“อย่านะ! ท่านวิทูญยะราชได้โปรดละเว้นข้าด้วยเถิด” ร่างเล็กกระถดตัวไปจนชิดผนังถ้ำที่ด้านหน้ามาม่านน้ำตกปกปิดเอาไว้
“ฮึๆๆ อย่าได้เกรงไปแม่หญิงบุญญาดาว่าที่พี่สะใภ้แห่งข้า” เสียงจากชายผู้มีร่างกายใหญ่โตในตามีสีแดงดั่งเปลวเพลิงแม้แต่เส้นพระเกศาก็มิต่างกัน ลำตัวเป็นสีดำทมึนแม้นแต่ฝีพระโอสยังดำจนเป็นมันวาว!!!
นี่นะฤาที่กร่าวกับนางว่ามิให้เกรงกลัวเขา บุญญาดา ถึงจะไม่ฉลาดนักแต่ย่อมรู้ เขานั้นแหละน่ากลัวยิ่งแล้ว
ร่างน้อยในชุดสีขาวบริสุทธิ์ถึงกับสั่นไปทั่วร่างน้อยดังลูกนกที่ตกจากรังมาเจอหมาป่าจอมเกเรและแสนหิวโซ
“ได้โปรดปล่อยข้าพเจ้าไปเถิด เราหาเคยมีบาดหมางซึ่งน้ำใจแลเรื่องแค้นเคืองกันไม่ อีกมิกี่เพลาจักถึงฤกษางามยามดีอันเป็นมิ่งมงคลที่ตนข้าพเจ้านี้ต้องถวายตนแด่องค์ชาย13แล้วหนาเจ้าข้า” กร่าวจบก็ให้ก้มกราบวิงวอนขอความเมตตาให้นาคาผู้เป็นใหญ่แห่งตระกูลนาคาสีดำที่ใครๆต่างก็คลั่นคร้ามมิอยากยุ่งเกี่ยวหรือต่อกรด้วย!...
”ฮ่ะๆๆๆช่างน่าสมเพชนัก นี่นะหรือว่าที่พระชายาแห่งองค์ชาย13 ช่างไร้ศักดิ์ศรีเสียนี่กระไร ถึงขนาดหมอบกราบ สัตตรูเพื่อร้องขอชีวี
!ทุเรจ...หามีสิ่งใดเทียบเคียงพระน้องนางข้าไม่ เจ้ามันนาคีชั้นต่ำ!”กราวจบก็ใช้เท้าเหยียบลงไปกึ่งศรีษะกึ่งใบหน้างามอ่อนหวานที่บัดนี้ทั้งมอมแมมแลแตกยับจนแทบมองหาความงามล่มเมื่องที่เคยมีมิพบเจอฝีพระโอสน้อยๆบางๆบัดนี้บวมเจ่อแตกยับมีแต่ควาบเลือดสีขาวไหลเปอะเปื้อนไปทั้งร่างดังยางไม้จากเถาวัลบางชนิด อา...เธอกำลังจะตาย นาคีน้อยบุญญาดาโอดควญในใจเบาๆ ท่านแม่ พระบิดา ชาตินี้ลูกคงบุญน้อย จึงมิทันตอบแทนคุณ ก็จักเอาชีวีมาทิ้งเสียที่ถ้ำเถือนร้างแห่งนี้เสียแล้ว ลาก่อนพี่กุนจา ลาก่อน พระคู่หมั้น ที่มิเคยได้พบสบพระพักต์กันมาก่อนเลย... ใบหน้าไต้ฝ่าเท้าอันใหญ่โตแข็งแกร่งของท่าน องค์รัชทายาท วิณฑูญยะราช เจ้า นั้นบดขยี้ใบหน้าแม่หญิงน้อยดังกำลังบดบี้ขยี้แมลงที่น่ารังเกียจ ผิดวิสัยแห่งเอกบุรุษที่ดีมิพึงกระทำต่ออิสตรี ต่อให้เป็นในยามศึกคงครามก็ตาม
“รู้เอาไว้ว่าเจ้ามันต่ำชั้นใยจึงกล้าเผยอหน้าไปแข่งบรมีแห่ง เกตุมวดีพระน้องนางแห่งข้า!”
ครานี้หามีเสียงวอนขอชีวีอีกไม่ เพราะพระธิดาน้อยแห่งนครโกสัมพีนครบาดาลนั่นแทบมิมีแม้นแรงจักหายใจด้วยตั้งแต่อาสมที่ตนแลเหล่าบรรดาทหารแลพี่เลี้ยงต้องออกบวชเพื่อถือพรหมจรรย์เป็นเวลา4วันพระเพื่อเตรียมถวายตัวตามโบราญราชประเภณีแห่งชาวนาคาทั้งหลาย นี่ก็ล่วงเข้ายาม2แล้วที่แม่นางน้อยถูกทุบตีแลให้อดอาหารต้องทนทรมาณจักตายก็มิให้ตายทุบตีซ้อมนางจนสลบก็แก้ไขให้ฟื้นแล้วทำทุกวิถีทางให้สาวน้อยทรมาณจวนเจียนจักขาดใจ แต่สิ่งหนึ่งที่บุญญาดายังยินดีคือนาคาเกเรผู้นี้มิคิดจักกระทำการอันเสื่อมเกียติแห่งอิสตรีด้วยการข่มเหงน้ำใจหญิงเพียงเท่านั้น ถึงนางจักเกิดแต่มารดาผู้เป็นพระสมนต่ำศักดิ์ แต่นี่คือเกียติที่มารดาเฝ้าสอนสั่งเธอมาตั้งแต่เริ่มจำความได้ เธออาจงดงามเกินพระธิดาองค์ต่างๆของเสด็จพ่อ แต่ นางนั้นมิใช่หญิงที่ฉลาดปราดเปรื่องออกจะโง่เขลากว่าพี่น้องเสียด้วยซ้ำนางกระทำการใดมิเป็นนอกจากปักผ้าแลกรองมาลัย จึงมิอยากเลยที่จะถูกจับตัวมาทรมาณเฉกเช่นนี้...
