“ลูก” คือ แก้วตาดวงใจ...
พ่อแม่ส่วนใหญ่จึงมักเลี้ยงดู และสรรหาสารพัดอาหารที่คิดว่าดีให้กับลูก เพื่อหวังให้โตเป็นเด็กฉลาด มีพัฒนาการทางร่างกายที่สมบูรณ์ ในยุคนี้จะเห็นได้ว่าเด็กๆโตเร็วจนผิดปกติ ซึ่งพ่อแม่ต้อง “ใส่ใจ” ยิ่งถ้าวันใดลูกสาวอายุไม่ถึง 8 ขวบ เริ่มมี “ทรวดทรง นมแตกพาน ประจำเดือน” ยิ่งต้องใส่ใจมากขึ้น เพราะเด็กอาจเป็น “โรคเป็นสาวก่อนวัย” หรือ “โตเกินวัย” ถือเป็นภัยที่ไม่ควรมองข้าม
ข้อมูลทางวิชาการจากโรงพยาบาลหลายแห่ง ระบุว่า “โรคเป็นสาวก่อนวัย”(Precocious puberty) คือ การที่เด็กหญิงหรือเด็กชายมีพัฒนาการทางเพศก่อนวัยอันสมควร คือ เด็กหญิงมีพัฒนาการของ “เต้านม” ก่อนอายุ 8 ขวบ มีประจำเดือน “ครั้งแรก” ก่อนอายุ 9 ขวบ จากปกติจะเริ่มเป็นสาวเมื่ออายุ 8-13 ปี ส่วนในเด็กชายจะมีพัฒนาการก่อนอายุ 9 ขวบ แต่มีจำนวนไม่มากนัก
ผลกระทบ “ด้านร่างกาย” จากการเด็กโตก่อนวัย โดยเฉพาะกลุ่มเด็กหญิง คือ เด็กจะสูงกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน แต่โตเป็นผู้ใหญ่ที่ “เตี้ยกว่าปกติ” เพราะ “ฮอร์โมนเพศหญิง” ทำให้โตเร็วในวัยเด็ก ระยะเวลาของการเจริญเติบโตจึงสั้นกว่าคนทั่วไป...“ด้านจิตใจ” เนื่องจากเด็กที่เป็นสาวก่อนวัยจะมีร่างกายเหมือนเด็กสาววัยรุ่น แต่ “วุฒิภาวะ” ยังเป็นเด็ก บางรายจะรู้สึก “อาย” เพราะถูกล้อว่าเต้านมโต บางรายถูกมองว่า “แก่แดด”...อันตรายกว่านั้น คือ “ทรวดทรง องค์เอว” อาจไปเตะตาเพศตรงข้าม จนอาจนำไปสู่การถูกล่วงละเมิดทางเพศทั้ง “จับ จูบ ลูบคลำ ข่มขืน”
“นพ.กฤษดา ศิรามพุช” ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ให้ข้อมูลว่า “สาเหตุ” ที่ทำให้เด็กหญิงโตก่อนวัย คือ มาจาก “นอกและใน” สมองเด็ก…กรณีจาก “ในสมอง” มาจาก “ต่อมใต้สมอง” ซึ่งเปรียบเสมือนโรงงานผลิต “ฮอร์โมนเพศ” ที่ทำให้เด็กโตตามปกติ เปิดเร็ว ผลิตฮอร์โมนเร็ว ทำให้เด็กบางคนโตเร็วกว่าวัย ส่วนกรณี “นอกสมอง” มาจากหลายสาเหตุ ได้แก่...
