขืนประกบต่อโดนจับได้ชัวร์”
“ตกลงเอายางงาย” ปวีร์ถามเสียงยานคาง ปวีร์เป็นลูกน้องประเภทที่ไม่เคยช่วยคิดแผน แต่สั่งอะไรทำหมด
“ส่งต่อเป้าหมาย!” คำสั่งของเกวลินถือเป็นที่สุด เนื่องจากทำงานด้วยกันมานาน ปวีร์และจงจินต์ต่างรู้ว่าลูกพี่ของคนนั้นเด็ดขาดแค่ไหนเวลาตัดสินใจอะไรสักอย่าง ถึงแม้ว่าเกินครึ่งมักเป็นการตัดสินใจที่...
ผิด แต่ก็ไม่เคยมีใครหน้าไหนทำลายความทนทานของเจ้าหล่อนได้
เกวลินขับเคลื่อนชีวิตด้วยความเด็ดเดี่ยวเสมอ เริ่มตั้งแต่สมัยยังวัยรุ่น หล่อนอยากแอดมิชชั่นเข้าคณะนิติศาสตร์ทั้งๆ ที่ไม่มีใครมองเห็นว่าเหมาะ แต่เกวลินก็ดื้อแพ่งตั้งหน้าอ่านหนังสือชนิดที่ไม่สนใจเสียงทัดทานจากคนรอบข้าง พอสอบติดได้เข้าไปเรียนจริงๆ ทุกอย่างก็ดับสลาย สี่ปีต่อมาเกวลินเรียนจบด้วยเกรดอันต่ำต้อย เวลามีใครสักคนถามว่าทำไม เกวลินจะตอบว่า
‘จะเป็นนักกฎหมายไปเพื่ออะไร ถ้าประเทศนี้ยังฉีกรัฐธรรมนูญกันอยู่เป็นว่าเล่น’ แต่
วลัท ญาติผู้พี่คนหนึ่งของหล่อนจะเบรกหัวทิ่มด้วยเหตุผลที่แท้จริงกว่า
‘แกจับจดและไม่มีจิตวิญญาณต่างหากล่ะ ฉันถึงได้ไม่สนับสนุนให้แกเรียนแต่แรกไง’
กรณีนี้ต่างจากโชษิตา ผู้ซึ่งสอบเข้าคณะนิติศาสตร์ตามหล่อนเพราะตอนนั้นยังไม่รู้ตัวว่าควรจะเรียนอะไร แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นนักกฎหมายตัวจริง ก่อนจะเบนสถานะตัวเองไปเป็นแม่บ้านในประเทศโลกที่หนึ่งให้กับสามีที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน
ชีวิตคนเราคาดเดาอะไรไม่ค่อยได้ เกวลินเรียนจบกฎหมาย ล้มลุกคลุกคลานไปกับหลายอาชีพ และสุดท้ายก็กลายมาเป็นนักสืบ โชษิตาจึงเตือนหล่อนหลายครั้งว่าจะทำอะไรให้คิดดีๆ อย่าใจเร็วด่วนได้ แต่เกวลินกลับคิดว่าชีวิตคนเราเมื่อจะตัดสินทำอะไรสักอย่าง ถ้าไม่ถูกมันก็ผิด มีอยู่แค่นั้นเอง ตรงกันข้าม การปล่อยให้ชีวิตแน่นิ่งอยู่ในความสับสนจนไม่ทำอะไรเลยต่างหากคือความล้มเหลวที่แท้จริง
แม้จะยังมีท่าทีไม่เห็นด้วย แต่จงจินต์ก็ทำตามคำสั่งของเกวลินในที่สุด หนุ่มเนิร์ดขับรถโฟล์คเลยซอยลาดพร้าว101 ไป ปล่อยให้ปวีร์เป็นฝ่ายเร่งความเร็วขึ้นมาแล้วเลี้ยวรถตามนายโกสินทร์เข้าไปในซอยแทน ทุกครั้งของการสะกดรอย จะต้องมี
การส่งต่อเป้าหมาย แบบนี้อยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เป้าหมายรู้ตัว!
