กุมารทอง
(เรื่องสั้นชุด : เครื่องราง)
ความมืดมิดแลหมองหม่นย่างกรายยามราตรีเข้ามาเยือน คืนนี้... คืนเดือนมืด เมื่อมิมีแสงจากดวงจันทร์จึงมองบ้านไม้สองชั้นเป็นตะคุ่มๆ ล้อมรอบด้วยเงาของต้นไม้ใหญ่ แสงสีเหลืองส้มปรากฏขึ้น ณ ห้องบนชั้นสอง สายลมพัดเบาๆ ทำให้ม่านที่หน้าต่างพลิ้วไหว พร้อมกับไฟตะเกียงยังเป็นแสงสว่างแห่งเดียว สะบัดมืดลงเพียงชั่วขณะก่อนโรจน์เรืองรองดังเดิม อีกฟากคือแท่นบูชายกสูงอยู่มุม ปรากฏ
รูปปั้นดินเผาของเด็กผู้ชายสวมโจงกระเบนสีแดงยืนนิ่ง อยู่ข้างกับโถน้ำดินเผาซึ่งมีช่อดอกมะลิสดปักอยู่ ส่งกลิ่นหอมอบอวลตามสายลม เป็นเหตุให้อิสตรีนางหนึ่งสูดดมแล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี
หญิงสาวสาวสวยซึ่งไว้ผมทรงดอกกระพุ่ม รับกับร่างกายบอบบางแลดูน่าทะนุถนอม นางงดงามอ่อนช้อยราวกับนางในวรรณคดี นั่งบนเตียงซึ่งตั้งกึ่งกลางของห้อง แสงไฟจากตะเกียงไหวกระทบกับผิวมองเป็นสีเหลืองนวล สวมผ้าแถบรัดอกผ้าแพรดูพลิ้วไหว นุ่งโจงกระเบนสีเข้มคล้ายว่าจะเป็นสีดำ อาจเพราะความสว่างไม่พอจึงมองเห็นเพียงสีเข้มเท่านั้น
ร่างของเด็กชายปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่าหน้าตรงหน้านาง ทว่า... หาได้ทำให้หญิงสาวสะทกสะท้านหรือตกใจไม่ ใบหน้าหวานที่เคยยิ้มแย้มเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วฉายแววตำหนิแทน เห็นดังนั้น เด็กชายหันหน้าหนีเป็นเหตุให้ผมจุกส่ายไปมา เบนสายตาข้างๆ มุมปากยิ้มแหยอย่างสำนึกผิด ร่างโปรงแสงเอียงลำคอคล้ายว่าอยากจักออดอ้อนหญิงสาวตรงหน้า
...เขากำลังจักไปทำเรื่องสนุกสนาน อย่าให้คนตรงหน้าโมโหแล้วห้ามมิให้ออกไปดีกว่า
เด็กชายแอบกระหยิ่มยิ้มย่อง มิอาจพ้นสายตาคมของอีกฝ่ายไปได้
“พี่ทองไปไหนมาจ๊ะ จักไปแกล้งหรือไปแกล้งผู้ใดมาแล้วรึ” เสียงหวานเปิดประเด็นเสียงเข้ม สายตาของนางจ้องไปยังร่างโปร่งแสงตรงหน้าอย่างจับผิด อาศัยอยู่ด้วยกันมาเป็นสิบปี เพียงมองหน้าก็เห็นไปถึงไส้ในแล้ว
“พี่มิได้แกล้ง... แค่จักเข้าไปทักทายตามประสามิตรสหาย”
เสียงเด็กชายแก้ตัวเสียงอ่อย เขาทิ้งร่างลงบนเตียงข้างกายของหญิงสาว จับผ้าห่มขึ้นมาหมุนเล่น หลบสายตาเป็นพัลวัน
รีบกล่าวเปลี่ยนเรื่อง “แม่พิกุลยังมินอนรึ”
“ข้าจะนอนได้เยี่ยงใดเจ้าคะ พี่ทองยังไม่กลับเรือน ข้าสังหรใจว่าพี่จักก่อเรื่อง”
แม่พิกุลยิ้มอย่างรู้ทัน ใบหน้าหวานจ้องเด็กน้อยในร่างโปรงแสง ในชุดโจงกระเบนสีแดง นางจ้องพี่ทองซึ่งกระพริบตาปริบๆ อยู่ตรงหน้า ปล่อยลมหายใจแผ่วเบา นางจึงเปิดประเด็นอีกคราด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“พี่ทองเป็นกุมารทองของข้ามากี่ปีแล้วเจ้าคะ เหตุใดข้าจะมิทราบว่าพี่ชอบแกล้งหลอกชาวบ้านนัก หากชาวบ้านพาหมอผีมาจับตัวพี่ไป... ข้าจักอยู่ได้เยี่ยงไร พี่เป็นพี่ชายของข้านะเจ้าคะ”
“ข้าไม่ได้ทำความเดือนร้อนอันใด ทำไมต้องกลัวหมอผีด้วย... ข้าเป็นกุมารทองไสยเวทขาว หาได้เป็นพวกไสยเวทดำอย่างพวกนั้นไม่!”
