ย่างเข้าหน้าฝน อีกหนึ่งฤดูกาลที่ข้าพเจ้าชื่นชอบเพราะมองอะไรก็เป็นสีเขียวสบายตา การได้ออกมาใช้ชีวิตช้าๆ หาความสุขเงียบๆ เรียกสติงามๆ ที่ " หลวงพระบาง" น่าจะเป็นสวรรค์น้อยๆของคนตัวเล็กๆคนนึง ที่อยากออกมาฝึกกอดตัวเองให้เป็น ... หลายเรื่องของชีวิต ... หลายครั้งของความรัก ... ทำให้ข้าพเจ้าตระหนักว่า เราเกิดมาเพื่อจะเดินทางเพียงลำพัง ...
ทริปนี้ข้าพเจ้ามีเวลาเตรียมตัวไม่มาก อารมณ์ประมาณ เหล้าผสมโซดายังงัยอย่างงั้น พอเคลิ้มๆแล้วก็ปล่อยไปตามใจปรารถนา จองวันนี้ ... เดินทางวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าเลือกที่จะซื้อแพ็คเกจการเดินทางผ่านเอเจ้น 3 วัน 2 คืน เป็นแพ็คเกจอิสระ รวม Hotel + Flight (ไม่รวมทัวร์) เดินทางโดยสายการบิน Lao Airline รวมแล้วประหยัดไปหลายบาทถูกกว่าการจองเอง
และแล้ว....เช้าวันเดินทางก็มาถึง เมื่อเครื่องบินขนาดลำเล็กกะทัดรัด สยายปีกขึ้นสู่ท้องฟ้า ความรู้สึกครุ่นคิดถึงเรื่องราวในอดีตต่างๆของข้าพเจ้าก็เริ่มเบาบางลง
ภาพก้อนเมฆลอยตัวกระจัดกระจายบนท้องฟ้า เมื่อมองลอดช่องหน้าต่าง ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าการปล่อยใจให้เบาบางดังปุยเมฆ ปล่อยวางอารมณ์ให้สายลมพัดผ่านตามหนทางที่มันควรจะเป็น มันก็เป็นสุขอย่างหนึ่ง
เครื่องบินร่อนลดระดับความสูงลง ปลุกให้ข้าพเจ้าตื่น ใกล้หลวงพระบางเข้ามาทุกที ภาพเมืองเล็กที่โอบล้อมด้วยขุนเขา เริ่มมองเห็นชัดเจน
เครื่องลงจอดที่สนามบินหลวงพระบางอย่างนุ่มนวล ต้องขอบคุณกัปตันที่ขับได้นิ่มมาก ใช้เวลาเดินทางโดยรวมประมาณ 1.50 นาที สนามบินหลวงพระบางเป็นสนามบินเล็กๆ ทุกอย่างดูเล็กกะทัดรัด แต่ก็สวยงามเรียบง่ายหมดจด
ข้าพเจ้ามาถึงหลวงพระบางราวเที่ยงวัน รถของโรงแรมมารอรับแล้วที่สนามบินแล้ว การเดินทางระหว่างสนามบินเข้าเมืองใช้เวลาประมาณ 15 นาที ประเทศลาวขับรถเลนขวา พวงมาลัยซ้าย ซึ่งต่างจากบ้านเรา ระหว่างนั่งรถแอบเสียวสันหลังเล็กๆ เวลารถวิ่งสวนกัน
ถึงที่หลับที่นอนเวลาบ่ายโมงเศษ สองคืนนี้ข้าพเจ้าพักที่โรงแรมเมืองทอง หลังจากเช็คอินแล้วก็เข้ามาสำรวจห้องหับกัน บรรยากาศในห้องดูสบายๆ สะอาดสะอ้าน อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ห้องนอนเตียงใหญ่ ที่นอนนุ่นชวนฝัน...ถึงใคร?