***
“แน่ใจนะว่าหล่อนไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกเราติดตามอยู่อีกทอดหนึ่ง” ร้อยตำรวจโทชงคมเอ่ยถามผู้หมู่ก้องผ่านทางโทรศัพท์ ขณะที่กำลังนั่งอยู่หลังพวงมาลัย เตรียมจะขับรถออกจากกรมสืบสวนพิเศษ
“ผมว่ายังไม่น่าจะรู้หรอกครับ” นายตำรวจชั้นประทวนให้คำตอบ พร้อมอธิบายเพิ่ม “ตอนนี้หล่อนนั่งอยู่ในรถโฟล์คสีม่วง คนขับเป็นผู้ชายใส่แว่น จอดรออยู่ที่ปากซอยถนนเลียบด่วน น่าจะรอรับช่วงต่อจากผู้ชายตัวสูงๆ ที่ขี่ช็อปเปอร์ตามคุณโกสินทร์เข้าไปในซอย"
ร้อยตำรวจโทชงคมฟังแล้วก็รู้สึกควันออกหู เฮอะ! ไหนบอกว่าปฏิเสธรัมภาไปไง ผู้หญิงขี้โกหก!
แต่เอาเถิด อย่างน้อยพฤติกรรมของหล่อนก็ยังไม่พ้นไปจากสายตาของเขา
“ยังไงผมจะประกบหล่อนไว้ ไม่ให้รู้ตัวครับผู้หมวด” ผู้หมู่ก้องให้คำมั่น แต่คราวนี้ผู้หมวดหนุ่มคิดอีกแบบ
“ไม่ต้องแล้ว จะเป็นการเสี่ยงให้หล่อนรู้ตัวเสียเปล่าๆ”
“แล้วเราจะปล่อยให้หล่อนสะกดรอยคุณโกสินทร์ไปเหรอครับ”
“ถ้าเธอกำลังตามสะกดรอยคุณโกสินทร์อยู่จริงๆ ละก็ ผมรู้แล้วว่าเธอจะไปที่ไหน” ร้อยตำรวจโทชงคมพูดออกไปแล้วก็แอบสะใจกับตัวเองอยู่ไม่น้อย ในขณะที่หล่อนต้องแอบขับรถสะกดรอยอย่างเหน็ดเหนื่อย แต่เขามีจุดปลายปลายทางของนายโกสินทร์อยู่ในมือแล้ว ผิวปากขับรถกินลมชมวิวไปเจอได้เลยอย่างง่ายดาย
ถึงนักสืบสาวจะเจ้าเล่ห์เก่งกาจสักแค่ไหน อย่างไรเขาก็เหนือกว่าหล่อนอยู่ดี
ร้อยตำรวจโทชงคมวางสายจากผู้หมู่ก้อง หมุนพวงมาลัยพาวอลโวคันหรูเคลื่อนออกไปจากสำนักงานกรมสืบสวนพิเศษ ในใจก็ครุ่นคิดถึงสิ่งที่กำลังจะทำ นอกเหนือไปจากความช่วยเหลือจากบิดาซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในจังหวะที่เหมาะเจาะลงตัวแล้ว เมื่อเช้าทางผู้กองเดชได้เข้าไปจับกุมเจ้าของร้านที่รับซื้อโทรศัพท์มือถือของชนมนจากคนขับแท็กซี่ ทำให้ได้เบาะแสสำคัญมาอีกหนึ่งอย่างที่น่าจะช่วยเขาได้เยอะอยู่
ถ้าวันนี้ไม่โชคร้ายจนเกินไป!
***
ไขคดีหัวใจ...ใต้มนต์จันทร์ ตอนที่ ๘ - ตอนที่ ๙
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
“ถามจากใจเลยนะครับ คุณเกวลิน” เสียงบ่นจาก จงจินต์ หนึ่งในลูกทีมของนักสืบสาวดังซ้ำอยู่เป็นรอบที่หนึ่งร้อยเห็นจะได้ เกวลินรำคาญเหลือแสน แต่ก็ต้องทนฟัง “เราจะทำคดีนี้ไปเพื่ออะไร เบาะแสก็ไม่มี ความเป็นไปได้ก็น้อย”
“นั่นน่ะซี้” ปวีร์ ลูกทีมอีกคนก็แอบบ่นผ่านสัญญาณโทรศัพท์ที่ตั้งประชุมสายเอาไว้เช่นกัน “นี่ปกติผมแล้วแต่เจ๊ลินตลอดเลยน้า แต่งานนี้ดูได้ไม่คุ้มเสียยังไม่ก็ม่ายรู้”
