ยามขัดข้องพระโพธิสัตว์ท่านนึกถึงบุญบารมี : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ



พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

...


พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายตามตำราท่านแสดงไว้
เวลาท่านไปเกิดอุปสรรคความขัดข้องขึ้นในชีวิต
อย่างใดอย่างหนึ่ง ครั้งใดครั้งหนึ่งอย่างนี้
ท่านจะอธิษฐานใจถึงบุญญาบารมีที่ท่านได้สร้างสมอบรมมาเลย  

ท่านไม่ได้อธิษฐานนึกถึงพระอินทร์ พระพรหม พระยมบาล
อะไรต่ออะไรให้มาช่วยเหลือตนน่ะท่านไม่ได้นึกหรอก  
ท่านนึกถึง “บุญบารมี” นู่น  แล้วบุญบารมีนั้น
หากไปเตือนใจพระอินทร์พระพรหมให้มองด้วยทิพยเนตรลงมา

เห็นพระองค์ท่านกำลังได้ประสบอุปสรรคความขัดข้องอย่างนั้นๆ
นั่นแหละพญาอินทร์ถึงจะลงมาช่วย  ให้เข้าใจอย่างนั้น  


คนส่วนมากมันไม่เข้าใจอย่างว่านี่นะ  
พอตนได้ประสบความอุปสรรคขัดข้องภัยพิบัติอะไรมาแล้ว
ไปนึกถึงอินทร์ถึงพรหมนู่นทันทีเลย นึกถึงเทวดา อินทร์ พรหมนู่น  
นั่นแหละแทนที่จะมานึกถึงบุญกุศลความดีที่ตนได้กระทำมา
หรือว่านึกถึงคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์

ที่ตนได้นับถือเลื่อมใสเคารพกราบไหว้บูชาอยู่เรื่อยมาอย่างนี้
....ไม่ ไม่นึกแล้ว  อันนี้ให้พึงพากันรู้ไว้  

นึกอย่างนั้นไม่ถูกทางหรอก พญาอินทร์ก็ไม่รู้นะ  
พญาอินทร์ไม่รู้หรอกนึกเพียงแค่นั้นน่ะ  
ต่อเมื่อพญาอินทร์จะรู้ได้ผู้นั้นมานึกถึงบุญถึงกุศล
ที่ตนได้บำเพ็ญมา  ถ้าบุญกุศลของตนมันมากพอ
มันก็จะไปทำให้แท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของพญาอินทร์นั้น
แข็งกระด้างขึ้นแล้วบัดนั้นพญาอินทร์ก็รู้ได้เลยว่า
เอ๊ะ มันต้องมีเหตุอันหนึ่งในมนุษยโลกนี้

อย่างนี้นะก็เล็งทิพยเนตรลงมา ก็เห็นเลย  
ผู้ใดมีบุญวาสนาซึ่งไปเกี่ยวข้องกับพญาอินทร์แล้ว
พญาอินทร์ก็รู้ได้เลย เป็นอย่างนั้น เมื่อพญาอินทร์รู้ได้อย่างนั้นแล้ว
พญาอินทร์ก็ลงมาช่วย  

อันนี้นับว่าเป็นสิ่งที่บุคคลมองเห็นได้ยาก
แต่ที่นำมาพูดนี่ก็เพราะเหตุว่าคนทั้งหลายนั้นมักจะมีสติฟั่นเฟือน
หลงละเมอนึกถึงแต่เทวดาอินทร์พรหมเมื่อเวลาได้ประสบภัยพิบัติต่างๆมา
เหตุนั้นจึงได้ยกเอามาแสดงเรื่องมันน่ะแต่บางคนผู้ที่เชื่อมั่นอยู่ในบุญ
ในคุณพระรัตนตรัยอย่างมั่นคงในใจแล้วก็ยกไว้  
เมื่อเวลาถึงภัยพิบัติมาก็จะนึกถึงเข้าแต่บุญแต่คุณ  


ผู้ที่ท่านเจริญสมถะวิปัสสนาอย่างชำนิชำนาญมา
ท่านก็จะนึกถึงสังขารร่างกายนี้น่ะ  
จะต้องพิจารณาความจริงของร่างกายอันนี้
มันเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ไตรลักษณญาณก็จะปรากฏแก่ท่านผู้เจริญวิปัสสนาญาณอย่างนั้น  

เมื่อญาณสามนี้ปรากฏในจิตใของท่านแล้ว  
ท่านก็ไม่หวั่นไหวต่อทุกขเวทนาอย่างที่ว่ามาแล้วนั่นแหละ  
ท่านก็ไม่หลงไปลืมตัว  จิตใจก็ตั้งมั่นอยู่ได้  
พอเห็นว่าสังขารร่างกายทุกส่วนไม่ใช่ของเรานี่  
แล้วจะไปหวั่นไหวกับมันทำไมก็เมื่อเห็นแจ้งด้วยพระญาณอย่างว่านี้แล้ว
มันก็ไม่หวั่นไหวจิตใจน่ะ  ไม่เศร้าโศก ไม่สะดุ้งหวาดกลัว
ย่อมกล้าหาญเต็มที่เลย  ตั้งมั่นเป็นปกติอยู่ได้  


...

ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ "เตรียมพร้อมไว้เสมอ"

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่