ตุ๊บ!...เท้าหนากระทืบจนหนำใจยังมิวายเตะเข้าไปที่ร่างน้อยจนเธอตัวงอกระอักกระไอออกมาเป็นเลือดสดๆสีขาวขุ่นข้นอีกกองใหญ่ หะ...โหด...ร้าย...นัก...นาคาผู้นี้!!!...เกรียด! นางเกรียดนาคาตนนี้...เกรียดพี่สาวต่างมารดาผู้ยืนมองด้วยรอยยิ้มสาสมใจ อาวัสดา ธิดาผู้เกิดแต่พระยาชาเอกของเสด็จพ่อ!...แลสุดท้ายแล้วนาง เกรียดตนเอง!...เกรียดความโง่เขลาเบาปัญญาของตน! ... เกรียดความใจอ่อนแลช่างอ่อนแอของตน เกรียดรูปกายที่งามล่มเมือง แต่มิอาจช่วยเหลือแมนแต่ลมหายใจของตนเอง!...เกรียดทุกอย่างที่หลอมรวมมาเป็นตัวตนของบุญญาดานี้เป็นยิ่งนัก!...โลหิตสีขาวไหลปนมากับหยาดน้ำตาที่หลั่งริน....อา...อึกๆๆ...ลมหายใจนางลวยรินมองเห็นหนทางมรณะมาเยือนอย่างสงบ ถึงจักเกรียดผู้กระทำกับตนยิ่งนัก...แต่จิตใจแห่งนางช่างงดงามที่มิได้ผูกใจเจ็บและอาฆาตพยาบาดแต่อย่างใด ดวงจิตอันริบรี่ย่ำเตือนตนเองอย่างผู้มีธรรมในจิตมาชั่วชีวี...หึๆๆจักตายเป็นเยี่ยงนี้เองละหรือ นางหลับดวงเนตลงช้าๆสูดลมหายใจเข้าปอดให้มากที่สุด แต่แล้วพลัน!...ภาพต่างๆนับจากถูกนาคาตนนี้ป้นชิ่งตนมาได้เห็นผู้ใกล้ชิดทั้งทหารองครักแลพี่เลี้ยงทุกตนล้วนเป็นผู้ดีงาม...แต่เพราะอ่อนแอจึงต้องมาตกตายไปดังใบไม้ล่วง...อา...หากได้เกิดใหม่อีกครา ขอพระแม่อุมาเทวีจงมอบพรพิเศษแด่ลูกด้วยเถิดหนาเจ้าค่ะ และพรวิเศษนั้นลูกขอให้ได้ใช้ก่อประโยชน์แด่มวลสัพสัตว์ที่อ่อนแอด้วยเถิดหนา...อึก
“แค๊กๆๆ”โลหิตขุ่นข้นทะลักออกมาอีกครา ในครองจักษุที่ยังสามารถรับรู้ได้ เห็นพระธิดา อาวัสดาหัวเราะต่อกระซิกกับองค์รัชทายาทแห่งโลมจักรวิถีนครา...ด้วยความสุขล้นที่ได้ดูชมการทรมาณน้องร่วมพระบิดาจนตนเองกำลังจักแตกดับไปต่อพระพักตร์นางแล้ว...อา...ข้ายินดีนัก...หากความตายของข้าจักทำให้ท่านพี่มีความสุข...นับว่าข้าบุญญาดาผู้นี้ดับสูญมิเสียเปล่าแล้วหนา....นั่นคือความคิดสุดท้ายของนาง ก่อนที่เสียงอื้ออึงไปด้วยเสียงการต่อสู้ของทหารทั้งจาก โลมจักวิถีนครา แลโกสัมพีนครา จนองค์รัชทายาทที่คิดมาตลอดว่าเผ่าพงค์พันธิ์แห่งพระองค์ยิ่งใหญ่หาใครเทียบได้ถึงกับสีพระพักตร์เปลี่ยน ก็ไหนว่าองค์ชาย13นรกานต์นั้นเป็นเพียงองค์ชายปลายแถวเช่นไรเล่า...แต่ที่พระองค์เห็นหาใช่ไม่ร่างแกรงในชุดเกราะสีทองออกประกายรุ้งช่างดูเด่นท้ามกลางทหารมากมายที่บุกเข้ามายังถ้ำนาระกานต์อันเป็นพื้นที่ลับของพระองค์วิณฑูญราชที่มิคาดว่าจักมีผู้ค้นพบได้เร็วพลันในเพลาอันชั่ว2ก้านทูบเพียงเท่านั้น
