ตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมาแล้วที่รัสเซียพยายามให้สหรัฐฯมาร่วมหารือกันปราบปรามขบวนการรัฐอิสลามหรือ “ไอเอส” ในซีเรีย แต่สหรัฐยังไม่แสดงออกว่าจะร่วมกับรัสเซียหรือไม่ เพราะสหรัฐฯนั้นมีพันธมิตร 5-6 ชาติอยู่แล้วที่ร่วมกันปราบปราม“ไอเอส” เพราะสหรัฐฯถือข้างฝ่ายกบฏซีเรียและพยายามโค่นล้มรัฐบาลของนายบาชาร์ อัล-อัสซาด ประธานาธิบดีประเทศซีเรียตลอดเวลา เนื่องจากไม่พอใจที่รัฐบาลซีเรียร่วมกับขบวนการฮิซบอลเลาะห์ขบวนการก่อการร้ายและไม่เลือกข้างตะวันตก ขณะที่รัสเซียประกาศหนุนประธานาธิบดีแห่งซีเรียต่อไป และรัสเซียยืนยันต่อชาวโลกระหว่างร่วมประชุมสมัชชาองค์การสหประชาชาติครั้งที่ 70 เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่า หนทางเดียวที่จะแก้ปัญหาไอเอสได้ต้องร่วมมือกับรัฐบาลอัสซาดเท่านั้น ขณะที่สหรัฐฯยืนยันหนักแน่นในเวทีเดียวกันว่าต้องให้รัฐบาลอัสซาดพ้นจากตำแหน่งไปก่อนเท่านั้น
ปลายเดือนสิงหาคม 2556 สหรัฐอเมริกาส่งเรือพิฆาตลำที่ 5 ไปประจำการยังน่านน้ำทางตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ขณะที่มหาอำนาจตะวันตกกำลังหารือเรื่องการใช้กำลังทหารโจมตีซีเรีย เพื่อลงโทษกรณีใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าประชาชน แต่การการใช้กำลังทหารดังกล่าวหลายประเทศไม่เอาด้วยรวมถึงสหราชอาณาจักรที่สภาออกเสียงไม่เอาด้วย ด้วยคะแนนเสียง 285 ต่อ 272 เสียง ส่งผลให้นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน แห่งอังกฤษ จำต้องละทิ้งความพยายามในการขอเสียงสนับสนุนปฏิบัติการทางการทหารร่วมกับสหรัฐฯ ทำให้สหรัฐฯตัดสินใจโจมตีทางอากาศในซีเรียแทน และการโจมตีของสหรัฐฯครั้งแรกในซีเรียเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2557 (เวลาในซีเรีย) โดยเป้าหมายอยู่ที่กลุ่มขบวนการไอเอสทำให้กลุ่มติดอาวุธเสียหายและเสียชีวิตหลายสิบคน
ต่อจากนั้นสหรัฐฯอ้างว่าได้โจมตีอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่มีอะไรตื่นเต้นในสายตานักข่าวทั่วโลก ข่าวใหญ่สำหรับสหรัฐฯ ต่อซีเรียที่ตึงตังหน่อยก็ข่าวที่รัฐสภาสหรัฐฯอนุมัติวงเงินใช้ในการสนับสนุนฝ่ายกบฎในซีเรีย 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ดูจะน่าสนใจกว่า วงเงินนี้เพื่อฝึกอบรมการต่อสู้และจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์อันทันสมัยให้กับกองกำลังฝ่ายกบฏซีเรีย ซึ่งเรียกทหารหน่วยใหม่ว่า “กองกำลังซีเรียใหม่” (เอ็นเอสเอฟ) และข่าวนี้ได้รับความสนใจอีกครั้งเมื่อฝึกอาวุธเสร็จชุดแรกก็จัดส่งเข้าไปในพื้นที่ประเทศซีเรีย และเรื่องที่เกิดขึ้นกลับ “พลิกล็อค” เพราะกลับต้อง “จ่ายค่าผ่านทาง” ให้แก่กองโจรที่สังกัดกลุ่มเดียวกันกับขบวนการก่อการร้ายอัล-กออิดะห์ คือ กลุ่มอัล-นุสรา ฟรอนท์ ศัตรูเก่าของสหรัฐฯนั่นเอง ต้องเสียทั้งรถยนต์ทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ของสหรัฐฯที่ว่าดีเยี่ยมและทันสมัยไปราว 25 % ทำให้สหรัฐฯบอกว่าจะทบทวนแผนการดังกล่าวใหม่ แทนที่จะฝึกนักรบฝ่ายกบฎทั่วไปของซีเรียกลับจะเลือกเอาเฉพาะแกนนำเท่านั้นไปฝึก
ในขณะที่ในสหรัฐฯเองก็บอกว่าเลิกแผนการฝึกดังกล่าวเสียดีกว่า เพราะอยากจะควบคุมในทางปฏิบัติ แต่ถ้าหากเลิกแผนการฝึกดังกล่าวจริงยิ่งทำให้สหรัฐฯรู้สึกเสียแผนไปกันใหญ่ เพราะการฝึกดังกล่าวเริ่มต้นจากแผนการของสหรัฐฯต้องการโจมตีทางอากาศเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีการใช้กำลังภาคพื้นดิน ทำให้ต้องเลือกใช้กองกำลังฝ่ายกบฏต่อต้านรัฐบาลซีเรียเป็นกองกำลังภาคพื้นแทน ฉะนั้น แผนนี้คาดว่าสหรัฐฯคงจะยืนยันเช่นเดิม ทั้งนี้รัฐบาลสหรัฐฯเคยประเมินก่อนร่วมปฏิบัติการว่า ขบวนการรัฐอิสลามหรือ “ไอเอส” มีกำลังพลทั้งสิ้นประมาณ 20,000 คน ในจำนวนนี้ 2 ใน 3 อยู่ในซีเรีย และที่เหลืออยู่ในอิรัก
วันพฤหัสฯ ที่ 24 กันยายน 2558 กระทรวงกลาโหมรัสเซียแถลงว่า จะทำการซ้อมรบทางทะเล บริเวณด้านตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในเดือนนี้และเดือนหน้า โดยที่กองเรือทะเลดำจะส่งเรือรบ 3 ลำเข้าร่วมประกอบด้วย เรือยกพลขึ้นบก “ซาราตอฟ” เรือลาดตระเวนติดขีปนาวุธ “มอสกวา และเรือพิฆาต “สเมตลิวีย์” การซ้อมรบครั้งนี้ครอบคลุมการปฏิบัติการต่างๆ 40 ปฏิบัติการ ซึ่งรวมถึงการยิงจรวดและปืนใหญ่เข้าใส่เป้าหมายทางทะเลและอากาศ แต่นั่น “จริงคือเท็จ เท็จคือจริง” เพราะการเคลื่อนไหวช่วงที่มีการประชุมสมัชชาสหประชาชาติอยู่เป็นเรื่องที่ถูกเอาไปตีแผ่กันได้ง่ายๆ บางคนก็ว่าเตรียมการไว้รับมือกับปัญหาขัดแย้งในยูเครนมากกว่าที่จะปฏิบัติการอื่น แต่แล้วไม่กี่วันให้หลังปฏิบัติการจริงของรัสเซียก็เริ่มขึ้น คือ การโจมตีทางอากาศโดยเครื่องบินและเรือรบในทะเลดังกล่าว ทำให้ฝ่ายตะวันตกคงตกใจไม่น้อย ตกใจเพราะความสามารถอันเหลือล้น โดยเฉพาะการยิงจากเรือที่ห่างไกลจากจุดเป้าหมายถึง 1,500 กิโลเมตร ก็สามารถทำลายเป้าหมายได้ทุกประการ ขณะที่สหรัฐฯเพิ่งจะพลาดท่าจากการทิ้งระเบิดใส่โรงพยาบาลแพทย์ไร้พรมแดนในอัฟกานิสถานไปหมาดๆ จนผู้คนล้มตายกว่า 20 คนในนั้นเป็นเด็กเล็กด้วย 3 คน