เด็กชายร่างโปรงแสงหายไปจากสายตาของแม่พิกุลทันทีที่พูดจบ นางเพียงแต่ส่ายศีรษะไปมา ปล่อยลมหายใจออกมาคล้ายเหนื่อยอ่อน แล้วเหม่อลอยออกไปภายนอกหน้าต่างอย่างครุ่นคิด
...พี่ทองยังดื้อดึงเสมอ นางควรจะทำอย่างไรดีเล่า
ก๊อก ก๊อก!
“พี่พิกุล นอนรึยังจ๊ะ” เสียงใสตะโกน คนภายนอกง้างช่องประตูออกเพียงเล็กน้อย แล้วจึงมีใบหน้าเล็กของเด็กหญิงรอดผ่านช่องประตูเข้ามา เด็กน้อยยิ้มอย่างอารมณ์ดี วิ่งตรงเข้ามาหาหญิงสาว มือน้อยแง้มมุ้งออกแล้วปีนขึ้นมานั่งบนเตียง ข้างกายของแม่พิกุล จากนั้นเธอส่งยิ้มเล็กๆ ให้ราวกับกำลังอ้อนแม่หญิงตรงหน้า
“พี่ทองก่อเรื่องอีกแล้วหรือจ๊ะ” เด็กสาวนั่งลงบนเตียงของแม่พิกุล มือน้อยจับผมจุกของตนเองอย่างเคยชิน
“พี่เองไม่รู้ดอก คุณพ่อท่านก็ห้ามปรามพี่ทองมิได้ พี่เตือนแล้วพี่ทองก็ยังนิ่งเฉย หาได้สนใจวาจาของพี่ไม่… น้องชบาคิดว่าพี่ควรจักทำกระไรดีเล่า หากมีชาวบ้านมาร้องเรียนเรื่องพี่ทองอีก พวกเราจักโดนไล่ออกจากหมู่บ้านเป็นแน่”
เด็กสาวเบ้ปาก ราวกับหมั่นไส้พี่ทองเสียเหลือเกิน เด็กสาวสบตาแม่พิกุล “หลวงปู่อาจจะพอช่วยได้บ้างรึไม่เจ้าคะ”
“มิงามเลยนะน้องชบา อย่าทำเช่นนี้อีก” น้ำเสียงตำหนิเล็กน้อยของแม่พิกุล เป็นเหตุให้แม่ชบานิ่ง แม่พิกุลส่ายหน้ากับกริยามิสมกับเป็นแม่หญิงของน้องสาว แต่ทว่านางหาได้กล่าวต่อว่าอันใดต่อ เนื่องด้วยคำนึงถึงปัญหาที่ใหญ่กว่าคือเรื่องของพี่ทอง
“นั่นสิ... เหตุใดพี่ถึงมิเคยคิดถึง พรุ่งนี้พี่จักไปกราบหลวงปู่และขอคำชี้แนะเรื่องพี่ทองด้วย”
++++++
สายลมแรงแรงพัดเข้ามายังหน้าต่าง จนหน้าต่างปิดดังตึงอย่างแรง กลิ่นฝนกับกลิ่นไอของดินอันเป็นกลิ่นของฝนตกโชยเข้ามา ต้นไม้เอนเอียงส่ายไปมาตามความแรงของลม เสียงฟ้าร้องครืนๆ มีเสียงก้องของฟ้าผ่าดังมาบ้างเป็นระยะ พร้อมกับฟ้าแลบสว่างตาชั่วขณะสลับกับท้องฟ้ามืดสนิท เห็นเงาส่ายไหวตัวของต้นไม้ใหญ่ภายนอก
โครม!