“พวกแกจะบ่นยังไงก็เปลี่ยนใจฉันไม่ได้หรอก หุบปากซะ ไม่งั้นจะไล่กลับบ้านไปให้หมดแล้วจะไม่ส่งงานให้อีกเลย” เกวลินพูดยืนยันความตั้งใจปนกับข่มขู่ออกไป ทั้งคู่ก็ทำเสียงงุบงิบล้อเลียนกับความเผด็จการของหล่อน เกวลินไม่พอใจนักแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงได้ เพราะงานสืบเรื่องชู้สาวไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง และลูกทีมสองคนที่จัดว่าเป็นมือดีเรียกใช้ได้ง่ายที่สุดก็มีแค่ปวีร์และจงจินต์ คนหนึ่งเป็นหนุ่มเซอร์มาดติสต์ขี่ช็อปเปอร์แต่นิสัยงอแงเหมือนเด็กอนุบาล ส่วนอีกคนเป็นหนุ่มแว่นหน้าใสขับรถโฟล์คแต่ปากจัดยิ่งกว่าแม่ค้า พูดง่ายๆ คือมีนิสัยน่ารำคาญกันคนละแบบ
วันนี้เป็นวันแรกของการเฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวของนายโกสินทร์หน้าที่ทำการพรรคนุรักษ์ไทย เกวลินยังไม่ได้รถคืนจากอู่ นักสืบสาวจึงต้องยอมทนนั่งกับจงจินต์ในรถโฟล์คแคบๆ โดยส่งปวีร์ให้ไปเฝ้าที่ลานจอดรถของพรรคพร้อมด้วยช็อปเปอร์คู่ใจของเจ้าตัว หลังจากนั่งเฝ้ารออย่างอึดอัดและอบอ้าวจากการที่รถของจงจินต์ไม่มีแอร์อยู่นานเกือบสามชั่วโมง ปวีร์ก็ส่งสัญญาณมาในที่สุด
“เจ๊ลิน เป้าหมายกำลังขับรถออกไปแล้ว”
เกวลินก็รีบดึงสติมาโฟกัสกับภารกิจ นักสืบสาวได้ยินเสียงเครื่องยนต์ช็อปเปอร์ดังผ่านโทรศัพท์เข้ามา ปวีร์กำลังเคลื่อนไหว ขณะที่จงจินต์ใช้มือดันแว่นตาขึ้นเบาๆ เตรียมพร้อมจะเหยียบคันเร่งเช่นกัน
หลังจากนั้นไม่นาน รถยุโรปของนายโกสินทร์ก็ขับเคลื่อนออกมาจากสำนักงานแล้วเลี้ยวไปตามถนนลาดพร้าว จงจินต์รีบหมุนพวงมาลัยพารถโฟล์คขับตามรถของนายโกสินทร์ไปอย่างรวดเร็ว (เท่าที่จะเร็วได้) ขณะที่ช็อปเปอร์ของปวีร์ขับตามหลังอีกที เสียงลมตีเข้ามาตลอดเวลาจากโทรศัพท์ นอกจากเกวลินจะนึกรำคาญจงจินต์ที่ขับรถโฟล์คที่ช้าเป็นเต่าแล้ว หล่อนก็รำคาญปวีร์เช่นกันที่ชอบขับช็อปเปอร์ฉวัดเฉวียนไปมาราวกับเห็นถนนเป็นสนามหญ้าบ้านอย่างไรอย่างนั้น
“ขับดีๆ หน่อยวี พี่ไม่อยากเห็นแกลงไปนอนใต้ท้องรถเมล์นะ” เกวลินพูดเตือนผ่านโทรศัพท์ ในขณะที่ปวีร์ผู้ซึ่งสวมหูฟังบลูทูธเอาไว้ตอบโต้คำเตือนของนักสืบสาวด้วยการปาดหน้ารถเมล์ ก่อนจะหัวเราะลั่นเหมือนเห็นความเป็นความตายเป็นเรื่องสนุก
“กูว่าต้องตายสักทีว่ะ ถึงจะเข็ด ” จงจินต์แท็กมือเกวลินด่าปวีร์บ้าง แต่คราวนี้ปวีร์ด่ากลับ
“เออ แต่ต่อให้กูตายจนเกิดใหม่ไปสิบชาติ รถเต่าก็ยังคลานไม่พ้นแยกเล้ย”
“ไอ้เชี่ยวี”
“โอ๊ย อย่าเพิ่งปัญญาอ่อนกันได้ไหมวะ” เกวลินพูดแทรกออกไปอย่างเหนื่อยใจ เป็นความจริงว่าถ้าสองคนนี้ไม่พยายามจะมีปัญหากับเกวลิน มันก็จะต้องมีปัญหากันเองให้ได้ “เดี๋ยวก็คลาดเป้าหมายกันพอดี”
“ไม่คลาดหรอก รถเป้าหมายเข้าซอยลาดพร้าว101 น่าจะลัดไปออกเลียบด่วน” จงจินต์พูดขึ้นเมื่อเห็นว่ารถของโกสินทร์เปิดสัญญาณไฟเลี้ยวซ้ายเพื่อจะเข้าซอยที่อยู่ด้านหน้าห่างไปเกือบร้อยเมตร จงจินต์เป็นเหมือนคนที่ฝังชิปแผนที่กรุงเทพฯ ไว้ในสมอง หนุ่มเนิร์ดจำได้หมดว่าซอยไหนลัดเลาะออกถนนไหนได้บ้าง และก็สามารถวางแผนเสร็จสรรพภายในหนึ่งวินาทีที่เห็นว่ารถของนายโกสินทร์เปิดไฟเลี้ยว “ผมว่าเราควรขับตามเข้าไป แล้วให้วีไปดักรอที่เส้นเลียบด่วน”