“อาหาร”…องค์การอาหารและยาของสหรัฐ ระบุว่า อาหารหลายชนิดมีส่วนประกอบที่มี “ฮอร์โมนเพศ” ผสมอยู่ เมื่อเด็กกินเข้าไปมากๆจะ “สะสม” มีผลทำให้เด็ก“โต-แก่กว่าวัย”โดยเฉพาะ “ขนมหวาน น้ำหวาน น้ำอัดลม” เนื่องจากมีส่วนผสมกลุ่ม “น้ำตาล” ซึ่งผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัย “ฮาร์วาร์ด”พบว่าน้ำตาลกลุ่มนี้จะไปรบกวนต่อมใต้สมองให้ผลิตฮอร์โมนเพศเร็วกว่าปกติ โดยน้ำตาลในน้ำหวาน หรือน้ำอัดลมที่ต้องระวัง คือ “คอร์นไซรับ” หรือ “น้ำเชื่อมข้าวโพด”(HFCS) จะมีผลต่อการโตเกินไวมาก ดังนั้นเด็กที่ “ติดหวาน” หรือกินน้ำหวานมากๆ ผู้ปกครองให้กินได้ แต่ต้องกินแบบจำกัด
สาเหตุต่อมาเด็กที่มี “ความอ้วน” ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางการแพทย์เป็นห่วงมาก เพราะเด็กที่โตกว่าวัยเพราะอ้วนจะ “โตแต่ตัว” แต่จิตใจยังยอมรับกับการโตแบบนี้ไม่ได้ เข้าตำรา “ตัวโต แต่หัวใจยังเด็ก”
“ที่กลัวกันว่ากินไก่ทอดจากร้านดังๆ แล้วทำให้เด็กโตเร็ว เพราะไก่เลี้ยงด้วยฮอร์โมนเร่งการเติบโตนั้น ไม่น่ากังวลเพราะฟาร์มไก่เลิกใช้ฮอร์โมนมานานเป็น 10 ปีแล้ว แต่สิ่งที่ต้องระวัง คือ การปรุงไก่เพราะการปรุงแบบที่ทอดใช้น้ำมันมากๆ หรือชุบแป้งหนาๆ จะส่งผลให้เด็กเป็นโรคอ้วนได้” นพ.กฤษดา กล่าว
อีกสาเหตุ คือ “ภาชนะพลาสติก” โดยเฉพาะประเภท “พีวีซี”(PVC) ที่จะมีส่วนประกอบของสารเคมีชื่อ “เอธิลีนไดคลอไรด์”(Ethylene Dichloride หรือ EDC) รวมถึง Bisphenol A หรือ BPA สารประกอบที่ทำให้พลาสติกมีความแข็งและใส ซึ่งมีความเป็นพิษสูง ซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ง่าย เป็นสารก่อ “มะเร็ง” มีผลต่อทารก และทำให้โตเกินวัย เพราะถือเป็น “ตัวป่วนฮอร์โมน”
“สิ่งที่พ่อแม่ต้องระวัง คือ การเลือกเครื่องสำอางที่ใช้กับตัวเด็ก เช่น ขวดนม แชมพู หรือสบู่ ที่ส่วนใหญ่บรรจุอยู่ในภาชนะพลาสติก โดยก่อนเลือกซื้ออุปกรณ์ที่บรรจุในภาชนะพลาสติกให้กับลูก ให้สังเกตฉลากว่ามีคำว่า BPA Free หรือ PVC-free ที่การันตีว่าไม่มีสารพวกนี้ผสมอยู่” นพ.กฤษดา กล่าว
สำหรับการ “รักษา” ข้อมูลทางการแพทย์ส่วนใหญ่ ระบุว่า ต้องเริ่มจากการหาสาเหตุด้วยการตรวจร่างกาย เพื่อประเมินการพัฒนาทางเพศ การเจริญเติบโต พร้อมเอกซเรย์ภาพถ่ายกระดูก วัดระดับฮอร์โมน ขนาดมดลูกและรังไข่ การรักษาอาจแตกต่างกัน บางรายฉีดฮอร์โมน กินยา ผลที่ได้จะทำให้หน้าอกเล็กลง ประจำเดือนหยุดชั่วคราว เมื่อถึงวัยที่เหมาะสมจึงหยุดให้ยา
ส่วนกรณีโตก่อนวัยโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำได้โดยให้ “ยายับยั้ง” ฮอร์โมนเพศไว้ก่อน เพื่อให้อยู่ในระดับปกติ ยาที่ใช้เป็นยาฉีดที่ต้องฉีดทุก 4 สัปดาห์ ระยะเวลาในการฉีดอยู่ระหว่าง 2-8 ปี ยิ่งเด็กเข้าสู่ภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัยเร็วเท่าไร ยิ่งต้องใช้ระยะเวลาการรักษานานกว่า