”องค์วิณฑูญราช โปรดส่งคืนว่าที่พระชายาของเกล้ากระหม่อมมาเจ้าข้า” แม้วิธีการดำรัสจักเป็นไปอย่างให้เกียติ แต่วิณฑูญราชหาได้รับรู้สึกถึงพระเกียตินั้นหรือก็หาไม่!...แต่จักด้วยอัตตาตนกูของกูยึดมั่นในพระบรมีของพระองค์เองที่ถูกกล่อมเกลามามิให้ยอมก้มพระเศียรให้ผู้ใดง่ายๆแมนแต่พระอาจารย์ส่วนพระองค์ยังมิเคยได้รับเกียตินั้นมาก่อนองค์วิณฑูญราชจึงเชิดพระพักตร์หน้าตั้งหลังตรงแล้วจึงใช้เท้าจะเรียกว่าเขี่ยร่างที่ไร้แล้วซึ่งวิญญาณออกไปตรงพระพักตร์องค์ชาย13อย่างนิ่งสงบมิมีความสำนึกสักนิดกับการปลิดชีพพระธิดาที่พระองค์มองอย่างหยามเยียดว่านางช่างไร้ค่าสิ้นดี!...แต่ช่างตรงกันข้ามกับว่าที่พระสวามีที่มาด่วนเสียว่าที่พระชายาโดยมิทันได้ล่ำลากันแมนเพียงแต่คำเดียว...มือหนาหยาบกระด้างเช่นผู้เช่นศึกสั่นน้อยๆยามคุกเข่าช้อนร่างน้อยที่ยับเยินมาไว้แบบพระอุระอย่างแสนถนุถนอมยิ่งกว่าดวงแก้วมณีอันเลอค่า
“ใยมิรอพี่...” สำหรับผู้อื่นเขามิอาจรู้ได้ว่านางมีค่าเพียงใด...แต่สำหรับพระองค์นางเปลียบดังดวงหฤทัย!...ตั้งแต่โตเป็นบุรุษเต็มวัย นางเดียวในดวงหทัยคือแม่น้องนางร่างน้อยผู้นี้เพียงเท่านั้น...หากแม้นผิดไปจากนางพระองค์ก็มิต้องการผู้ใดมาร่วมเรียงเคียงเขนยไม่...# ดับลงแล้วดวงแก้วมณีประจำชีวีของพี่เอย...ดังฟ้าดับตะวันละทิ้งหมู่มวนสัพสัตว์ทั้งหลาย...จากนี้พี่จักอยู่อย่างไรกันเล่าเจ้าเอ๊ยเมื่อขาดแล้วซึ่งดวงแก้วประจำกายหทัยดวงนี้...จากไปไกลณ.หนใดเล่าเจ้าเอ๊ย?...ต่อให้สุดสวรรค์ชั้นฟ้า หรือต้องบุกฝ่าดงไฟในนรกภูมิพี่กานต์นี้จักตามหาแม่ยอดยาจิตคืนกลับมามิช้าเอย...#
“ตราบดินสินน้ำ พี่จักตามหานะยอดรัก” ถึงมิมีน้ำพระเนตรให้ได้อับอายเกียติแห่งบุรุษชาตินักรบ...แต่ดวงเนตรนั้นแดงจัดอย่างมิเคยเป็นฝีพระโอสหนาแตะลงบนหน้าผากเล็กมนดังให้คำมั่น ว่าทุกว่าจาที่เอ่ยออกมาจักเป็นจริงตามนั้น...สุดท้ายพระองค์ยื้นพระหัสข้างซ้ายออกมาช้าๆแล้วแบออก ก็พลัน!...ปรากฏดอกบัวตูมที่ยังมิทันแย้มบานลอยขึ้นมาจากใจกลางฝ่ามือหนา เดิมทีบัวดอกนี้จักแย้มบานเมื่อวันรับพระน้องนางเป็นชายาเอกร่วมเขนย...แต่ก็มิทัน...เจ้าของโดยชอบธรรมที่พระองค์เก็บรักษาเอาไว้เป็นเองดี...ก็เพื่อนางบุญญาดา บัดนี้นางจากไป...พระองค์ก็ยังมีจิตใจแน่วแน่ที่จะมอบเพียงหนึ่งน้องนางเดียว...
”มิว่าเจ้าจักไปเกิดถือกำเนิดณ.ที่ใด บัวคู่ชีวีของสองเราจักนำพาให้เราทั้ง2ได้กลับมาครองคู่เคียงเขนยไปทุกภพทุกชาติไปบุญญาดาของพี่กานต์เอ๊ย” ฝ่ามือหนาทาบดอกบัวสีทองลงตรงตำแหน่งหัวใจของร่างไร้วิญญาณ ...ช่างหน้าเหลือเชื่อเมื่อบัวดอกนั้นค่อยๆซึมผ่านผิวกายอันบอบช้ำช้าๆสุดท้ายเมื่อดอกบัวจมหายไปในทรงอกสาวน้อยก็บังเกิดแสงสีขาวนวลอมทองพุ่งทยานขึ้นไปสู้เบื่องบนทันทีก่อนที่ร่างดรุณีน้อยจะค่อยๆคืนร่างเป็นนาคีน้อยที่มีเกล็ดสีขาวพิสุทธิ์...แม้นอยากบดขยี้เจ้านาคาจอมร้ายกาจเพียงใด...แต่ด้วยพันธสัญญาที่ทำร่วมกันของสามมหานครมันคุ้มกันกะลาเศียรเจ้านาคดำผู้หยิ่งผยองผู้นั้นเอาไว้จนสุดที่พระองค์จักกระทำการใดได้ไม่ จำต้องก้ำกลืนฝืนทนจุกไฟแค้นให้มันค่อยๆสงบลงไปเองแล การจากมันผู้นั้นไปเสีย...คือทางออกที่ดีที่สุดแล้วรอก่อนเถิด...สักวัน...สักวันพระองค์จักเด็ดเศียรมันมาบรรณาการณ์แต่สุสานของพระชายาพระองค์ให้จงได้!!!....