เสียงล้มของตันไม้ใหญ่เพราะทานแรงลมไม่ได้ ดังกระทบกับอีกต้นรุนแรงโครมครามจนคนในบ้านไม้สองชั้นที่กำลังนั่งอยู่หน้าระเบียงอยู่ต้องลุกขึ้นไปดูอย่างตกใจ ชายวัยกลางคนนุ่งผ้าขาวม้าจ้องมองออกไปข้างนอกอย่างสงสัย ต้นไม้ใหญ่รอบเรือนส่ายอย่างแรง คล้ายจักโค่นลงมาอีก
“เสียงอันใดรึ” ผู้ใหญ่บุญเอ่ยถามกับแม่นวล ใบหน้าของชายวัยกลางคนขมวดคิ้วเคร่งเครียด
หญิงวัยกลางคนสวมกระโจมอกสีน้ำตาลหม่น นางนุ่งโจงกระเบนสีดำ นั่งชันเข่าอยู่อีกฝากของเรือน ปากยังเคี้ยวหมาก หันมาสบตากับผู้ใหญ่บุญแล้วเบือนหนี หยิบกระโถนมาบ้วนน้ำหมากทิ้ง นางมิได้ใส่ใจใคร่รู้เรื่องแค่ต้นไม้โค่นอันใดดอก
“ฝนฟ้าตก ต้นไม้ล้มก็มิมีอันใดดอกจ๊ะ” เมื่อนางอ้าปากตอบสามี ฟันสีดำสะท้อนกับแสงตะเกียง มือเอื้อมหยิบผ้าเช็ดปากสีเข้มมาเช็ดริมฝีปาก
“มิใช่แม่... ข้าได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ดังมาจากใต้ถุนเรือน”
สิ้นเสียงของผู้ใหญ่บุญ แม่นวลขนลุกขึ้นมาทันที นางจับต้นแขนลูบราวกับโอบกอดตนเองไว้ด้วยความกลัว
...นางหาได้ยินเสียงอันใดไม่ นอกเสียจากเสียงฝนฟ้าและเสียงต้นไม้โค่น สามีของนางจะได้ยินเสียงเด็กร้องได้เยี่ยงไร! โบราณปู่ย่าตายายพร่ำสอนเสมอว่าหากมีเหตุไม่ชอบมาพากลหรือแม้แต่เสียงที่ไม่ทราบต้นสายปลายเหตุ
...ห้ามมิให้ทัก
“พี่บุญ...” เสียงของแม่นวลสั่นระริก ขนแขนตั้งชัน ความหนาวเย็นย่างกรายเข้ามาให้ผู้ใหญ่บุญและนางรู้สึกได้
ฮิ... ฮิ... ฮิ...
เสียงหลอนของเด็กดังขึ้น... แม่นวลใบหน้าซีดขาว นางอ้าปากค้างจนน้ำหมากสีแดงไหลลงมา ส่วนผู้ใหญ่บุญอ้าปากค้าง สบตากับนางอย่างขอความเห็น ได้ยินเฉกเช่นเดียวกันหรือไม่...
“...”