กระทรวงกลาโหมรัสเซียเผยแพร่คลิปวิดีโอในวันพุธ 7 ตุลาคม 2558 แสดงให้เห็นการใช้จรวดโจมตีที่ตั้งขบวนการไอเอสในหลายพื้นที่ในประเทศซีเรีย โดยยิงจากเรือรบ 4 ลำ ในทะเลแคสเปียน ที่อยู่ห่างออกไปถึง 1,500 กิโลเมตร ข้ามดินแดนประเทศอิรักกับอิหร่านโดยจรวดทั้งหมดพุ่งเข้าทำลายทุกเป้าหมายอย่างแม่นยำ แต่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯรายหนึ่งจับผิดว่ามันพลาดเป้าหมายและไปตกในแผ่นดินของอิหร่าน ซึ่งข่าว “ใส่ร้าย” นี้ได้รับการยืนยันแล้วว่าไม่จริง เป็นแค่ข่าวยกเมฆ ถัดมาในวันศุกร์และวันเสาร์ 9-10 ตุลาคม 2558 เครื่องบินรบรัสเซียโจมตี 64 เที่ยวบินใน 24 ชั่วโมง ถล่มฐานของกลุ่มไอเอสถึง 55-60 จุดในซีเรีย ทำให้ฐานบัญชาการ 2 แห่ง คลังอาวุธ และฐานปฏิบัติการของไอเอสอีกหลายสิบแห่งถูกทำลาย
ทางฝ่ายระดับนำของกลุ่มนาโต้บอกว่า ปฏิบัติการของรัสเซียไม่ค่อยเป็นมืออาชีพ แต่เรื่องนี้ก็ต้องคอยข้อมูลให้ครบถ้วนเสียก่อนค่อยตัดสิน เพราะฝ่ายรัฐบาลซีเรียรวมถึงรัสเซียนั้น ก่อนทำการโจมตีจะมีการเผยแพร่เอกสารไปก่อนว่า ขอให้ศัตรูมอบตัวแก่ทางการหาไม่แล้วจะถูกโจมตี ลักษณะแบบนี้เป็นรูปแบบการทำสงครามในระดับสากลทั้งนั้น ไม่ว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 หรือแม้แต่รบในลาวเมื่อก่อน ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการโจมตีจะเกิดขึ้น เพื่อความปลอดภัยแก่ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง
การปฏิบัติการของรัสเซียนั้นต้องบอกว่า “เฉียบขาด” เป็นไปอย่างเปิดเผยไม่ปิดบังซ่อนเร้น บอกจะหนุนก็หนุน จะช่วยอาวุธก็ช่วย จะช่วยโจมตีทางอากาศก็ดำเนินการ ไม่ทำแบบคลุมเครือหรือไม่ชัดเจน ที่สำคัญการตัดสินใจของ นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย นั้นเป็นไปตามที่รัฐสภารัสเซียที่อนุมัติให้ประธานาธิบดีดำเนินการทำสงครามในซีเรียได้โดยมีมติเป็นเอกฉันท์เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2558 แต่นายปูตินบอกว่าจะใช้การโจมตีทางอากาศเท่านั้น และต้องคอยดูว่าปฏิบัติการนี้ฝ่ายรัสเซียบอกว่าจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องไป 3-4 เดือน ดูว่าจะยืดเยื้อไปมากกว่าที่คาดการณ์ไว้หรือไม่ ขณะเดียวกันต้องคอยดูสหรัฐฯด้วยว่ามีแผนการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ หรือจะให้รัสเซียกับรัฐบาลอัสซาดปราบกลุ่มไอเอสไปก่อน อย่างอื่นค่อยมาว่ากัน ถ้าเป็นเช่นนั้นเชื่อว่าเตรียมตั้งโต๊ะไว้เจรจาสันติสุขกันเลยดีกว่า สงครากลางเมืองเกิดมาได้ 4 ปีกว่าแล้ว ผู้คนล้มตายไปกว่า 250,000 คน บ้านเมืองพังพินาศไปหลายแห่ง และแท้จริงแล้วฝ่ายกบฏก็คนซีเรียนั่นเอง น่าจะหาทางลงให้ได้เหมือนกับประเทศตูนีเซียนั่นหล่ะครับ
บทความ by โอฬาร สุขเกษม
http://www.thansettakij.com/2015/10/12/13555