เพี๊ยะ!
เสียงฝ่ามือหนาหนักของผู้เป็นใหญ่เป็นประมุกครองเมืองในมหานครขนาดกลางโลมจักวิถีนคราบาดาลแห่งทิศหรดี…
”การในครั้งนี้เจ้าคิดได้เยี่ยงไรกันจึงคิดก่อเรื่องมิไว้หน้าบิดาเช่นข้ากันฤา...วิณฑูญราชบุตรข้า!”
ร่างสีดำมะเลื่อมที่ถูกปกปิดใบหน้าด้วยเสัอคลุมสีดำสนิทปิดจนมิดแม้นพระเนตรให้ดูลึกลับแลช่างหน้าเกรงขามเป็นนิ่วนักยามพระโอษฐ์ในเงามืดตวาดก้องจนค้างคาวในถ้ำพากันแตกตื่นบินแตกกระเจิดกระเจิงออกไปนอกถ้ำดังกร่าวกันวุ่นวาย...
”เจ้าเป็นองค์รัชทายาทแห่งโลมจักวิถีนครานะ...วิณฑูญราช เป็นผู้สืบเชื้อสายสันติวงค์ต่อจากข้า แต่เจ้า!!!...มัน...ช่างเถอะ...เอาเถิด...เรานะยังมีถ้อยต้องเอ่ยความกันอีกมากมายนัก...ข้าเสร็จกิจตรงนี้แลรอให้เสด็จกลับถึงหอหลวงก่อนเถิด...ข้าจักชำระความกับเจ้าให้หนักทีเดียว”
แมนเสียงจักค่อยๆเบาลงด้วยตอนนี้ทั้ง3แคว้นใหญ่มารวมอยู่ณ.ที่แห่งนี้อย่างพร้อมหน้าหากดำรัสอะไรออกไปพระองค์เกรงถึงความสัมพันอันดีต่อกันมานับอาสงไขต้องมามีอันแตกแยกเพียงเพราะร้ำผึ้งหยดเดียว...ต้องพยายามรักษาใมตรีนี้ให้ยั่งยืนยาวต่อไปให้จงได้…ร่างกายใหญ่โตตามเผ่าพันธิ์ย่อมกายลงคุกเข่าข้างหนึ่งเอาไว้อีกมือจับทวนด้ามใหญ่ค้ำกายเอาไว้
“ข้าพเจ้าองค์อหิงสารัสถะแห่งเมืองโลมจักวิถีนคราต้องขอขมานอบรับโทษฑัณอันยิ่งใหญ่ในการนี้เอาไว้เองทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียวเถิดพระสหายทั้งสอง ด้วยข้าพเจ้าเป็นบิดาที่หาใช้ได้ไม่...ปล่อยประละเลยในการอบรมณ์ บุตรชายให้ดีได้ จนทำให้เกิดเหตุการเลวร้ายยิ่งในครานี้ จึงขอน้อมรับความผิดนี้ที่ต้องเกิดเหตุร้ายของทั้ง2พระนครขึ้นจนหาสิ่งใดมาทดแทนได้ไม่เจ้าข้า…”เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้...จักให้สองประมุกอีกสองพระนครเอาความให้เป็นเรื่องราวบานปลายใหญ่โต...ก็อาจเกิดศึกคงครามเสียเปล่าๆ...เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาทั้งสามนครนี้แค่ต้องระวังศัตรูตัวฉกาจเช่นมหานครอนิลทิตาที่มีประมุกชอบล่าอาณานิคม โปรดการศึกเป็นยิ่งนัก ตั้งแต่ขึ้นครองราชสมบัติก็ยกทัพไปตีเมืองต่างๆทางทิศอาคเนย์จนราบเป็นหน้ากลองมาแล้ว จักยักคงมีเพียงพันธมิตรทั้งสามมหานครนี้เท่านั้นที่ยังมิถูกรุกรานมาก่อน...แตหากมีข่าวว่าสามเมืองแตกคอกันเองเมื่อนั้นองค์จักพัตร์แห่งอนิลทิตา พระสุเรนทร์ญหา ก็ต้องฉวยโอกาสเข้าโจมตีนครใดนครหนึ่งแลลามเลยจนหมดทั้งสามมหานครเป็นแม่นมั่น...สูญเสียเพียงหนึ่งพระธิดาองค์เดียวย่อมดีกว่าเสียมหานครไปทั้งเมืองเป็นแน่แท้... “เอาเถิด...อาจเป็นการกระทำไปโดยมิมีเจตนาก็ได้นะท่าน...เราจักมิเอาโทษองค์ชายแต่อย่างใด...แต่ส่วนท่านจักไปอบรมณ์รัชทายาทของท่านอันนี้ก็สุดแล้วแต่พระองค์เถิด...” องค์ราชาแห่งโกสัมภีนคราผู้สูญสิ้นธิดาไปกร่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง ฝ่ายราชาวิสุธิ์ราชแห่งมหานคราคันธะมาส นั่นนับว่ามิได้แลมิเสีย เพราะหากได้ผูกสัมพันธิ์โดยการรับพระธิดาแห่งโกสัมภีนคราย่อมเป็นผลดีในการกระชับสัมพันธิ์ใมตรีไปในตัว แต่หากคลาสแคล้วจากธิดาองค์นี้ โกสัมภีนครายังมีพระธิดาอีกนับร้อย...จึงมิใช่ปัญหากระทบกับพระนคราตนอยู่แล้ว...