ระเบียงหน้าห้อง
บรรยากาศแวดล้อมมีสวนหย่อมและสระว่ายน้ำ
ถึงโรงแรมจะสวยงามและดีงามขนาดไหน แต่มาถึงหลวงพระบางแล้ว คงไม่นอนคดคู้อยู่แต่ในห้องแน่นอน เก็บสัมภาระเรียบร้อย จึงวางแผนกับตัวเองว่าวันนี้จะเดินเที่ยวเล่นในเมืองหลวงพระบางก่อน เจ้าหน้าที่โรงแรมให้ข้อมูลว่า หากเดินเท้าจากที่พักไปที่เที่ยวในตัวเมือง ใช้เวลาประมาณ 5 นาที จากนั้นข้าพเจ้าจึงพาตัวเองเดินลัดเลาะออกจากโรงแรมไปจนถึงถนนสายหลักที่ชื่อว่า ถนนเจ้าฟ้างุ่ม ซึ่งเป็นเส้นทางที่จะเดินทอดน่องในวันนี้
ระหว่างทางเจอบ้านไม้โบราณสวยๆที่ยังคงความคลาสสิคอยู่
เตร็ดเตร่มาเรื่อยจนมาพบสองวัดแรกในหลวงพระบาง คือ วัดหัวเซียง และวัดพะมะหาทาด ราดชะวรวิหาร (ภาษาลาวเขียนแบบนี้) ซึ่งสองวัดนี้ห่างกันเพียงกำแพงกั้น
พระรูปแรกที่เห็นในหลวงพระบาง คือ เณรน้อยรูปนี้
ทางขึ้นวัดเป็นบันไดนาคสีเงิน
เดินข้ามถนนมาอีกฝั่ง ก็มาเจอร้านกาแฟโจมา ( JOMA COFFEE) ร้านกาแฟชื่อดังของเมืองหลวงพระบาง ภายนอกร้านเป็นตึกเก่าสไตล์โคโลเนียล
ภายในตกแต่งผนังร้านด้วยภาพเขียน ผนังยังคงความดิบแบบเดิมๆ
มีขนมปังและเบอเกอรี่ให้เลือกหลากหลายรสชาติ
เนื่องจากข้างล่างโต๊ะเต็ม ข้าพเจ้าจึงต้องระเห็จตัวเองขึ้นไปชั้น 2
จากชั้น 2 มองลงมาข้างล่างมันได้อารมณ์แบบอาร์ตติส ดิบ เท่
มื้อแรกในหลวงพระบาง ฉลองต้อนรับตัวเองด้วยกาแฟสด 1 แก้วกับเค้กแครอท 1 ชิ้น
โผล่ออกจากร้านกาแฟโจมา ก็มาเจอร้านข้างๆ เป็นร้านขายเฝอลาว ร้านนี้เป็นของคนพื้นถิ่น ที่ไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมาก แม้กระทั่งรสชาติอาหาร กะว่าจะชิมสักหน่อย ดันหมดซะแล้ว
เฝอร้านนี้แฝงตัวอยู่หน้าตึกเก่าโคโลเนียล ถ้ามองการตกแต่งให้ดูมีศิลปะหน่อย ก็คงต้องบอกว่าผสมความเป็นวินเทจด้วยสังกะสีเก่า
อีกด้านหนึ่งของร้านโจมา มีซอยเล็กๆ ชาวแบคแพ็คนิยมมาพักซอยนี้ เรทราคาตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพัน ที่สำคัญเดินเข้าไปจนสุดซอยเป็นวิวแม่น้ำโขง ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะมาสำรวจซอยนี้เผื่อจะเจอที่พักดีๆเก็บเป็นสแปมในคราวหน้า
ถัดจากซอยโจมา สามสี่ก้าว ก็มาเจอะกับคลินิกเสริมความงามวุฒิศักดิ์ สนนราคาทำหน้าต่อครั้งก็เป็นแสน(กีบ) เชียวนะ นับเงินในกระเป๋าแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าไปทำบุญไหว้พระ รอสวยชาติหน้าดีกว่า 555
มาอีกนิดก็เป็นที่ทำการไปรษณีย์หลวงพระบาง