ไม่มีวาจาใดหลุดมาจากปาก ต่างมองไปโดยรอบก่อนจะหันมาสบตากันอีกครา นางพยักหน้าให้สามีด้วยน้ำตานองเต็มใบหน้า ทั้งสองรีบวิ่งเข้าไปยังในตัวเรือน เสียงตึงตังเมื่อเท้ากระทบพื้นเพื่อวิ่งไปยังห้องนอนที่ปิดอยู่ จับมือกันวิ่งไปที่ตั่งไม้แล้วรีบคลี่ผ้าห่มมาคลุมหัวอย่างลุกลี้ลุกลน
“หยอกล้อนิดเดียว ทำขวัญอ่อนไปได้”
เสียงเล็กของเด็กผู้ชายดังขึ้นอยู่ปลายเท้า ...ยิ่งทำให้ร่างกายทั้งคู่งอตัวสั่นระริก ปากสวดมนตร์ผิดๆ ถูกๆ มือพนมส่ายราวกับผีเข้า ด้วยความกลัวทำให้ผมเริ่มตั้งชันขึ้นมา หลับตาปี๋คล้ายมิต้องการมองอันใดทั้งสิ้น
เด็กชายในชุดโจงกระเบนสีแดง หัวจุก ร่างกายโปร่งแสงยืนนิ่งอยู่ปลายตั่ง ยิ้มล้อเลียนปนสนุกสนาน จะเข้าไปแกล้งคนกลัวผี เสียงแว่วจากที่แสนไกลดังขึ้นเป็นเหตุให้คนขี้แกล้งชะงัก... ก่อนจะทำหน้าเสียดาย
“หมดเวลาเล่นแล้วขอรับ วันหลังข้าจะมาเล่นกับลุงกับป้าอีก”
เสียงหลอนยิ่งทำให้ผู้ใหญ่บุญและแม่นวลพึมพำสวดมนตร์ไล่ผิดๆ ถูกๆ “ไม่ ตะ...ต้องมา... นะโม... สัตว์ทั้งหลาย”
ร่างโปร่งแสงหายไปจากจุดที่เคยยืนอยู่ ทิ้งเห็นเงาตะคุ่มของสองสามีภรรยาสั่นงกๆ ในผ้าห่มบนตั่ง ร่างสะดุ้งทุกครั้งเมื่อมีเสียงลมพัดให้หน้าต่างปิดเปิดดังตึง ลมแรงมิทำให้จิตใจหวาดกลัวเท่าร่างโปรงแสงที่บอกว่าตนมาทักทายอีกครานี่เลย
++++++
(มีต่อค่ะ)
The All Write Project : เครื่องราง : ...กุมารทอง
ความมืดมิดแลหมองหม่นย่างกรายยามราตรีเข้ามาเยือน คืนนี้... คืนเดือนมืด เมื่อมิมีแสงจากดวงจันทร์จึงมองบ้านไม้สองชั้นเป็นตะคุ่มๆ ล้อมรอบด้วยเงาของต้นไม้ใหญ่ แสงสีเหลืองส้มปรากฏขึ้น ณ ห้องบนชั้นสอง สายลมพัดเบาๆ ทำให้ม่านที่หน้าต่างพลิ้วไหว พร้อมกับไฟตะเกียงยังเป็นแสงสว่างแห่งเดียว สะบัดมืดลงเพียงชั่วขณะก่อนโรจน์เรืองรองดังเดิม อีกฟากคือแท่นบูชายกสูงอยู่มุม ปรากฏรูปปั้นดินเผาของเด็กผู้ชายสวมโจงกระเบนสีแดงยืนนิ่ง อยู่ข้างกับโถน้ำดินเผาซึ่งมีช่อดอกมะลิสดปักอยู่ ส่งกลิ่นหอมอบอวลตามสายลม เป็นเหตุให้อิสตรีนางหนึ่งสูดดมแล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี
หญิงสาวสาวสวยซึ่งไว้ผมทรงดอกกระพุ่ม รับกับร่างกายบอบบางแลดูน่าทะนุถนอม นางงดงามอ่อนช้อยราวกับนางในวรรณคดี นั่งบนเตียงซึ่งตั้งกึ่งกลางของห้อง แสงไฟจากตะเกียงไหวกระทบกับผิวมองเป็นสีเหลืองนวล สวมผ้าแถบรัดอกผ้าแพรดูพลิ้วไหว นุ่งโจงกระเบนสีเข้มคล้ายว่าจะเป็นสีดำ อาจเพราะความสว่างไม่พอจึงมองเห็นเพียงสีเข้มเท่านั้น