รัสเซีย “พูดจริงทำจริง” ในซีเรีย
ตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมาแล้วที่รัสเซียพยายามให้สหรัฐฯมาร่วมหารือกันปราบปรามขบวนการรัฐอิสลามหรือ “ไอเอส” ในซีเรีย แต่สหรัฐยังไม่แสดงออกว่าจะร่วมกับรัสเซียหรือไม่ เพราะสหรัฐฯนั้นมีพันธมิตร 5-6 ชาติอยู่แล้วที่ร่วมกันปราบปราม“ไอเอส” เพราะสหรัฐฯถือข้างฝ่ายกบฏซีเรียและพยายามโค่นล้มรัฐบาลของนายบาชาร์ อัล-อัสซาด ประธานาธิบดีประเทศซีเรียตลอดเวลา เนื่องจากไม่พอใจที่รัฐบาลซีเรียร่วมกับขบวนการฮิซบอลเลาะห์ขบวนการก่อการร้ายและไม่เลือกข้างตะวันตก ขณะที่รัสเซียประกาศหนุนประธานาธิบดีแห่งซีเรียต่อไป และรัสเซียยืนยันต่อชาวโลกระหว่างร่วมประชุมสมัชชาองค์การสหประชาชาติครั้งที่ 70 เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่า หนทางเดียวที่จะแก้ปัญหาไอเอสได้ต้องร่วมมือกับรัฐบาลอัสซาดเท่านั้น ขณะที่สหรัฐฯยืนยันหนักแน่นในเวทีเดียวกันว่าต้องให้รัฐบาลอัสซาดพ้นจากตำแหน่งไปก่อนเท่านั้น
ปลายเดือนสิงหาคม 2556 สหรัฐอเมริกาส่งเรือพิฆาตลำที่ 5 ไปประจำการยังน่านน้ำทางตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ขณะที่มหาอำนาจตะวันตกกำลังหารือเรื่องการใช้กำลังทหารโจมตีซีเรีย เพื่อลงโทษกรณีใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าประชาชน แต่การการใช้กำลังทหารดังกล่าวหลายประเทศไม่เอาด้วยรวมถึงสหราชอาณาจักรที่สภาออกเสียงไม่เอาด้วย ด้วยคะแนนเสียง 285 ต่อ 272 เสียง ส่งผลให้นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน แห่งอังกฤษ จำต้องละทิ้งความพยายามในการขอเสียงสนับสนุนปฏิบัติการทางการทหารร่วมกับสหรัฐฯ ทำให้สหรัฐฯตัดสินใจโจมตีทางอากาศในซีเรียแทน และการโจมตีของสหรัฐฯครั้งแรกในซีเรียเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2557 (เวลาในซีเรีย) โดยเป้าหมายอยู่ที่กลุ่มขบวนการไอเอสทำให้กลุ่มติดอาวุธเสียหายและเสียชีวิตหลายสิบคน
ต่อจากนั้นสหรัฐฯอ้างว่าได้โจมตีอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่มีอะไรตื่นเต้นในสายตานักข่าวทั่วโลก ข่าวใหญ่สำหรับสหรัฐฯ ต่อซีเรียที่ตึงตังหน่อยก็ข่าวที่รัฐสภาสหรัฐฯอนุมัติวงเงินใช้ในการสนับสนุนฝ่ายกบฎในซีเรีย 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ดูจะน่าสนใจกว่า วงเงินนี้เพื่อฝึกอบรมการต่อสู้และจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์อันทันสมัยให้กับกองกำลังฝ่ายกบฏซีเรีย ซึ่งเรียกทหารหน่วยใหม่ว่า “กองกำลังซีเรียใหม่” (เอ็นเอสเอฟ) และข่าวนี้ได้รับความสนใจอีกครั้งเมื่อฝึกอาวุธเสร็จชุดแรกก็จัดส่งเข้าไปในพื้นที่ประเทศซีเรีย