ยังมีใครชอบพีเรียดบ้างนะคะ?
“ฮึๆๆ อย่าได้เกรงไปแม่หญิงบุญญาดาว่าที่พี่สะใภ้แห่งข้า” เสียงจากชายผู้มีร่างกายใหญ่โตในตามีสีแดงดั่งเปลวเพลิงแม้แต่เส้นพระเกศาก็มิต่างกัน ลำตัวเป็นสีดำทมึนแม้นแต่ฝีพระโอสยังดำจนเป็นมันวาว!!!
นี่นะฤาที่กร่าวกับนางว่ามิให้เกรงกลัวเขา บุญญาดา ถึงจะไม่ฉลาดนักแต่ย่อมรู้ เขานั้นแหละน่ากลัวยิ่งแล้ว
ร่างน้อยในชุดสีขาวบริสุทธิ์ถึงกับสั่นไปทั่วร่างน้อยดังลูกนกที่ตกจากรังมาเจอหมาป่าจอมเกเรและแสนหิวโซ
“ได้โปรดปล่อยข้าพเจ้าไปเถิด เราหาเคยมีบาดหมางซึ่งน้ำใจแลเรื่องแค้นเคืองกันไม่ อีกมิกี่เพลาจักถึงฤกษางามยามดีอันเป็นมิ่งมงคลที่ตนข้าพเจ้านี้ต้องถวายตนแด่องค์ชาย13แล้วหนาเจ้าข้า” กร่าวจบก็ให้ก้มกราบวิงวอนขอความเมตตาให้นาคาผู้เป็นใหญ่แห่งตระกูลนาคาสีดำที่ใครๆต่างก็คลั่นคร้ามมิอยากยุ่งเกี่ยวหรือต่อกรด้วย!...
”ฮ่ะๆๆๆช่างน่าสมเพชนัก นี่นะหรือว่าที่พระชายาแห่งองค์ชาย13 ช่างไร้ศักดิ์ศรีเสียนี่กระไร ถึงขนาดหมอบกราบ สัตตรูเพื่อร้องขอชีวี !ทุเรจ...หามีสิ่งใดเทียบเคียงพระน้องนางข้าไม่ เจ้ามันนาคีชั้นต่ำ!”กราวจบก็ใช้เท้าเหยียบลงไปกึ่งศรีษะกึ่งใบหน้างามอ่อนหวานที่บัดนี้ทั้งมอมแมมแลแตกยับจนแทบมองหาความงามล่มเมื่องที่เคยมีมิพบเจอฝีพระโอสน้อยๆบางๆบัดนี้บวมเจ่อแตกยับมีแต่ควาบเลือดสีขาวไหลเปอะเปื้อนไปทั้งร่างดังยางไม้จากเถาวัลบางชนิด อา...เธอกำลังจะตาย นาคีน้อยบุญญาดาโอดควญในใจเบาๆ ท่านแม่ พระบิดา ชาตินี้ลูกคงบุญน้อย จึงมิทันตอบแทนคุณ ก็จักเอาชีวีมาทิ้งเสียที่ถ้ำเถือนร้างแห่งนี้เสียแล้ว ลาก่อนพี่กุนจา ลาก่อน พระคู่หมั้น ที่มิเคยได้พบสบพระพักต์กันมาก่อนเลย... ใบหน้าไต้ฝ่าเท้าอันใหญ่โตแข็งแกร่งของท่าน องค์รัชทายาท วิณฑูญยะราช เจ้า นั้นบดขยี้ใบหน้าแม่หญิงน้อยดังกำลังบดบี้ขยี้แมลงที่น่ารังเกียจ ผิดวิสัยแห่งเอกบุรุษที่ดีมิพึงกระทำต่ออิสตรี ต่อให้เป็นในยามศึกคงครามก็ตาม
“รู้เอาไว้ว่าเจ้ามันต่ำชั้นใยจึงกล้าเผยอหน้าไปแข่งบรมีแห่ง เกตุมวดีพระน้องนางแห่งข้า!”
ครานี้หามีเสียงวอนขอชีวีอีกไม่ เพราะพระธิดาน้อยแห่งนครโกสัมพีนครบาดาลนั่นแทบมิมีแม้นแรงจักหายใจด้วยตั้งแต่อาสมที่ตนแลเหล่าบรรดาทหารแลพี่เลี้ยงต้องออกบวชเพื่อถือพรหมจรรย์เป็นเวลา4วันพระเพื่อเตรียมถวายตัวตามโบราญราชประเภณีแห่งชาวนาคาทั้งหลาย นี่ก็ล่วงเข้ายาม2แล้วที่แม่นางน้อยถูกทุบตีแลให้อดอาหารต้องทนทรมาณจักตายก็มิให้ตายทุบตีซ้อมนางจนสลบก็แก้ไขให้ฟื้นแล้วทำทุกวิถีทางให้สาวน้อยทรมาณจวนเจียนจักขาดใจ แต่สิ่งหนึ่งที่บุญญาดายังยินดีคือนาคาเกเรผู้นี้มิคิดจักกระทำการอันเสื่อมเกียติแห่งอิสตรีด้วยการข่มเหงน้ำใจหญิงเพียงเท่านั้น ถึงนางจักเกิดแต่มารดาผู้เป็นพระสมนต่ำศักดิ์ แต่นี่คือเกียติที่มารดาเฝ้าสอนสั่งเธอมาตั้งแต่เริ่มจำความได้ เธออาจงดงามเกินพระธิดาองค์ต่างๆของเสด็จพ่อ แต่ นางนั้นมิใช่หญิงที่ฉลาดปราดเปรื่องออกจะโง่เขลากว่าพี่น้องเสียด้วยซ้ำนางกระทำการใดมิเป็นนอกจากปักผ้าแลกรองมาลัย จึงมิอยากเลยที่จะถูกจับตัวมาทรมาณเฉกเช่นนี้...