ร่างของเด็กชายปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่าหน้าตรงหน้านาง ทว่า... หาได้ทำให้หญิงสาวสะทกสะท้านหรือตกใจไม่ ใบหน้าหวานที่เคยยิ้มแย้มเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วฉายแววตำหนิแทน เห็นดังนั้น เด็กชายหันหน้าหนีเป็นเหตุให้ผมจุกส่ายไปมา เบนสายตาข้างๆ มุมปากยิ้มแหยอย่างสำนึกผิด ร่างโปรงแสงเอียงลำคอคล้ายว่าอยากจักออดอ้อนหญิงสาวตรงหน้า
...เขากำลังจักไปทำเรื่องสนุกสนาน อย่าให้คนตรงหน้าโมโหแล้วห้ามมิให้ออกไปดีกว่า
เด็กชายแอบกระหยิ่มยิ้มย่อง มิอาจพ้นสายตาคมของอีกฝ่ายไปได้
“พี่ทองไปไหนมาจ๊ะ จักไปแกล้งหรือไปแกล้งผู้ใดมาแล้วรึ” เสียงหวานเปิดประเด็นเสียงเข้ม สายตาของนางจ้องไปยังร่างโปร่งแสงตรงหน้าอย่างจับผิด อาศัยอยู่ด้วยกันมาเป็นสิบปี เพียงมองหน้าก็เห็นไปถึงไส้ในแล้ว
“พี่มิได้แกล้ง... แค่จักเข้าไปทักทายตามประสามิตรสหาย”
เสียงเด็กชายแก้ตัวเสียงอ่อย เขาทิ้งร่างลงบนเตียงข้างกายของหญิงสาว จับผ้าห่มขึ้นมาหมุนเล่น หลบสายตาเป็นพัลวัน
รีบกล่าวเปลี่ยนเรื่อง “แม่พิกุลยังมินอนรึ”
“ข้าจะนอนได้เยี่ยงใดเจ้าคะ พี่ทองยังไม่กลับเรือน ข้าสังหรใจว่าพี่จักก่อเรื่อง”
แม่พิกุลยิ้มอย่างรู้ทัน ใบหน้าหวานจ้องเด็กน้อยในร่างโปรงแสง ในชุดโจงกระเบนสีแดง นางจ้องพี่ทองซึ่งกระพริบตาปริบๆ อยู่ตรงหน้า ปล่อยลมหายใจแผ่วเบา นางจึงเปิดประเด็นอีกคราด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“พี่ทองเป็นกุมารทองของข้ามากี่ปีแล้วเจ้าคะ เหตุใดข้าจะมิทราบว่าพี่ชอบแกล้งหลอกชาวบ้านนัก หากชาวบ้านพาหมอผีมาจับตัวพี่ไป... ข้าจักอยู่ได้เยี่ยงไร พี่เป็นพี่ชายของข้านะเจ้าคะ”
“ข้าไม่ได้ทำความเดือนร้อนอันใด ทำไมต้องกลัวหมอผีด้วย... ข้าเป็นกุมารทองไสยเวทขาว หาได้เป็นพวกไสยเวทดำอย่างพวกนั้นไม่!”
เด็กชายร่างโปรงแสงหายไปจากสายตาของแม่พิกุลทันทีที่พูดจบ นางเพียงแต่ส่ายศีรษะไปมา ปล่อยลมหายใจออกมาคล้ายเหนื่อยอ่อน แล้วเหม่อลอยออกไปภายนอกหน้าต่างอย่างครุ่นคิด
...พี่ทองยังดื้อดึงเสมอ นางควรจะทำอย่างไรดีเล่า
ก๊อก ก๊อก!