“ถ้าตรวจไม่พบสาเหตุ แต่มีระดับฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองสูง อาจรักษาโดยใช้ยาฉีดซึ่งเป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ชื่อ GnRH-agonist ฉีดเข้ากล้ามเนื้อเดือนละ 1 ครั้ง ทุกเดือน ฮอร์โมนนี้จะไปยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง โดยต้องฉีดไปจนอายุ 11-14 ปี เมื่อหยุดยาเด็กจะเริ่มเป็นสาวภายใน 3-6 เดือน แต่ยาราคาแพงเข็มละเกือบ 10,000 บาท จึงควรใช้ในกรณีที่จำเป็นจริงๆ” นพ.กฤษดา กล่าว
นพ.กฤษดา กล่าวอีกว่า โรคเด็กโตเกินวัยมีอันตราย มี “มฤตยู...ซ่อนอยู่” เพราะสารที่กระตุ้นให้ร่างกายเด็กผลิตฮอร์โมนเพศเร็วขึ้นจะก่อ “โรคมะเร็ง” เด็กที่โตเร็วกว่าวัยอย่างเด็กผู้หญิงจะเสี่ยงเรื่องมะเร็งเต้านม มะเร็งเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ ส่วนเด็กผู้ชายต้องระวังเรื่องมะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งจะแสดงอาการเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่
“ข้อแนะนำ” คือ 1.พ่อแม่ควรทำให้สังคมไทยเป็น “สังคม...อ่อนหวานลง” จะช่วยให้เด็กห่างไกลจากโรคอ้วนที่เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคโตเกินวัยได้ 2.ระวังเรื่องภาชนะ โดยควรเลือกที่ “ปลอดสาร” ป่วนฮอร์โมน 3.ให้เด็กกินหลากหลาย เช่น ถ้าไม่อยากให้ลูกกินไขมันมากๆก็เลือกกิน “เนื้อสัตว์สีขาว” เช่น เนื้อปลา อกไก่ ไข่ขาว เต้าหู้ และ 4.พยายามให้เด็กกินอาหารธรรมชาติที่สุด อย่ากินอาหารที่ดัดแปลงมากเกินไป ลดแป้งกับน้ำตาล ลดเครื่องดื่มหวานๆ แล้วให้ “กินผัก” มากๆ ตรงนี้ถือเป็นความรักที่แท้จริงจากพ่อแม่
ถ้าลูกไม่อยากกิน “อย่าตามใจ”
ไม่เช่นนั้นจะเข้าตำรา...“พ่อแม่รังแกฉัน”!!!
บทความจาก : แนวหน้าออนไลน์
http://www.naewna.com/scoop/184472
อย่ามองข้าม...‘เด็กโตเกินวัย’ อันตราย‘มฤตยู...ซ่อนอยู่’
“ลูก” คือ แก้วตาดวงใจ...
พ่อแม่ส่วนใหญ่จึงมักเลี้ยงดู และสรรหาสารพัดอาหารที่คิดว่าดีให้กับลูก เพื่อหวังให้โตเป็นเด็กฉลาด มีพัฒนาการทางร่างกายที่สมบูรณ์ ในยุคนี้จะเห็นได้ว่าเด็กๆโตเร็วจนผิดปกติ ซึ่งพ่อแม่ต้อง “ใส่ใจ” ยิ่งถ้าวันใดลูกสาวอายุไม่ถึง 8 ขวบ เริ่มมี “ทรวดทรง นมแตกพาน ประจำเดือน” ยิ่งต้องใส่ใจมากขึ้น เพราะเด็กอาจเป็น “โรคเป็นสาวก่อนวัย” หรือ “โตเกินวัย” ถือเป็นภัยที่ไม่ควรมองข้าม
ข้อมูลทางวิชาการจากโรงพยาบาลหลายแห่ง ระบุว่า “โรคเป็นสาวก่อนวัย”(Precocious puberty) คือ การที่เด็กหญิงหรือเด็กชายมีพัฒนาการทางเพศก่อนวัยอันสมควร คือ เด็กหญิงมีพัฒนาการของ “เต้านม” ก่อนอายุ 8 ขวบ มีประจำเดือน “ครั้งแรก” ก่อนอายุ 9 ขวบ จากปกติจะเริ่มเป็นสาวเมื่ออายุ 8-13 ปี ส่วนในเด็กชายจะมีพัฒนาการก่อนอายุ 9 ขวบ แต่มีจำนวนไม่มากนัก