ตุ๊บ!...เท้าหนากระทืบจนหนำใจยังมิวายเตะเข้าไปที่ร่างน้อยจนเธอตัวงอกระอักกระไอออกมาเป็นเลือดสดๆสีขาวขุ่นข้นอีกกองใหญ่ หะ...โหด...ร้าย...นัก...นาคาผู้นี้!!!...เกรียด! นางเกรียดนาคาตนนี้...เกรียดพี่สาวต่างมารดาผู้ยืนมองด้วยรอยยิ้มสาสมใจ อาวัสดา ธิดาผู้เกิดแต่พระยาชาเอกของเสด็จพ่อ!...แลสุดท้ายแล้วนาง เกรียดตนเอง!...เกรียดความโง่เขลาเบาปัญญาของตน! ... เกรียดความใจอ่อนแลช่างอ่อนแอของตน เกรียดรูปกายที่งามล่มเมือง แต่มิอาจช่วยเหลือแมนแต่ลมหายใจของตนเอง!...เกรียดทุกอย่างที่หลอมรวมมาเป็นตัวตนของบุญญาดานี้เป็นยิ่งนัก!...โลหิตสีขาวไหลปนมากับหยาดน้ำตาที่หลั่งริน....อา...อึกๆๆ...ลมหายใจนางลวยรินมองเห็นหนทางมรณะมาเยือนอย่างสงบ ถึงจักเกรียดผู้กระทำกับตนยิ่งนัก...แต่จิตใจแห่งนางช่างงดงามที่มิได้ผูกใจเจ็บและอาฆาตพยาบาดแต่อย่างใด ดวงจิตอันริบรี่ย่ำเตือนตนเองอย่างผู้มีธรรมในจิตมาชั่วชีวี...หึๆๆจักตายเป็นเยี่ยงนี้เองละหรือ นางหลับดวงเนตลงช้าๆสูดลมหายใจเข้าปอดให้มากที่สุด แต่แล้วพลัน!...ภาพต่างๆนับจากถูกนาคาตนนี้ป้นชิ่งตนมาได้เห็นผู้ใกล้ชิดทั้งทหารองครักแลพี่เลี้ยงทุกตนล้วนเป็นผู้ดีงาม...แต่เพราะอ่อนแอจึงต้องมาตกตายไปดังใบไม้ล่วง...อา...หากได้เกิดใหม่อีกครา ขอพระแม่อุมาเทวีจงมอบพรพิเศษแด่ลูกด้วยเถิดหนาเจ้าค่ะ และพรวิเศษนั้นลูกขอให้ได้ใช้ก่อประโยชน์แด่มวลสัพสัตว์ที่อ่อนแอด้วยเถิดหนา...อึก
“แค๊กๆๆ”โลหิตขุ่นข้นทะลักออกมาอีกครา ในครองจักษุที่ยังสามารถรับรู้ได้ เห็นพระธิดา อาวัสดาหัวเราะต่อกระซิกกับองค์รัชทายาทแห่งโลมจักรวิถีนครา...ด้วยความสุขล้นที่ได้ดูชมการทรมาณน้องร่วมพระบิดาจนตนเองกำลังจักแตกดับไปต่อพระพักตร์นางแล้ว...อา...ข้ายินดีนัก...หากความตายของข้าจักทำให้ท่านพี่มีความสุข...นับว่าข้าบุญญาดาผู้นี้ดับสูญมิเสียเปล่าแล้วหนา....นั่นคือความคิดสุดท้ายของนาง ก่อนที่เสียงอื้ออึงไปด้วยเสียงการต่อสู้ของทหารทั้งจาก โลมจักวิถีนครา แลโกสัมพีนครา จนองค์รัชทายาทที่คิดมาตลอดว่าเผ่าพงค์พันธิ์แห่งพระองค์ยิ่งใหญ่หาใครเทียบได้ถึงกับสีพระพักตร์เปลี่ยน ก็ไหนว่าองค์ชาย13นรกานต์นั้นเป็นเพียงองค์ชายปลายแถวเช่นไรเล่า...แต่ที่พระองค์เห็นหาใช่ไม่ร่างแกรงในชุดเกราะสีทองออกประกายรุ้งช่างดูเด่นท้ามกลางทหารมากมายที่บุกเข้ามายังถ้ำนาระกานต์อันเป็นพื้นที่ลับของพระองค์วิณฑูญราชที่มิคาดว่าจักมีผู้ค้นพบได้เร็วพลันในเพลาอันชั่ว2ก้านทูบเพียงเท่านั้น