“พี่พิกุล นอนรึยังจ๊ะ” เสียงใสตะโกน คนภายนอกง้างช่องประตูออกเพียงเล็กน้อย แล้วจึงมีใบหน้าเล็กของเด็กหญิงรอดผ่านช่องประตูเข้ามา เด็กน้อยยิ้มอย่างอารมณ์ดี วิ่งตรงเข้ามาหาหญิงสาว มือน้อยแง้มมุ้งออกแล้วปีนขึ้นมานั่งบนเตียง ข้างกายของแม่พิกุล จากนั้นเธอส่งยิ้มเล็กๆ ให้ราวกับกำลังอ้อนแม่หญิงตรงหน้า
“พี่ทองก่อเรื่องอีกแล้วหรือจ๊ะ” เด็กสาวนั่งลงบนเตียงของแม่พิกุล มือน้อยจับผมจุกของตนเองอย่างเคยชิน
“พี่เองไม่รู้ดอก คุณพ่อท่านก็ห้ามปรามพี่ทองมิได้ พี่เตือนแล้วพี่ทองก็ยังนิ่งเฉย หาได้สนใจวาจาของพี่ไม่… น้องชบาคิดว่าพี่ควรจักทำกระไรดีเล่า หากมีชาวบ้านมาร้องเรียนเรื่องพี่ทองอีก พวกเราจักโดนไล่ออกจากหมู่บ้านเป็นแน่”
เด็กสาวเบ้ปาก ราวกับหมั่นไส้พี่ทองเสียเหลือเกิน เด็กสาวสบตาแม่พิกุล “หลวงปู่อาจจะพอช่วยได้บ้างรึไม่เจ้าคะ”
“มิงามเลยนะน้องชบา อย่าทำเช่นนี้อีก” น้ำเสียงตำหนิเล็กน้อยของแม่พิกุล เป็นเหตุให้แม่ชบานิ่ง แม่พิกุลส่ายหน้ากับกริยามิสมกับเป็นแม่หญิงของน้องสาว แต่ทว่านางหาได้กล่าวต่อว่าอันใดต่อ เนื่องด้วยคำนึงถึงปัญหาที่ใหญ่กว่าคือเรื่องของพี่ทอง
“นั่นสิ... เหตุใดพี่ถึงมิเคยคิดถึง พรุ่งนี้พี่จักไปกราบหลวงปู่และขอคำชี้แนะเรื่องพี่ทองด้วย”
สายลมแรงแรงพัดเข้ามายังหน้าต่าง จนหน้าต่างปิดดังตึงอย่างแรง กลิ่นฝนกับกลิ่นไอของดินอันเป็นกลิ่นของฝนตกโชยเข้ามา ต้นไม้เอนเอียงส่ายไปมาตามความแรงของลม เสียงฟ้าร้องครืนๆ มีเสียงก้องของฟ้าผ่าดังมาบ้างเป็นระยะ พร้อมกับฟ้าแลบสว่างตาชั่วขณะสลับกับท้องฟ้ามืดสนิท เห็นเงาส่ายไหวตัวของต้นไม้ใหญ่ภายนอก
โครม!
เสียงล้มของตันไม้ใหญ่เพราะทานแรงลมไม่ได้ ดังกระทบกับอีกต้นรุนแรงโครมครามจนคนในบ้านไม้สองชั้นที่กำลังนั่งอยู่หน้าระเบียงอยู่ต้องลุกขึ้นไปดูอย่างตกใจ ชายวัยกลางคนนุ่งผ้าขาวม้าจ้องมองออกไปข้างนอกอย่างสงสัย ต้นไม้ใหญ่รอบเรือนส่ายอย่างแรง คล้ายจักโค่นลงมาอีก
“เสียงอันใดรึ” ผู้ใหญ่บุญเอ่ยถามกับแม่นวล ใบหน้าของชายวัยกลางคนขมวดคิ้วเคร่งเครียด
หญิงวัยกลางคนสวมกระโจมอกสีน้ำตาลหม่น นางนุ่งโจงกระเบนสีดำ นั่งชันเข่าอยู่อีกฝากของเรือน ปากยังเคี้ยวหมาก หันมาสบตากับผู้ใหญ่บุญแล้วเบือนหนี หยิบกระโถนมาบ้วนน้ำหมากทิ้ง นางมิได้ใส่ใจใคร่รู้เรื่องแค่ต้นไม้โค่นอันใดดอก
“ฝนฟ้าตก ต้นไม้ล้มก็มิมีอันใดดอกจ๊ะ” เมื่อนางอ้าปากตอบสามี ฟันสีดำสะท้อนกับแสงตะเกียง มือเอื้อมหยิบผ้าเช็ดปากสีเข้มมาเช็ดริมฝีปาก
“มิใช่แม่... ข้าได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ดังมาจากใต้ถุนเรือน”
สิ้นเสียงของผู้ใหญ่บุญ แม่นวลขนลุกขึ้นมาทันที นางจับต้นแขนลูบราวกับโอบกอดตนเองไว้ด้วยความกลัว
...นางหาได้ยินเสียงอันใดไม่ นอกเสียจากเสียงฝนฟ้าและเสียงต้นไม้โค่น สามีของนางจะได้ยินเสียงเด็กร้องได้เยี่ยงไร! โบราณปู่ย่าตายายพร่ำสอนเสมอว่าหากมีเหตุไม่ชอบมาพากลหรือแม้แต่เสียงที่ไม่ทราบต้นสายปลายเหตุ
...ห้ามมิให้ทัก
“พี่บุญ...” เสียงของแม่นวลสั่นระริก ขนแขนตั้งชัน ความหนาวเย็นย่างกรายเข้ามาให้ผู้ใหญ่บุญและนางรู้สึกได้
ฮิ... ฮิ... ฮิ...