“ไม่ได้ พี่ว่าเราต้องส่งต่อให้วีเป็นฝ่ายตามเข้าไปในซอย แล้วเราต่างหากไปดักรอที่ถนนเลียบด่วน”
“ผมจะขับไปดักไม่ทันเอาน่ะสิพี่”
“แต่รถเราประกบเขามานานมากแล้วนะ ถ้าขืนประกบต่อโดนจับได้ชัวร์”
“ตกลงเอายางงาย” ปวีร์ถามเสียงยานคาง ปวีร์เป็นลูกน้องประเภทที่ไม่เคยช่วยคิดแผน แต่สั่งอะไรทำหมด
“ส่งต่อเป้าหมาย!” คำสั่งของเกวลินถือเป็นที่สุด เนื่องจากทำงานด้วยกันมานาน ปวีร์และจงจินต์ต่างรู้ว่าลูกพี่ของคนนั้นเด็ดขาดแค่ไหนเวลาตัดสินใจอะไรสักอย่าง ถึงแม้ว่าเกินครึ่งมักเป็นการตัดสินใจที่...ผิด แต่ก็ไม่เคยมีใครหน้าไหนทำลายความทนทานของเจ้าหล่อนได้
เกวลินขับเคลื่อนชีวิตด้วยความเด็ดเดี่ยวเสมอ เริ่มตั้งแต่สมัยยังวัยรุ่น หล่อนอยากแอดมิชชั่นเข้าคณะนิติศาสตร์ทั้งๆ ที่ไม่มีใครมองเห็นว่าเหมาะ แต่เกวลินก็ดื้อแพ่งตั้งหน้าอ่านหนังสือชนิดที่ไม่สนใจเสียงทัดทานจากคนรอบข้าง พอสอบติดได้เข้าไปเรียนจริงๆ ทุกอย่างก็ดับสลาย สี่ปีต่อมาเกวลินเรียนจบด้วยเกรดอันต่ำต้อย เวลามีใครสักคนถามว่าทำไม เกวลินจะตอบว่า ‘จะเป็นนักกฎหมายไปเพื่ออะไร ถ้าประเทศนี้ยังฉีกรัฐธรรมนูญกันอยู่เป็นว่าเล่น’ แต่ วลัท ญาติผู้พี่คนหนึ่งของหล่อนจะเบรกหัวทิ่มด้วยเหตุผลที่แท้จริงกว่า ‘แกจับจดและไม่มีจิตวิญญาณต่างหากล่ะ ฉันถึงได้ไม่สนับสนุนให้แกเรียนแต่แรกไง’
กรณีนี้ต่างจากโชษิตา ผู้ซึ่งสอบเข้าคณะนิติศาสตร์ตามหล่อนเพราะตอนนั้นยังไม่รู้ตัวว่าควรจะเรียนอะไร แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นนักกฎหมายตัวจริง ก่อนจะเบนสถานะตัวเองไปเป็นแม่บ้านในประเทศโลกที่หนึ่งให้กับสามีที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน
ชีวิตคนเราคาดเดาอะไรไม่ค่อยได้ เกวลินเรียนจบกฎหมาย ล้มลุกคลุกคลานไปกับหลายอาชีพ และสุดท้ายก็กลายมาเป็นนักสืบ โชษิตาจึงเตือนหล่อนหลายครั้งว่าจะทำอะไรให้คิดดีๆ อย่าใจเร็วด่วนได้ แต่เกวลินกลับคิดว่าชีวิตคนเราเมื่อจะตัดสินทำอะไรสักอย่าง ถ้าไม่ถูกมันก็ผิด มีอยู่แค่นั้นเอง ตรงกันข้าม การปล่อยให้ชีวิตแน่นิ่งอยู่ในความสับสนจนไม่ทำอะไรเลยต่างหากคือความล้มเหลวที่แท้จริง
แม้จะยังมีท่าทีไม่เห็นด้วย แต่จงจินต์ก็ทำตามคำสั่งของเกวลินในที่สุด หนุ่มเนิร์ดขับรถโฟล์คเลยซอยลาดพร้าว101 ไป ปล่อยให้ปวีร์เป็นฝ่ายเร่งความเร็วขึ้นมาแล้วเลี้ยวรถตามนายโกสินทร์เข้าไปในซอยแทน ทุกครั้งของการสะกดรอย จะต้องมี การส่งต่อเป้าหมาย แบบนี้อยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เป้าหมายรู้ตัว!
