กาลครั้งหนึ่ง... เมื่อการเกริ่นเริ่มต้นของนิทานทุกเรื่องที่ท้ายที่สุดมักจบอย่างมีความสุข
กาลครั้งนี้... ในโลกกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้ ค มากมาย มากหน้าหลายตามากจิตหลายใจ
มีคู่หูคู่หนึ่งที่มักไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด จนเรียกได้ว่าตัวติดกันก็ว่าได้
ทั้งสองมักจะเห็นพ้องตรงกันเสมอ ปรับตัวเข้ากันได้อย่างดี เลยมักเข้าใจกันและกันดีที่สุด
ต่างฝ่ายต่างรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร คอยหาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นของขวัญให้อีกฝ่ายกระชุ่มกระชวย
ทั้งคู่สลับกันดูแลกันและกันแบบนี้เสมอมา รู้หมดว่าต่างฝ่ายชอบอะไร รักอะไร เกลียดอะไร
อะไรที่เขาไม่ชอบ เธอจะไม่ทำ อะไรที่เธอไม่ชอบ เขาก็จะไม่ทำเช่นกัน ทั้งสองถนอมจิตใจกันและกัน
แม้ว่าบางครั้งลึกๆแล้วก็อยากทำนะ... แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยังยอมเรา เราก็ยอมเขา จะไม่มีใครเหนือกว่าใคร
ทั้งสองบอกตัวเองเสมอ "จะไม่มีใครทำตัวเหนือกว่าใคร" พวกเขาจะเคารพซึ่งกันและกัน
พวกเขาทะเลาะกันบ้างเล็กน้อย นานทีปีครั้ง แต่สุดท้ายมักจบโดยทั้งสองต่างฝ่ายต่างยอมกัน ไม่มีคนแพ้หรือชนะ
หากไตร่ตรองแล้วอีกฝ่ายผิด การทะเลาะในครั้งหน้าจะไม่มีการยกเรื่องเก่าขึ้นมาพูดเอาชนะกันนะ พวกเขาตกลงกันเสมอ
ทุกอย่างที่เป็นไปด้วยดี ทำให้หลายคนต่างบอกว่าทั้งคู่นั้นช่างเหมาะสมคู่ควรกัน
นั่นทำให้ทั้งสองต่างรักกันเหนียวแน่นมากกว่าเดิม
ทั้งสองคิดว่าคงจะได้ไปไหนด้วยกันได้เรื่อยๆ จนตลอดรอดฝั่ง
จะได้ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชรคู่กัน เป็นกิ่งทองใบหยกในโลกของทั้งคู่
มันราวกับว่าโลกทั้งโลกมีแค่พวกเขาสองคน ไม่มีใครมีตัวตนสำหรับทั้งคู่เลย
จนกระทั่งวันหนึ่ง.. มี คๆ หนึ่ง เข้ามาแทรกกลางระหว่างทั้งคู่ เข้ามามีตัวตน เข้ามามีบทบาท
เขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นคง ความมั่นใจ ความน่าเกรงขาม ความน่าเชื่อถือ ความแข็งแกร่ง
ถ้อยคำของเขาหนักแน่น อัดแน่นไปด้วยพลัง ทุกถ้อยคำมีอิทธิพลจนน่ายำเกรง ราวกับมีอำนาจ
เขายืนพร่ำพูดอยู่ระหว่างกลางทั้งคู่ บางครั้งก็พูดด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล บางครั้งก็แข็งกระด้าง
บางครั้งก็ตะคอกเสียงดัง บางครั้งก็ด่าด้วยถ้อยคำรุนแรง บางครั้งก็มีแต่คำหยาบ แต่ทุกครั้งมันทรงอำนาจ
การกระทำนั้น ซ้ำทุกวัน ทุกวัน มันเริ่มทำให้ทั้งสองมีปัญหา
ทั้งสองเริ่มเปลี่ยนไป มันราวกับคำพูดต่างๆ นานาของเขาคนนั้นมันวนอยู่ในหู
ทั้งคู่ซึมซับมันเข้าไป แต่ตีความมันออกมาได้ไม่เหมือนกัน นั่นทำให้ทั้งสองเปลี่ยนไปคนละทาง
เขาเริ่มเห็นว่าซ้ายอาจจะดีกว่า เธอเริ่มเห็นขวาดีกว่า ทั้งสองเริ่มทะเลาะกัน
และเพราะทั้งสองอาจซึมซับอารมณ์รุนแรงมาด้วย ทั้งคู่จึงเริ่มใส่อารมณ์กับอีกฝ่าย