ถัดจากไปรษณีย์ก็เป็นสี่แยก มีป้ายบอกไปยังสถานที่เที่ยวในตัวเมือง จุดหมายของข้าพเจ้าวันนี้ คือ วัดใหม่สุวันนะพูมาราม พิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง พระธาตุพูสี
วัดใหม่สุวันนะพูมาราม ชาวหลวงพระบาง เรียกว่า "วัดใหม่" เป็นวัดเก่าแก่ของหลวงพระบางเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชลาวองค์สุดท้ายมาก่อน
หลังคาเป็นทรงซ้อนชั้นตามแบบหลวงพระบาง
ศาลาด้านหน้าวัด
ผนังด้านหน้าพระอุโบสถตกแต่งด้วยภาพลงรักปิดทองดูเหลืองอร่ามงามตายาวตลอดผนัง
ก่อนเข้าชมภายในต้องเสียค่าเข้าก่อนคนละ 10,000 กีบ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 40 บาท โดยมีคุณลุงท่านนี้นั่งเก็บค่าเข้าชมทางด้านหน้า
ภายในพระอุโบสถมีพระพุทธรูปทรงเครื่ององค์ใหญ่ มีพระพักตร์ที่งดงาม
ออกจากวัดใหม่ เดินต่อมาอีกนิดก็ถึงพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติหลวงพระบาง
ชาวเมืองหลวงพระบางเรียกพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ว่า หอคำ
อาคารนี้เป็นหอพระบางอยู่ภายในบริเวณเดียวกับหอคำ เป็นที่ประดิษฐาน “พระบาง” ซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมือง
ทั้งสองที่ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพภายใน
ถนนด้านหน้าพิพิธภัณฑ์หลวงพระบางจัดเป็นถนนคนเดิน ปิดไม่ให้รถยนต์ผ่าน จะพบเห็นนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวต่างชาติ เดินเที่ยวเล่น สวนกันไปมา
ปั่นจักรยานชมเมือง
บรรยากาศร้านค้าระแวกพิพิธภัณฑ์ เงียบสงบมาก ร้านค้าเปิดขายตามปกติ แอบสงสัยผู้คนหายไปไหนหมด
ข้ามมาอีกฝั่งของพิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง เป็นยอดเขาภูสี ภูเขาขนาดย่อมที่อยู่ใจกลางเมือง มีทางขึ้นทางเดียว คือ เดินขึ้นบันไดไปยอดเขา 328 ขั้น
คนหลวงพระบางมีคำพูดเล่นๆกับแขกที่มาเยือนว่า “หากมาหลวงพระบางแล้วไม่ได้ขึ้นภูสีถือว่ายังมาไม่ถึง”
โดนท้าดวลขนาดนี้ จ่ายค่าปีนภู 20,000 กีบ แล้วก็ต้องสู้ว้อย! ว่าแล้วมาเริ่มนับขั้นบันไดกันเลย
ทางขึ้นบางช่วงบันไดแอบคดโค้ง หักศอกอยู่เหมือนกัน ถึงตรงนี้ขาเริ่มตึง ชีวิตขาขึ้นมันยากลำบากอย่างนี้นี่เอง
โอ้ว...เหมือนสวรรค์มาโปรด มองไปด้านบนเห็นองค์พระธาตุอยู่ใกล้แล้ว เริ่มใจชื้นขึ้นมาบ้าง
ถึงจุดหมายแล้ว พระธาตุภูสี กราบหนึ่ง กราบสอง กราบสาม
นอกจากพระธาตุแล้ว บนภูยังมีวิหาร ที่สวยงาม
พระพุทธรูปภายในวิหาร