เสียงหลอนของเด็กดังขึ้น... แม่นวลใบหน้าซีดขาว นางอ้าปากค้างจนน้ำหมากสีแดงไหลลงมา ส่วนผู้ใหญ่บุญอ้าปากค้าง สบตากับนางอย่างขอความเห็น ได้ยินเฉกเช่นเดียวกันหรือไม่...
“...”
ไม่มีวาจาใดหลุดมาจากปาก ต่างมองไปโดยรอบก่อนจะหันมาสบตากันอีกครา นางพยักหน้าให้สามีด้วยน้ำตานองเต็มใบหน้า ทั้งสองรีบวิ่งเข้าไปยังในตัวเรือน เสียงตึงตังเมื่อเท้ากระทบพื้นเพื่อวิ่งไปยังห้องนอนที่ปิดอยู่ จับมือกันวิ่งไปที่ตั่งไม้แล้วรีบคลี่ผ้าห่มมาคลุมหัวอย่างลุกลี้ลุกลน
“หยอกล้อนิดเดียว ทำขวัญอ่อนไปได้”
เสียงเล็กของเด็กผู้ชายดังขึ้นอยู่ปลายเท้า ...ยิ่งทำให้ร่างกายทั้งคู่งอตัวสั่นระริก ปากสวดมนตร์ผิดๆ ถูกๆ มือพนมส่ายราวกับผีเข้า ด้วยความกลัวทำให้ผมเริ่มตั้งชันขึ้นมา หลับตาปี๋คล้ายมิต้องการมองอันใดทั้งสิ้น
เด็กชายในชุดโจงกระเบนสีแดง หัวจุก ร่างกายโปร่งแสงยืนนิ่งอยู่ปลายตั่ง ยิ้มล้อเลียนปนสนุกสนาน จะเข้าไปแกล้งคนกลัวผี เสียงแว่วจากที่แสนไกลดังขึ้นเป็นเหตุให้คนขี้แกล้งชะงัก... ก่อนจะทำหน้าเสียดาย
“หมดเวลาเล่นแล้วขอรับ วันหลังข้าจะมาเล่นกับลุงกับป้าอีก”
เสียงหลอนยิ่งทำให้ผู้ใหญ่บุญและแม่นวลพึมพำสวดมนตร์ไล่ผิดๆ ถูกๆ “ไม่ ตะ...ต้องมา... นะโม... สัตว์ทั้งหลาย”
ร่างโปร่งแสงหายไปจากจุดที่เคยยืนอยู่ ทิ้งเห็นเงาตะคุ่มของสองสามีภรรยาสั่นงกๆ ในผ้าห่มบนตั่ง ร่างสะดุ้งทุกครั้งเมื่อมีเสียงลมพัดให้หน้าต่างปิดเปิดดังตึง ลมแรงมิทำให้จิตใจหวาดกลัวเท่าร่างโปรงแสงที่บอกว่าตนมาทักทายอีกครานี่เลย
(มีต่อค่ะ)