และแล้ว... ทั้งสองก็เริ่มทะเลาะกันบ่อยขึ้น แรงขึ้น ไร้เหตุผลมากขึ้น พยายามเอาชนะกันและกัน
เริ่มเอาข้อเสียของแต่ละฝ่ายมาด่าทอใส่กัน ข้อเสียที่ต่างฝ่ายต่างเห็นกันมานาน
บ่อยครั้งก็ทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทั้งคู่เห็นดีคนละทาง อยากไปคนละฝั่ง
แต่ในขณะเดียวกัน ใจก็ยังรั้งกับอีกฝ่าย เพราะนึกถึงเส้นทางที่เดินเคียงข้างกันมา
สิ่งที่ทำร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา มันทำให้ทั้งสองยังพยายามรักษามันไว้
แต่เมื่อพยายามรักษามันไว้ แต่ก็ยังห่างกันในทุกขณะ นั่นทำให้มันกลายเป็น "ระหองระแหง"
เส้นด้ายขาดผึงทีละเส้น ขาดอย่างช้าๆ แต่ไม่มีการต่อใหม่แต่ใด เพราะฉะนั้นมันก็มีวันที่เส้นด้ายเส้นสุดท้ายจะขาดไป
เมื่อขาดหมดทุกเส้น นั่นหมายถึงไม่มีอะไรรั้งทั้งคู่ไว้แล้ว มันคงถึงเวลาที่จะต้องแยกจากกัน
ทั้งสองร่ำลากันและกัน แม้ในใจจะยังรัก แม้ในมือจะถือด้ายคนละเส้น
แต่ก็รู้ดีว่าถึงจะเอามามัดต่อกันอย่างไร มันจะต้องขาดวิ่นอยู่ดี
ทั้งสองรู้ดีว่าแข็งแรงไม่พอจะต่อต้านความคิดที่คนตรงกลางยัดเยียดมา
เพราะสิ่งที่คนตรงกลางยัดเยียดมาให้มันเถียงไม่ได้เลย
ทั้งคู่มองหน้ากันครั้งสุดท้าย ก่อนก้าวเดินออกไป คนละทาง
ท้ายที่สุดทั้ง เขา และ เธอ ก็ต้องแยกจากกัน
โดยมี อีก ค ยืนกอดอกมองดูด้วยสายตาเย็นชา
ไม่สิ...
ท้ายที่สุดทั้ง "ความฝัน" และ "ความสุข" ก็ต้องแยกจากกัน
โดยมี "ความจริง" ยืนกอดอกมองดูด้วยสายตาเย็นชา
...............จบอย่างมีความสุข
เ พ ร า ะ "ค." แ ข็ ง แ ร ง ไ ม่ พ อ
กาลครั้งหนึ่ง... เมื่อการเกริ่นเริ่มต้นของนิทานทุกเรื่องที่ท้ายที่สุดมักจบอย่างมีความสุข
กาลครั้งนี้... ในโลกกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้ ค มากมาย มากหน้าหลายตามากจิตหลายใจ
มีคู่หูคู่หนึ่งที่มักไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด จนเรียกได้ว่าตัวติดกันก็ว่าได้
ทั้งสองมักจะเห็นพ้องตรงกันเสมอ ปรับตัวเข้ากันได้อย่างดี เลยมักเข้าใจกันและกันดีที่สุด
ต่างฝ่ายต่างรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร คอยหาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นของขวัญให้อีกฝ่ายกระชุ่มกระชวย
ทั้งคู่สลับกันดูแลกันและกันแบบนี้เสมอมา รู้หมดว่าต่างฝ่ายชอบอะไร รักอะไร เกลียดอะไร
อะไรที่เขาไม่ชอบ เธอจะไม่ทำ อะไรที่เธอไม่ชอบ เขาก็จะไม่ทำเช่นกัน ทั้งสองถนอมจิตใจกันและกัน
แม้ว่าบางครั้งลึกๆแล้วก็อยากทำนะ... แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยังยอมเรา เราก็ยอมเขา จะไม่มีใครเหนือกว่าใคร
ทั้งสองบอกตัวเองเสมอ "จะไม่มีใครทำตัวเหนือกว่าใคร" พวกเขาจะเคารพซึ่งกันและกัน
พวกเขาทะเลาะกันบ้างเล็กน้อย นานทีปีครั้ง แต่สุดท้ายมักจบโดยทั้งสองต่างฝ่ายต่างยอมกัน ไม่มีคนแพ้หรือชนะ
หากไตร่ตรองแล้วอีกฝ่ายผิด การทะเลาะในครั้งหน้าจะไม่มีการยกเรื่องเก่าขึ้นมาพูดเอาชนะกันนะ พวกเขาตกลงกันเสมอ