รูปปั้นของพระฤาษีในวิหาร คนลาวเล่าว่า พูสี มีความหมายว่า ภูเขาของพระฤาษี เดิมชื่อว่า ภูสรวง ครั้นเมื่อมีฤาษีไปอาศัยอยู่ชาวบ้านจึงเรียกว่าภูฤาษี หรือภูษีมาจนถึงปัจจุบัน
รอบๆพระธาตุมีทางเดินให้ชมวิวทิวทัศน์ของเมืองหลวงพระบาง
สายน้ำคานกับเมืองหลวงพระบาง
หลวงพระบางเมืองเล็กๆที่ซ่อนตัวในหุบเขา
ถนนสายหลักในเมือง
วิวอีกด้านมองเห็นแม่น้ำโขง
ความสงบทำให้ได้ข้าพเจ้าได้คิดทบทวนกับบางสิ่ง หากเรามีชีวิตอยู่เหนืออดีต เราจะมองเห็นอนาคตได้กว้างขึ้น
JPOP
[CR] หลวงพระบางกับใจบางบาง (ตอนแรก)
ทริปนี้ข้าพเจ้ามีเวลาเตรียมตัวไม่มาก อารมณ์ประมาณ เหล้าผสมโซดายังงัยอย่างงั้น พอเคลิ้มๆแล้วก็ปล่อยไปตามใจปรารถนา จองวันนี้ ... เดินทางวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าเลือกที่จะซื้อแพ็คเกจการเดินทางผ่านเอเจ้น 3 วัน 2 คืน เป็นแพ็คเกจอิสระ รวม Hotel + Flight (ไม่รวมทัวร์) เดินทางโดยสายการบิน Lao Airline รวมแล้วประหยัดไปหลายบาทถูกกว่าการจองเอง
และแล้ว....เช้าวันเดินทางก็มาถึง เมื่อเครื่องบินขนาดลำเล็กกะทัดรัด สยายปีกขึ้นสู่ท้องฟ้า ความรู้สึกครุ่นคิดถึงเรื่องราวในอดีตต่างๆของข้าพเจ้าก็เริ่มเบาบางลง
ภาพก้อนเมฆลอยตัวกระจัดกระจายบนท้องฟ้า เมื่อมองลอดช่องหน้าต่าง ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าการปล่อยใจให้เบาบางดังปุยเมฆ ปล่อยวางอารมณ์ให้สายลมพัดผ่านตามหนทางที่มันควรจะเป็น มันก็เป็นสุขอย่างหนึ่ง
เครื่องบินร่อนลดระดับความสูงลง ปลุกให้ข้าพเจ้าตื่น ใกล้หลวงพระบางเข้ามาทุกที ภาพเมืองเล็กที่โอบล้อมด้วยขุนเขา เริ่มมองเห็นชัดเจน
เครื่องลงจอดที่สนามบินหลวงพระบางอย่างนุ่มนวล ต้องขอบคุณกัปตันที่ขับได้นิ่มมาก ใช้เวลาเดินทางโดยรวมประมาณ 1.50 นาที สนามบินหลวงพระบางเป็นสนามบินเล็กๆ ทุกอย่างดูเล็กกะทัดรัด แต่ก็สวยงามเรียบง่ายหมดจด
ข้าพเจ้ามาถึงหลวงพระบางราวเที่ยงวัน รถของโรงแรมมารอรับแล้วที่สนามบินแล้ว การเดินทางระหว่างสนามบินเข้าเมืองใช้เวลาประมาณ 15 นาที ประเทศลาวขับรถเลนขวา พวงมาลัยซ้าย ซึ่งต่างจากบ้านเรา ระหว่างนั่งรถแอบเสียวสันหลังเล็กๆ เวลารถวิ่งสวนกัน
ถึงที่หลับที่นอนเวลาบ่ายโมงเศษ สองคืนนี้ข้าพเจ้าพักที่โรงแรมเมืองทอง หลังจากเช็คอินแล้วก็เข้ามาสำรวจห้องหับกัน บรรยากาศในห้องดูสบายๆ สะอาดสะอ้าน อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ห้องนอนเตียงใหญ่ ที่นอนนุ่นชวนฝัน...ถึงใคร?