”องค์วิณฑูญราช โปรดส่งคืนว่าที่พระชายาของเกล้ากระหม่อมมาเจ้าข้า” แม้วิธีการดำรัสจักเป็นไปอย่างให้เกียติ แต่วิณฑูญราชหาได้รับรู้สึกถึงพระเกียตินั้นหรือก็หาไม่!...แต่จักด้วยอัตตาตนกูของกูยึดมั่นในพระบรมีของพระองค์เองที่ถูกกล่อมเกลามามิให้ยอมก้มพระเศียรให้ผู้ใดง่ายๆแมนแต่พระอาจารย์ส่วนพระองค์ยังมิเคยได้รับเกียตินั้นมาก่อนองค์วิณฑูญราชจึงเชิดพระพักตร์หน้าตั้งหลังตรงแล้วจึงใช้เท้าจะเรียกว่าเขี่ยร่างที่ไร้แล้วซึ่งวิญญาณออกไปตรงพระพักตร์องค์ชาย13อย่างนิ่งสงบมิมีความสำนึกสักนิดกับการปลิดชีพพระธิดาที่พระองค์มองอย่างหยามเยียดว่านางช่างไร้ค่าสิ้นดี!...แต่ช่างตรงกันข้ามกับว่าที่พระสวามีที่มาด่วนเสียว่าที่พระชายาโดยมิทันได้ล่ำลากันแมนเพียงแต่คำเดียว...มือหนาหยาบกระด้างเช่นผู้เช่นศึกสั่นน้อยๆยามคุกเข่าช้อนร่างน้อยที่ยับเยินมาไว้แบบพระอุระอย่างแสนถนุถนอมยิ่งกว่าดวงแก้วมณีอันเลอค่า
“ใยมิรอพี่...” สำหรับผู้อื่นเขามิอาจรู้ได้ว่านางมีค่าเพียงใด...แต่สำหรับพระองค์นางเปลียบดังดวงหฤทัย!...ตั้งแต่โตเป็นบุรุษเต็มวัย นางเดียวในดวงหทัยคือแม่น้องนางร่างน้อยผู้นี้เพียงเท่านั้น...หากแม้นผิดไปจากนางพระองค์ก็มิต้องการผู้ใดมาร่วมเรียงเคียงเขนยไม่...# ดับลงแล้วดวงแก้วมณีประจำชีวีของพี่เอย...ดังฟ้าดับตะวันละทิ้งหมู่มวนสัพสัตว์ทั้งหลาย...จากนี้พี่จักอยู่อย่างไรกันเล่าเจ้าเอ๊ยเมื่อขาดแล้วซึ่งดวงแก้วประจำกายหทัยดวงนี้...จากไปไกลณ.หนใดเล่าเจ้าเอ๊ย?...ต่อให้สุดสวรรค์ชั้นฟ้า หรือต้องบุกฝ่าดงไฟในนรกภูมิพี่กานต์นี้จักตามหาแม่ยอดยาจิตคืนกลับมามิช้าเอย...#
“ตราบดินสินน้ำ พี่จักตามหานะยอดรัก” ถึงมิมีน้ำพระเนตรให้ได้อับอายเกียติแห่งบุรุษชาตินักรบ...แต่ดวงเนตรนั้นแดงจัดอย่างมิเคยเป็นฝีพระโอสหนาแตะลงบนหน้าผากเล็กมนดังให้คำมั่น ว่าทุกว่าจาที่เอ่ยออกมาจักเป็นจริงตามนั้น...สุดท้ายพระองค์ยื้นพระหัสข้างซ้ายออกมาช้าๆแล้วแบออก ก็พลัน!...ปรากฏดอกบัวตูมที่ยังมิทันแย้มบานลอยขึ้นมาจากใจกลางฝ่ามือหนา เดิมทีบัวดอกนี้จักแย้มบานเมื่อวันรับพระน้องนางเป็นชายาเอกร่วมเขนย...แต่ก็มิทัน...เจ้าของโดยชอบธรรมที่พระองค์เก็บรักษาเอาไว้เป็นเองดี...ก็เพื่อนางบุญญาดา บัดนี้นางจากไป...พระองค์ก็ยังมีจิตใจแน่วแน่ที่จะมอบเพียงหนึ่งน้องนางเดียว...
”มิว่าเจ้าจักไปเกิดถือกำเนิดณ.ที่ใด บัวคู่ชีวีของสองเราจักนำพาให้เราทั้ง2ได้กลับมาครองคู่เคียงเขนยไปทุกภพทุกชาติไปบุญญาดาของพี่กานต์เอ๊ย” ฝ่ามือหนาทาบดอกบัวสีทองลงตรงตำแหน่งหัวใจของร่างไร้วิญญาณ ...ช่างหน้าเหลือเชื่อเมื่อบัวดอกนั้นค่อยๆซึมผ่านผิวกายอันบอบช้ำช้าๆสุดท้ายเมื่อดอกบัวจมหายไปในทรงอกสาวน้อยก็บังเกิดแสงสีขาวนวลอมทองพุ่งทยานขึ้นไปสู้เบื่องบนทันทีก่อนที่ร่างดรุณีน้อยจะค่อยๆคืนร่างเป็นนาคีน้อยที่มีเกล็ดสีขาวพิสุทธิ์...แม้นอยากบดขยี้เจ้านาคาจอมร้ายกาจเพียงใด...แต่ด้วยพันธสัญญาที่ทำร่วมกันของสามมหานครมันคุ้มกันกะลาเศียรเจ้านาคดำผู้หยิ่งผยองผู้นั้นเอาไว้จนสุดที่พระองค์จักกระทำการใดได้ไม่ จำต้องก้ำกลืนฝืนทนจุกไฟแค้นให้มันค่อยๆสงบลงไปเองแล การจากมันผู้นั้นไปเสีย...คือทางออกที่ดีที่สุดแล้วรอก่อนเถิด...สักวัน...สักวันพระองค์จักเด็ดเศียรมันมาบรรณาการณ์แต่สุสานของพระชายาพระองค์ให้จงได้!!!....