ทุกอย่างที่เป็นไปด้วยดี ทำให้หลายคนต่างบอกว่าทั้งคู่นั้นช่างเหมาะสมคู่ควรกัน
นั่นทำให้ทั้งสองต่างรักกันเหนียวแน่นมากกว่าเดิม
ทั้งสองคิดว่าคงจะได้ไปไหนด้วยกันได้เรื่อยๆ จนตลอดรอดฝั่ง
จะได้ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชรคู่กัน เป็นกิ่งทองใบหยกในโลกของทั้งคู่
มันราวกับว่าโลกทั้งโลกมีแค่พวกเขาสองคน ไม่มีใครมีตัวตนสำหรับทั้งคู่เลย
จนกระทั่งวันหนึ่ง.. มี คๆ หนึ่ง เข้ามาแทรกกลางระหว่างทั้งคู่ เข้ามามีตัวตน เข้ามามีบทบาท
เขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นคง ความมั่นใจ ความน่าเกรงขาม ความน่าเชื่อถือ ความแข็งแกร่ง
ถ้อยคำของเขาหนักแน่น อัดแน่นไปด้วยพลัง ทุกถ้อยคำมีอิทธิพลจนน่ายำเกรง ราวกับมีอำนาจ
เขายืนพร่ำพูดอยู่ระหว่างกลางทั้งคู่ บางครั้งก็พูดด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล บางครั้งก็แข็งกระด้าง
บางครั้งก็ตะคอกเสียงดัง บางครั้งก็ด่าด้วยถ้อยคำรุนแรง บางครั้งก็มีแต่คำหยาบ แต่ทุกครั้งมันทรงอำนาจ
การกระทำนั้น ซ้ำทุกวัน ทุกวัน มันเริ่มทำให้ทั้งสองมีปัญหา
ทั้งสองเริ่มเปลี่ยนไป มันราวกับคำพูดต่างๆ นานาของเขาคนนั้นมันวนอยู่ในหู
ทั้งคู่ซึมซับมันเข้าไป แต่ตีความมันออกมาได้ไม่เหมือนกัน นั่นทำให้ทั้งสองเปลี่ยนไปคนละทาง
เขาเริ่มเห็นว่าซ้ายอาจจะดีกว่า เธอเริ่มเห็นขวาดีกว่า ทั้งสองเริ่มทะเลาะกัน
และเพราะทั้งสองอาจซึมซับอารมณ์รุนแรงมาด้วย ทั้งคู่จึงเริ่มใส่อารมณ์กับอีกฝ่าย
และแล้ว... ทั้งสองก็เริ่มทะเลาะกันบ่อยขึ้น แรงขึ้น ไร้เหตุผลมากขึ้น พยายามเอาชนะกันและกัน
เริ่มเอาข้อเสียของแต่ละฝ่ายมาด่าทอใส่กัน ข้อเสียที่ต่างฝ่ายต่างเห็นกันมานาน
บ่อยครั้งก็ทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทั้งคู่เห็นดีคนละทาง อยากไปคนละฝั่ง
แต่ในขณะเดียวกัน ใจก็ยังรั้งกับอีกฝ่าย เพราะนึกถึงเส้นทางที่เดินเคียงข้างกันมา
สิ่งที่ทำร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา มันทำให้ทั้งสองยังพยายามรักษามันไว้
แต่เมื่อพยายามรักษามันไว้ แต่ก็ยังห่างกันในทุกขณะ นั่นทำให้มันกลายเป็น "ระหองระแหง"
เส้นด้ายขาดผึงทีละเส้น ขาดอย่างช้าๆ แต่ไม่มีการต่อใหม่แต่ใด เพราะฉะนั้นมันก็มีวันที่เส้นด้ายเส้นสุดท้ายจะขาดไป
เมื่อขาดหมดทุกเส้น นั่นหมายถึงไม่มีอะไรรั้งทั้งคู่ไว้แล้ว มันคงถึงเวลาที่จะต้องแยกจากกัน
ทั้งสองร่ำลากันและกัน แม้ในใจจะยังรัก แม้ในมือจะถือด้ายคนละเส้น
แต่ก็รู้ดีว่าถึงจะเอามามัดต่อกันอย่างไร มันจะต้องขาดวิ่นอยู่ดี
ทั้งสองรู้ดีว่าแข็งแรงไม่พอจะต่อต้านความคิดที่คนตรงกลางยัดเยียดมา
เพราะสิ่งที่คนตรงกลางยัดเยียดมาให้มันเถียงไม่ได้เลย
ทั้งคู่มองหน้ากันครั้งสุดท้าย ก่อนก้าวเดินออกไป คนละทาง
ท้ายที่สุดทั้ง เขา และ เธอ ก็ต้องแยกจากกัน
โดยมี อีก ค ยืนกอดอกมองดูด้วยสายตาเย็นชา
ไม่สิ...