ระเบียงหน้าห้อง
บรรยากาศแวดล้อมมีสวนหย่อมและสระว่ายน้ำ
ถึงโรงแรมจะสวยงามและดีงามขนาดไหน แต่มาถึงหลวงพระบางแล้ว คงไม่นอนคดคู้อยู่แต่ในห้องแน่นอน เก็บสัมภาระเรียบร้อย จึงวางแผนกับตัวเองว่าวันนี้จะเดินเที่ยวเล่นในเมืองหลวงพระบางก่อน เจ้าหน้าที่โรงแรมให้ข้อมูลว่า หากเดินเท้าจากที่พักไปที่เที่ยวในตัวเมือง ใช้เวลาประมาณ 5 นาที จากนั้นข้าพเจ้าจึงพาตัวเองเดินลัดเลาะออกจากโรงแรมไปจนถึงถนนสายหลักที่ชื่อว่า ถนนเจ้าฟ้างุ่ม ซึ่งเป็นเส้นทางที่จะเดินทอดน่องในวันนี้
ระหว่างทางเจอบ้านไม้โบราณสวยๆที่ยังคงความคลาสสิคอยู่
เตร็ดเตร่มาเรื่อยจนมาพบสองวัดแรกในหลวงพระบาง คือ วัดหัวเซียง และวัดพะมะหาทาด ราดชะวรวิหาร (ภาษาลาวเขียนแบบนี้) ซึ่งสองวัดนี้ห่างกันเพียงกำแพงกั้น
พระรูปแรกที่เห็นในหลวงพระบาง คือ เณรน้อยรูปนี้
ทางขึ้นวัดเป็นบันไดนาคสีเงิน
เดินข้ามถนนมาอีกฝั่ง ก็มาเจอร้านกาแฟโจมา ( JOMA COFFEE) ร้านกาแฟชื่อดังของเมืองหลวงพระบาง ภายนอกร้านเป็นตึกเก่าสไตล์โคโลเนียล
ภายในตกแต่งผนังร้านด้วยภาพเขียน ผนังยังคงความดิบแบบเดิมๆ
มีขนมปังและเบอเกอรี่ให้เลือกหลากหลายรสชาติ
เนื่องจากข้างล่างโต๊ะเต็ม ข้าพเจ้าจึงต้องระเห็จตัวเองขึ้นไปชั้น 2
จากชั้น 2 มองลงมาข้างล่างมันได้อารมณ์แบบอาร์ตติส ดิบ เท่
มื้อแรกในหลวงพระบาง ฉลองต้อนรับตัวเองด้วยกาแฟสด 1 แก้วกับเค้กแครอท 1 ชิ้น
โผล่ออกจากร้านกาแฟโจมา ก็มาเจอร้านข้างๆ เป็นร้านขายเฝอลาว ร้านนี้เป็นของคนพื้นถิ่น ที่ไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมาก แม้กระทั่งรสชาติอาหาร กะว่าจะชิมสักหน่อย ดันหมดซะแล้ว
เฝอร้านนี้แฝงตัวอยู่หน้าตึกเก่าโคโลเนียล ถ้ามองการตกแต่งให้ดูมีศิลปะหน่อย ก็คงต้องบอกว่าผสมความเป็นวินเทจด้วยสังกะสีเก่า
อีกด้านหนึ่งของร้านโจมา มีซอยเล็กๆ ชาวแบคแพ็คนิยมมาพักซอยนี้ เรทราคาตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพัน ที่สำคัญเดินเข้าไปจนสุดซอยเป็นวิวแม่น้ำโขง ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะมาสำรวจซอยนี้เผื่อจะเจอที่พักดีๆเก็บเป็นสแปมในคราวหน้า
ถัดจากซอยโจมา สามสี่ก้าว ก็มาเจอะกับคลินิกเสริมความงามวุฒิศักดิ์ สนนราคาทำหน้าต่อครั้งก็เป็นแสน(กีบ) เชียวนะ นับเงินในกระเป๋าแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าไปทำบุญไหว้พระ รอสวยชาติหน้าดีกว่า 555
มาอีกนิดก็เป็นที่ทำการไปรษณีย์หลวงพระบาง
ถัดจากไปรษณีย์ก็เป็นสี่แยก มีป้ายบอกไปยังสถานที่เที่ยวในตัวเมือง จุดหมายของข้าพเจ้าวันนี้ คือ วัดใหม่สุวันนะพูมาราม พิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง พระธาตุพูสี