ผลกระทบ “ด้านร่างกาย” จากการเด็กโตก่อนวัย โดยเฉพาะกลุ่มเด็กหญิง คือ เด็กจะสูงกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน แต่โตเป็นผู้ใหญ่ที่ “เตี้ยกว่าปกติ” เพราะ “ฮอร์โมนเพศหญิง” ทำให้โตเร็วในวัยเด็ก ระยะเวลาของการเจริญเติบโตจึงสั้นกว่าคนทั่วไป...“ด้านจิตใจ” เนื่องจากเด็กที่เป็นสาวก่อนวัยจะมีร่างกายเหมือนเด็กสาววัยรุ่น แต่ “วุฒิภาวะ” ยังเป็นเด็ก บางรายจะรู้สึก “อาย” เพราะถูกล้อว่าเต้านมโต บางรายถูกมองว่า “แก่แดด”...อันตรายกว่านั้น คือ “ทรวดทรง องค์เอว” อาจไปเตะตาเพศตรงข้าม จนอาจนำไปสู่การถูกล่วงละเมิดทางเพศทั้ง “จับ จูบ ลูบคลำ ข่มขืน”
“นพ.กฤษดา ศิรามพุช” ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ให้ข้อมูลว่า “สาเหตุ” ที่ทำให้เด็กหญิงโตก่อนวัย คือ มาจาก “นอกและใน” สมองเด็ก…กรณีจาก “ในสมอง” มาจาก “ต่อมใต้สมอง” ซึ่งเปรียบเสมือนโรงงานผลิต “ฮอร์โมนเพศ” ที่ทำให้เด็กโตตามปกติ เปิดเร็ว ผลิตฮอร์โมนเร็ว ทำให้เด็กบางคนโตเร็วกว่าวัย ส่วนกรณี “นอกสมอง” มาจากหลายสาเหตุ ได้แก่...
“อาหาร”…องค์การอาหารและยาของสหรัฐ ระบุว่า อาหารหลายชนิดมีส่วนประกอบที่มี “ฮอร์โมนเพศ” ผสมอยู่ เมื่อเด็กกินเข้าไปมากๆจะ “สะสม” มีผลทำให้เด็ก“โต-แก่กว่าวัย”โดยเฉพาะ “ขนมหวาน น้ำหวาน น้ำอัดลม” เนื่องจากมีส่วนผสมกลุ่ม “น้ำตาล” ซึ่งผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัย “ฮาร์วาร์ด”พบว่าน้ำตาลกลุ่มนี้จะไปรบกวนต่อมใต้สมองให้ผลิตฮอร์โมนเพศเร็วกว่าปกติ โดยน้ำตาลในน้ำหวาน หรือน้ำอัดลมที่ต้องระวัง คือ “คอร์นไซรับ” หรือ “น้ำเชื่อมข้าวโพด”(HFCS) จะมีผลต่อการโตเกินไวมาก ดังนั้นเด็กที่ “ติดหวาน” หรือกินน้ำหวานมากๆ ผู้ปกครองให้กินได้ แต่ต้องกินแบบจำกัด
สาเหตุต่อมาเด็กที่มี “ความอ้วน” ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางการแพทย์เป็นห่วงมาก เพราะเด็กที่โตกว่าวัยเพราะอ้วนจะ “โตแต่ตัว” แต่จิตใจยังยอมรับกับการโตแบบนี้ไม่ได้ เข้าตำรา “ตัวโต แต่หัวใจยังเด็ก”
“ที่กลัวกันว่ากินไก่ทอดจากร้านดังๆ แล้วทำให้เด็กโตเร็ว เพราะไก่เลี้ยงด้วยฮอร์โมนเร่งการเติบโตนั้น ไม่น่ากังวลเพราะฟาร์มไก่เลิกใช้ฮอร์โมนมานานเป็น 10 ปีแล้ว แต่สิ่งที่ต้องระวัง คือ การปรุงไก่เพราะการปรุงแบบที่ทอดใช้น้ำมันมากๆ หรือชุบแป้งหนาๆ จะส่งผลให้เด็กเป็นโรคอ้วนได้” นพ.กฤษดา กล่าว
อีกสาเหตุ คือ “ภาชนะพลาสติก” โดยเฉพาะประเภท “พีวีซี”(PVC) ที่จะมีส่วนประกอบของสารเคมีชื่อ “เอธิลีนไดคลอไรด์”(Ethylene Dichloride หรือ EDC) รวมถึง Bisphenol A หรือ BPA สารประกอบที่ทำให้พลาสติกมีความแข็งและใส ซึ่งมีความเป็นพิษสูง ซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ง่าย เป็นสารก่อ “มะเร็ง” มีผลต่อทารก และทำให้โตเกินวัย เพราะถือเป็น “ตัวป่วนฮอร์โมน”