ท้ายที่สุดทั้ง "ความฝัน" และ "ความสุข" ก็ต้องแยกจากกัน
โดยมี "ความจริง" ยืนกอดอกมองดูด้วยสายตาเย็นชา
...............จบอย่างมีความสุข
คุณได้อะไรจากนิทานเรื่องนี้บ้าง ?
คุณมองนิทานเรื่องนี้ไปในทิศทางใดได้บ้าง ?
คุณปรับมันมาใช้กับเรื่องอะไรได้บ้าง ?
คุณมองเห็นอะไร...
แค่เรื่องความรัก ?
แค่เรื่องความคิด ?
แค่เรื่องความจริง ?
บางสิ่งมันดูเรียบง่ายจนอาจดูเหมือนไม่มีอะไร
เหมือนผลไม้ เมื่อแกะออกมาเรารู้ว่ามันต้องมีเนื้อ
เมื่อพูดว่ากล้วย เรามองเห็นเปลือกกล้วยและเนื้อกล้วย
พูดถึงแอบเปิ้ล เราก็มองเห็นเปลือกสีแดงสีเขียวและเนื้อสีครีม
แต่ลึกกว่านั้น นอกจากเปลือกของมัน เนื้อของมันแล้ว...
เรายังได้รสชาติ ได้กลิ่น ได้กัด ได้ขยับกราม ได้กลืน ได้อิ่ม ได้สุขภาพ ได้วิตามิน
แค่สิ่งเล็กๆ มันกลับส่งด้านนั้นทีด้านนี้ทีจนเป็นสิ่งใหญ่ๆ ไม่ว่าจะรูปธรรม นามธรรม
ในบางครั้งความฝันกับความสุขมันไม่อาจไปด้วยกันได้เพราะเราต้องมองความจริง
แต่ใครจะรู้หากเราดำเนินเรื่องนี้ต่อ เมื่อทั้งสองได้เดินออกไปแล้ว สักพัก...
อาจจะตระหนักถึงกันและกัน คิดถึงกันและกัน และกลับมาอยู่ด้วยกัน เดินเคียงข้างกันอีกรอบก็เป็นได้
หรือไม่แน่ความสุขอาจจะไปเจอ ค. ที่เข้ากันได้มากกว่า แล้วให้กำเนิดความฝันใหม่ๆ
หรือไม่ความฝันอาจจะพบว่าอยู่คนเดียวสบายใจกว่า บางทีความฝันอยู่โดดเดี่ยวก็ให้กำเนิดความสุขเองได้นะ
หรือไม่แน่ความฝันอาจจะเห็นด้วยกับความจริง เลยกลับมาหาความจริง
แล้วความสุขก็กลับมาหาความจริงด้วยเช่นกัน ทั้งสามก็อยู่กันอย่างมีความสุข
แต่ไม่ว่าอย่างไรความสุขก็ควรจะมีความจริงเป็นเพื่อนสนิท
เพราะ.... ความจริงก็ยังทรงอำนาจเหมือนเดิม
ถ้าความสุขอยู่กับความจริงได้ ความสุขก็จะมีความสุข
ภาพจาก korethemaiden.wordpress.com