และเรื่องที่เกิดขึ้นกลับ “พลิกล็อค” เพราะกลับต้อง “จ่ายค่าผ่านทาง” ให้แก่กองโจรที่สังกัดกลุ่มเดียวกันกับขบวนการก่อการร้ายอัล-กออิดะห์ คือ กลุ่มอัล-นุสรา ฟรอนท์ ศัตรูเก่าของสหรัฐฯนั่นเอง ต้องเสียทั้งรถยนต์ทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ของสหรัฐฯที่ว่าดีเยี่ยมและทันสมัยไปราว 25 % ทำให้สหรัฐฯบอกว่าจะทบทวนแผนการดังกล่าวใหม่ แทนที่จะฝึกนักรบฝ่ายกบฎทั่วไปของซีเรียกลับจะเลือกเอาเฉพาะแกนนำเท่านั้นไปฝึก
ในขณะที่ในสหรัฐฯเองก็บอกว่าเลิกแผนการฝึกดังกล่าวเสียดีกว่า เพราะอยากจะควบคุมในทางปฏิบัติ แต่ถ้าหากเลิกแผนการฝึกดังกล่าวจริงยิ่งทำให้สหรัฐฯรู้สึกเสียแผนไปกันใหญ่ เพราะการฝึกดังกล่าวเริ่มต้นจากแผนการของสหรัฐฯต้องการโจมตีทางอากาศเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีการใช้กำลังภาคพื้นดิน ทำให้ต้องเลือกใช้กองกำลังฝ่ายกบฏต่อต้านรัฐบาลซีเรียเป็นกองกำลังภาคพื้นแทน ฉะนั้น แผนนี้คาดว่าสหรัฐฯคงจะยืนยันเช่นเดิม ทั้งนี้รัฐบาลสหรัฐฯเคยประเมินก่อนร่วมปฏิบัติการว่า ขบวนการรัฐอิสลามหรือ “ไอเอส” มีกำลังพลทั้งสิ้นประมาณ 20,000 คน ในจำนวนนี้ 2 ใน 3 อยู่ในซีเรีย และที่เหลืออยู่ในอิรัก
วันพฤหัสฯ ที่ 24 กันยายน 2558 กระทรวงกลาโหมรัสเซียแถลงว่า จะทำการซ้อมรบทางทะเล บริเวณด้านตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในเดือนนี้และเดือนหน้า โดยที่กองเรือทะเลดำจะส่งเรือรบ 3 ลำเข้าร่วมประกอบด้วย เรือยกพลขึ้นบก “ซาราตอฟ” เรือลาดตระเวนติดขีปนาวุธ “มอสกวา และเรือพิฆาต “สเมตลิวีย์” การซ้อมรบครั้งนี้ครอบคลุมการปฏิบัติการต่างๆ 40 ปฏิบัติการ ซึ่งรวมถึงการยิงจรวดและปืนใหญ่เข้าใส่เป้าหมายทางทะเลและอากาศ แต่นั่น “จริงคือเท็จ เท็จคือจริง” เพราะการเคลื่อนไหวช่วงที่มีการประชุมสมัชชาสหประชาชาติอยู่เป็นเรื่องที่ถูกเอาไปตีแผ่กันได้ง่ายๆ บางคนก็ว่าเตรียมการไว้รับมือกับปัญหาขัดแย้งในยูเครนมากกว่าที่จะปฏิบัติการอื่น แต่แล้วไม่กี่วันให้หลังปฏิบัติการจริงของรัสเซียก็เริ่มขึ้น คือ การโจมตีทางอากาศโดยเครื่องบินและเรือรบในทะเลดังกล่าว ทำให้ฝ่ายตะวันตกคงตกใจไม่น้อย ตกใจเพราะความสามารถอันเหลือล้น โดยเฉพาะการยิงจากเรือที่ห่างไกลจากจุดเป้าหมายถึง 1,500 กิโลเมตร ก็สามารถทำลายเป้าหมายได้ทุกประการ ขณะที่สหรัฐฯเพิ่งจะพลาดท่าจากการทิ้งระเบิดใส่โรงพยาบาลแพทย์ไร้พรมแดนในอัฟกานิสถานไปหมาดๆ จนผู้คนล้มตายกว่า 20 คนในนั้นเป็นเด็กเล็กด้วย 3 คน