เพี๊ยะ!
เสียงฝ่ามือหนาหนักของผู้เป็นใหญ่เป็นประมุกครองเมืองในมหานครขนาดกลางโลมจักวิถีนคราบาดาลแห่งทิศหรดี…
”การในครั้งนี้เจ้าคิดได้เยี่ยงไรกันจึงคิดก่อเรื่องมิไว้หน้าบิดาเช่นข้ากันฤา...วิณฑูญราชบุตรข้า!”
ร่างสีดำมะเลื่อมที่ถูกปกปิดใบหน้าด้วยเสัอคลุมสีดำสนิทปิดจนมิดแม้นพระเนตรให้ดูลึกลับแลช่างหน้าเกรงขามเป็นนิ่วนักยามพระโอษฐ์ในเงามืดตวาดก้องจนค้างคาวในถ้ำพากันแตกตื่นบินแตกกระเจิดกระเจิงออกไปนอกถ้ำดังกร่าวกันวุ่นวาย...
”เจ้าเป็นองค์รัชทายาทแห่งโลมจักวิถีนครานะ...วิณฑูญราช เป็นผู้สืบเชื้อสายสันติวงค์ต่อจากข้า แต่เจ้า!!!...มัน...ช่างเถอะ...เอาเถิด...เรานะยังมีถ้อยต้องเอ่ยความกันอีกมากมายนัก...ข้าเสร็จกิจตรงนี้แลรอให้เสด็จกลับถึงหอหลวงก่อนเถิด...ข้าจักชำระความกับเจ้าให้หนักทีเดียว”
แมนเสียงจักค่อยๆเบาลงด้วยตอนนี้ทั้ง3แคว้นใหญ่มารวมอยู่ณ.ที่แห่งนี้อย่างพร้อมหน้าหากดำรัสอะไรออกไปพระองค์เกรงถึงความสัมพันอันดีต่อกันมานับอาสงไขต้องมามีอันแตกแยกเพียงเพราะร้ำผึ้งหยดเดียว...ต้องพยายามรักษาใมตรีนี้ให้ยั่งยืนยาวต่อไปให้จงได้…ร่างกายใหญ่โตตามเผ่าพันธิ์ย่อมกายลงคุกเข่าข้างหนึ่งเอาไว้อีกมือจับทวนด้ามใหญ่ค้ำกายเอาไว้
“ข้าพเจ้าองค์อหิงสารัสถะแห่งเมืองโลมจักวิถีนคราต้องขอขมานอบรับโทษฑัณอันยิ่งใหญ่ในการนี้เอาไว้เองทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียวเถิดพระสหายทั้งสอง ด้วยข้าพเจ้าเป็นบิดาที่หาใช้ได้ไม่...ปล่อยประละเลยในการอบรมณ์ บุตรชายให้ดีได้ จนทำให้เกิดเหตุการเลวร้ายยิ่งในครานี้ จึงขอน้อมรับความผิดนี้ที่ต้องเกิดเหตุร้ายของทั้ง2พระนครขึ้นจนหาสิ่งใดมาทดแทนได้ไม่เจ้าข้า…”เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้...จักให้สองประมุกอีกสองพระนครเอาความให้เป็นเรื่องราวบานปลายใหญ่โต...ก็อาจเกิดศึกคงครามเสียเปล่าๆ...เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาทั้งสามนครนี้แค่ต้องระวังศัตรูตัวฉกาจเช่นมหานครอนิลทิตาที่มีประมุกชอบล่าอาณานิคม โปรดการศึกเป็นยิ่งนัก ตั้งแต่ขึ้นครองราชสมบัติก็ยกทัพไปตีเมืองต่างๆทางทิศอาคเนย์จนราบเป็นหน้ากลองมาแล้ว จักยักคงมีเพียงพันธมิตรทั้งสามมหานครนี้เท่านั้นที่ยังมิถูกรุกรานมาก่อน...แตหากมีข่าวว่าสามเมืองแตกคอกันเองเมื่อนั้นองค์จักพัตร์แห่งอนิลทิตา พระสุเรนทร์ญหา ก็ต้องฉวยโอกาสเข้าโจมตีนครใดนครหนึ่งแลลามเลยจนหมดทั้งสามมหานครเป็นแม่นมั่น...สูญเสียเพียงหนึ่งพระธิดาองค์เดียวย่อมดีกว่าเสียมหานครไปทั้งเมืองเป็นแน่แท้... “เอาเถิด...อาจเป็นการกระทำไปโดยมิมีเจตนาก็ได้นะท่าน...เราจักมิเอาโทษองค์ชายแต่อย่างใด...แต่ส่วนท่านจักไปอบรมณ์รัชทายาทของท่านอันนี้ก็สุดแล้วแต่พระองค์เถิด...” องค์ราชาแห่งโกสัมภีนคราผู้สูญสิ้นธิดาไปกร่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง ฝ่ายราชาวิสุธิ์ราชแห่งมหานคราคันธะมาส นั่นนับว่ามิได้แลมิเสีย เพราะหากได้ผูกสัมพันธิ์โดยการรับพระธิดาแห่งโกสัมภีนคราย่อมเป็นผลดีในการกระชับสัมพันธิ์ใมตรีไปในตัว แต่หากคลาสแคล้วจากธิดาองค์นี้ โกสัมภีนครายังมีพระธิดาอีกนับร้อย...จึงมิใช่ปัญหากระทบกับพระนคราตนอยู่แล้ว...