“สิ่งที่พ่อแม่ต้องระวัง คือ การเลือกเครื่องสำอางที่ใช้กับตัวเด็ก เช่น ขวดนม แชมพู หรือสบู่ ที่ส่วนใหญ่บรรจุอยู่ในภาชนะพลาสติก โดยก่อนเลือกซื้ออุปกรณ์ที่บรรจุในภาชนะพลาสติกให้กับลูก ให้สังเกตฉลากว่ามีคำว่า BPA Free หรือ PVC-free ที่การันตีว่าไม่มีสารพวกนี้ผสมอยู่” นพ.กฤษดา กล่าว
สำหรับการ “รักษา” ข้อมูลทางการแพทย์ส่วนใหญ่ ระบุว่า ต้องเริ่มจากการหาสาเหตุด้วยการตรวจร่างกาย เพื่อประเมินการพัฒนาทางเพศ การเจริญเติบโต พร้อมเอกซเรย์ภาพถ่ายกระดูก วัดระดับฮอร์โมน ขนาดมดลูกและรังไข่ การรักษาอาจแตกต่างกัน บางรายฉีดฮอร์โมน กินยา ผลที่ได้จะทำให้หน้าอกเล็กลง ประจำเดือนหยุดชั่วคราว เมื่อถึงวัยที่เหมาะสมจึงหยุดให้ยา
ส่วนกรณีโตก่อนวัยโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำได้โดยให้ “ยายับยั้ง” ฮอร์โมนเพศไว้ก่อน เพื่อให้อยู่ในระดับปกติ ยาที่ใช้เป็นยาฉีดที่ต้องฉีดทุก 4 สัปดาห์ ระยะเวลาในการฉีดอยู่ระหว่าง 2-8 ปี ยิ่งเด็กเข้าสู่ภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัยเร็วเท่าไร ยิ่งต้องใช้ระยะเวลาการรักษานานกว่า
“ถ้าตรวจไม่พบสาเหตุ แต่มีระดับฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองสูง อาจรักษาโดยใช้ยาฉีดซึ่งเป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ชื่อ GnRH-agonist ฉีดเข้ากล้ามเนื้อเดือนละ 1 ครั้ง ทุกเดือน ฮอร์โมนนี้จะไปยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง โดยต้องฉีดไปจนอายุ 11-14 ปี เมื่อหยุดยาเด็กจะเริ่มเป็นสาวภายใน 3-6 เดือน แต่ยาราคาแพงเข็มละเกือบ 10,000 บาท จึงควรใช้ในกรณีที่จำเป็นจริงๆ” นพ.กฤษดา กล่าว
นพ.กฤษดา กล่าวอีกว่า โรคเด็กโตเกินวัยมีอันตราย มี “มฤตยู...ซ่อนอยู่” เพราะสารที่กระตุ้นให้ร่างกายเด็กผลิตฮอร์โมนเพศเร็วขึ้นจะก่อ “โรคมะเร็ง” เด็กที่โตเร็วกว่าวัยอย่างเด็กผู้หญิงจะเสี่ยงเรื่องมะเร็งเต้านม มะเร็งเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ ส่วนเด็กผู้ชายต้องระวังเรื่องมะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งจะแสดงอาการเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่
“ข้อแนะนำ” คือ 1.พ่อแม่ควรทำให้สังคมไทยเป็น “สังคม...อ่อนหวานลง” จะช่วยให้เด็กห่างไกลจากโรคอ้วนที่เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคโตเกินวัยได้ 2.ระวังเรื่องภาชนะ โดยควรเลือกที่ “ปลอดสาร” ป่วนฮอร์โมน 3.ให้เด็กกินหลากหลาย เช่น ถ้าไม่อยากให้ลูกกินไขมันมากๆก็เลือกกิน “เนื้อสัตว์สีขาว” เช่น เนื้อปลา อกไก่ ไข่ขาว เต้าหู้ และ 4.พยายามให้เด็กกินอาหารธรรมชาติที่สุด อย่ากินอาหารที่ดัดแปลงมากเกินไป ลดแป้งกับน้ำตาล ลดเครื่องดื่มหวานๆ แล้วให้ “กินผัก” มากๆ ตรงนี้ถือเป็นความรักที่แท้จริงจากพ่อแม่
ถ้าลูกไม่อยากกิน “อย่าตามใจ”
ไม่เช่นนั้นจะเข้าตำรา...“พ่อแม่รังแกฉัน”!!!
บทความจาก : แนวหน้าออนไลน์
http://www.naewna.com/scoop/184472