กระทรวงกลาโหมรัสเซียเผยแพร่คลิปวิดีโอในวันพุธ 7 ตุลาคม 2558 แสดงให้เห็นการใช้จรวดโจมตีที่ตั้งขบวนการไอเอสในหลายพื้นที่ในประเทศซีเรีย โดยยิงจากเรือรบ 4 ลำ ในทะเลแคสเปียน ที่อยู่ห่างออกไปถึง 1,500 กิโลเมตร ข้ามดินแดนประเทศอิรักกับอิหร่านโดยจรวดทั้งหมดพุ่งเข้าทำลายทุกเป้าหมายอย่างแม่นยำ แต่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯรายหนึ่งจับผิดว่ามันพลาดเป้าหมายและไปตกในแผ่นดินของอิหร่าน ซึ่งข่าว “ใส่ร้าย” นี้ได้รับการยืนยันแล้วว่าไม่จริง เป็นแค่ข่าวยกเมฆ ถัดมาในวันศุกร์และวันเสาร์ 9-10 ตุลาคม 2558 เครื่องบินรบรัสเซียโจมตี 64 เที่ยวบินใน 24 ชั่วโมง ถล่มฐานของกลุ่มไอเอสถึง 55-60 จุดในซีเรีย ทำให้ฐานบัญชาการ 2 แห่ง คลังอาวุธ และฐานปฏิบัติการของไอเอสอีกหลายสิบแห่งถูกทำลาย
ทางฝ่ายระดับนำของกลุ่มนาโต้บอกว่า ปฏิบัติการของรัสเซียไม่ค่อยเป็นมืออาชีพ แต่เรื่องนี้ก็ต้องคอยข้อมูลให้ครบถ้วนเสียก่อนค่อยตัดสิน เพราะฝ่ายรัฐบาลซีเรียรวมถึงรัสเซียนั้น ก่อนทำการโจมตีจะมีการเผยแพร่เอกสารไปก่อนว่า ขอให้ศัตรูมอบตัวแก่ทางการหาไม่แล้วจะถูกโจมตี ลักษณะแบบนี้เป็นรูปแบบการทำสงครามในระดับสากลทั้งนั้น ไม่ว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 หรือแม้แต่รบในลาวเมื่อก่อน ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการโจมตีจะเกิดขึ้น เพื่อความปลอดภัยแก่ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง
การปฏิบัติการของรัสเซียนั้นต้องบอกว่า “เฉียบขาด” เป็นไปอย่างเปิดเผยไม่ปิดบังซ่อนเร้น บอกจะหนุนก็หนุน จะช่วยอาวุธก็ช่วย จะช่วยโจมตีทางอากาศก็ดำเนินการ ไม่ทำแบบคลุมเครือหรือไม่ชัดเจน ที่สำคัญการตัดสินใจของ นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย นั้นเป็นไปตามที่รัฐสภารัสเซียที่อนุมัติให้ประธานาธิบดีดำเนินการทำสงครามในซีเรียได้โดยมีมติเป็นเอกฉันท์เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2558 แต่นายปูตินบอกว่าจะใช้การโจมตีทางอากาศเท่านั้น และต้องคอยดูว่าปฏิบัติการนี้ฝ่ายรัสเซียบอกว่าจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องไป 3-4 เดือน ดูว่าจะยืดเยื้อไปมากกว่าที่คาดการณ์ไว้หรือไม่ ขณะเดียวกันต้องคอยดูสหรัฐฯด้วยว่ามีแผนการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ หรือจะให้รัสเซียกับรัฐบาลอัสซาดปราบกลุ่มไอเอสไปก่อน อย่างอื่นค่อยมาว่ากัน ถ้าเป็นเช่นนั้นเชื่อว่าเตรียมตั้งโต๊ะไว้เจรจาสันติสุขกันเลยดีกว่า สงครากลางเมืองเกิดมาได้ 4 ปีกว่าแล้ว ผู้คนล้มตายไปกว่า 250,000 คน บ้านเมืองพังพินาศไปหลายแห่ง และแท้จริงแล้วฝ่ายกบฏก็คนซีเรียนั่นเอง น่าจะหาทางลงให้ได้เหมือนกับประเทศตูนีเซียนั่นหล่ะครับ
บทความ by โอฬาร สุขเกษม
http://www.thansettakij.com/2015/10/12/13555