“แน่ใจนะว่าหล่อนไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกเราติดตามอยู่อีกทอดหนึ่ง” ร้อยตำรวจโทชงคมเอ่ยถามผู้หมู่ก้องผ่านทางโทรศัพท์ ขณะที่กำลังนั่งอยู่หลังพวงมาลัย เตรียมจะขับรถออกจากกรมสืบสวนพิเศษ
“ผมว่ายังไม่น่าจะรู้หรอกครับ” นายตำรวจชั้นประทวนให้คำตอบ พร้อมอธิบายเพิ่ม “ตอนนี้หล่อนนั่งอยู่ในรถโฟล์คสีม่วง คนขับเป็นผู้ชายใส่แว่น จอดรออยู่ที่ปากซอยถนนเลียบด่วน น่าจะรอรับช่วงต่อจากผู้ชายตัวสูงๆ ที่ขี่ช็อปเปอร์ตามคุณโกสินทร์เข้าไปในซอย"
ร้อยตำรวจโทชงคมฟังแล้วก็รู้สึกควันออกหู เฮอะ! ไหนบอกว่าปฏิเสธรัมภาไปไง ผู้หญิงขี้โกหก!
แต่เอาเถิด อย่างน้อยพฤติกรรมของหล่อนก็ยังไม่พ้นไปจากสายตาของเขา
“ยังไงผมจะประกบหล่อนไว้ ไม่ให้รู้ตัวครับผู้หมวด” ผู้หมู่ก้องให้คำมั่น แต่คราวนี้ผู้หมวดหนุ่มคิดอีกแบบ
“ไม่ต้องแล้ว จะเป็นการเสี่ยงให้หล่อนรู้ตัวเสียเปล่าๆ”
“แล้วเราจะปล่อยให้หล่อนสะกดรอยคุณโกสินทร์ไปเหรอครับ”
“ถ้าเธอกำลังตามสะกดรอยคุณโกสินทร์อยู่จริงๆ ละก็ ผมรู้แล้วว่าเธอจะไปที่ไหน” ร้อยตำรวจโทชงคมพูดออกไปแล้วก็แอบสะใจกับตัวเองอยู่ไม่น้อย ในขณะที่หล่อนต้องแอบขับรถสะกดรอยอย่างเหน็ดเหนื่อย แต่เขามีจุดปลายปลายทางของนายโกสินทร์อยู่ในมือแล้ว ผิวปากขับรถกินลมชมวิวไปเจอได้เลยอย่างง่ายดาย
ถึงนักสืบสาวจะเจ้าเล่ห์เก่งกาจสักแค่ไหน อย่างไรเขาก็เหนือกว่าหล่อนอยู่ดี
ร้อยตำรวจโทชงคมวางสายจากผู้หมู่ก้อง หมุนพวงมาลัยพาวอลโวคันหรูเคลื่อนออกไปจากสำนักงานกรมสืบสวนพิเศษ ในใจก็ครุ่นคิดถึงสิ่งที่กำลังจะทำ นอกเหนือไปจากความช่วยเหลือจากบิดาซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในจังหวะที่เหมาะเจาะลงตัวแล้ว เมื่อเช้าทางผู้กองเดชได้เข้าไปจับกุมเจ้าของร้านที่รับซื้อโทรศัพท์มือถือของชนมนจากคนขับแท็กซี่ ทำให้ได้เบาะแสสำคัญมาอีกหนึ่งอย่างที่น่าจะช่วยเขาได้เยอะอยู่
ถ้าวันนี้ไม่โชคร้ายจนเกินไป!