วัดใหม่สุวันนะพูมาราม ชาวหลวงพระบาง เรียกว่า "วัดใหม่" เป็นวัดเก่าแก่ของหลวงพระบางเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชลาวองค์สุดท้ายมาก่อน
หลังคาเป็นทรงซ้อนชั้นตามแบบหลวงพระบาง
ศาลาด้านหน้าวัด
ผนังด้านหน้าพระอุโบสถตกแต่งด้วยภาพลงรักปิดทองดูเหลืองอร่ามงามตายาวตลอดผนัง
ก่อนเข้าชมภายในต้องเสียค่าเข้าก่อนคนละ 10,000 กีบ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 40 บาท โดยมีคุณลุงท่านนี้นั่งเก็บค่าเข้าชมทางด้านหน้า
ภายในพระอุโบสถมีพระพุทธรูปทรงเครื่ององค์ใหญ่ มีพระพักตร์ที่งดงาม
ออกจากวัดใหม่ เดินต่อมาอีกนิดก็ถึงพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติหลวงพระบาง
ชาวเมืองหลวงพระบางเรียกพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ว่า หอคำ
อาคารนี้เป็นหอพระบางอยู่ภายในบริเวณเดียวกับหอคำ เป็นที่ประดิษฐาน “พระบาง” ซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมือง ทั้งสองที่ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพภายใน
ถนนด้านหน้าพิพิธภัณฑ์หลวงพระบางจัดเป็นถนนคนเดิน ปิดไม่ให้รถยนต์ผ่าน จะพบเห็นนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวต่างชาติ เดินเที่ยวเล่น สวนกันไปมา
ปั่นจักรยานชมเมือง
บรรยากาศร้านค้าระแวกพิพิธภัณฑ์ เงียบสงบมาก ร้านค้าเปิดขายตามปกติ แอบสงสัยผู้คนหายไปไหนหมด
ข้ามมาอีกฝั่งของพิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง เป็นยอดเขาภูสี ภูเขาขนาดย่อมที่อยู่ใจกลางเมือง มีทางขึ้นทางเดียว คือ เดินขึ้นบันไดไปยอดเขา 328 ขั้น
คนหลวงพระบางมีคำพูดเล่นๆกับแขกที่มาเยือนว่า “หากมาหลวงพระบางแล้วไม่ได้ขึ้นภูสีถือว่ายังมาไม่ถึง”
โดนท้าดวลขนาดนี้ จ่ายค่าปีนภู 20,000 กีบ แล้วก็ต้องสู้ว้อย! ว่าแล้วมาเริ่มนับขั้นบันไดกันเลย
ทางขึ้นบางช่วงบันไดแอบคดโค้ง หักศอกอยู่เหมือนกัน ถึงตรงนี้ขาเริ่มตึง ชีวิตขาขึ้นมันยากลำบากอย่างนี้นี่เอง
โอ้ว...เหมือนสวรรค์มาโปรด มองไปด้านบนเห็นองค์พระธาตุอยู่ใกล้แล้ว เริ่มใจชื้นขึ้นมาบ้าง
ถึงจุดหมายแล้ว พระธาตุภูสี กราบหนึ่ง กราบสอง กราบสาม
นอกจากพระธาตุแล้ว บนภูยังมีวิหาร ที่สวยงาม
พระพุทธรูปภายในวิหาร
รูปปั้นของพระฤาษีในวิหาร คนลาวเล่าว่า พูสี มีความหมายว่า ภูเขาของพระฤาษี เดิมชื่อว่า ภูสรวง ครั้นเมื่อมีฤาษีไปอาศัยอยู่ชาวบ้านจึงเรียกว่าภูฤาษี หรือภูษีมาจนถึงปัจจุบัน
รอบๆพระธาตุมีทางเดินให้ชมวิวทิวทัศน์ของเมืองหลวงพระบาง
สายน้ำคานกับเมืองหลวงพระบาง
หลวงพระบางเมืองเล็กๆที่ซ่อนตัวในหุบเขา
ถนนสายหลักในเมือง
วิวอีกด้านมองเห็นแม่น้ำโขง
ความสงบทำให้ได้ข้าพเจ้าได้คิดทบทวนกับบางสิ่ง หากเรามีชีวิตอยู่เหนืออดีต เราจะมองเห็นอนาคตได้กว้างขึ้น
JPOP