สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 14
อันนี้เล่นดักได้แรงมาก แต่ก็ใช่ ถูกตามนั้น วิทยาศาสตร์บอกได้แค่ว่าไม่รู้
วิทยาศาสตร์จะสรุปภายใต้ข้อเท็จจริงเสมอ และคำว่าไม่รู้ ไม่อาจพิสูจน์ เป็นเรื่องปรกติที่จะพบ การพิสูจน์การไม่มีอยู่นี้เป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก อย่างเช่นตัวอย่างของ Russell's Teapot ที่เคลมว่ามีหม้อชากังไสอยู่ในแนววงโคจรอุกกาบาต การพิสูจน์การไม่มีอยู่นี้ จะต้องตรวจสอบทุกพื้นที่อันกว้างขวางนี้จนหมดจึงจะสรุปว่าไม่มีได้ อันนี้ เป็นการตอกกลับการเคลมเรื่องเหลือเชื่อที่พิสูจน์ไม่ได้ ด้วยการแสดงขนาดของการพิสูจน์ว่ามันต้องทำเยอะจนเลอะเทอะขนาดไหน เป็นการแสดงว่า การอ้างให้พิสูจน์นี้ ผู้อ้างควรเป็นผู้นำพิสูจน์เอง มิฉะนั้นมันก็เป็นเรื่องไร้สาระ
คนในวงวิทยาศาสตร์ต้องหัดที่จะใช้คำว่า "ไร้สาระ" มากกว่าการปฏิเสธง่ายๆว่า "ไม่มี" หรือ "ไม่จริง" กับเรื่องพวกนี้ เพราะการปฏิเสธ ก็เท่ากับสรุปเกินหลักฐานที่มี การอ้างหลักฐานจากการไม่มีอยู่เป็นเหตุผลวิบัติ ซึ่งคนในวงวิทยาศาสตร์ต้องไม่ทำ
ส่วนปัญหาที่สำคัญของการติดหล่มการปฏิเสธนี้ มาจากการที่มนุษย์เราไม่สามารถยอมรับการไม่รู้ มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใฝ่รู้และจะกระวนกระวายในความไม่รู้ ตรงนี้เอง มันจึงมีการพยายามอธิบาย และเมื่อมีคำอธิบาย มนุษย์ก็ยึดติดกับคำอธิบายแทนที่จะสืบค้นต่อว่า คำอธิบายนี้ เป็นจริงหรือเท็จ ถ้าจะพิสูจน์ ก็เล่นการพิสูจน์ทางเดียวที่สามารถทำได้แค่ยืนยันว่าจริงหรือบอกว่าทำไม่สำเร็จ
ความก้าวหน้าที่แท้จริงของแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ที่เหนือกว่าความเชื่อต่างๆนั้น จึงอยู่ที่การที่วิทยาศาสตร์ยอมรับในความไม่รู้ แทนที่จะติดหล่มการตอบได้อธิบายได้ เราเลือกจะตอบว่าไม่รู้ ไม่ทราบ ดีกว่าไปเชื่องมงายว่ามัน มี หรือ ไม่มี การที่เราไม่รู้นี่มีความหมายมาก เพราะมันแสดงว่าเรายังมีสิ่งให้ทำ ให้ค้นหา ไม่หยุดนิ่ง ถ้าหากเราไม่มีอะไรที่เราไม่รู้เหลืออยู่ โลกของเราก็คงไม่มีงานให้นักวิทยาศาสตร์ทำครับ
เวลาเราเจอสิ่งที่ไม่รู้ คำอ้างที่ไม่มีหลักฐาน ตัวหลักฐานนั่นแหละคือสาระ เพราะมีสาระจึงศึกษาต่อได้ การอ้างที่ไม่มีหลักฐาน ไม่มีหลักการ จึงเรียกว่าไร้สาระครับ ก็ต้องรอจนกว่าคนที่อ้าง จะเจอ สาระ แล้วเอามาคุย พวกคุยไร้สาระเอามายืนยันเป็นจริงได้เป็นตุเป็นตะนี่ งมงาย ครับ
วิทยาศาสตร์จะสรุปภายใต้ข้อเท็จจริงเสมอ และคำว่าไม่รู้ ไม่อาจพิสูจน์ เป็นเรื่องปรกติที่จะพบ การพิสูจน์การไม่มีอยู่นี้เป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก อย่างเช่นตัวอย่างของ Russell's Teapot ที่เคลมว่ามีหม้อชากังไสอยู่ในแนววงโคจรอุกกาบาต การพิสูจน์การไม่มีอยู่นี้ จะต้องตรวจสอบทุกพื้นที่อันกว้างขวางนี้จนหมดจึงจะสรุปว่าไม่มีได้ อันนี้ เป็นการตอกกลับการเคลมเรื่องเหลือเชื่อที่พิสูจน์ไม่ได้ ด้วยการแสดงขนาดของการพิสูจน์ว่ามันต้องทำเยอะจนเลอะเทอะขนาดไหน เป็นการแสดงว่า การอ้างให้พิสูจน์นี้ ผู้อ้างควรเป็นผู้นำพิสูจน์เอง มิฉะนั้นมันก็เป็นเรื่องไร้สาระ
คนในวงวิทยาศาสตร์ต้องหัดที่จะใช้คำว่า "ไร้สาระ" มากกว่าการปฏิเสธง่ายๆว่า "ไม่มี" หรือ "ไม่จริง" กับเรื่องพวกนี้ เพราะการปฏิเสธ ก็เท่ากับสรุปเกินหลักฐานที่มี การอ้างหลักฐานจากการไม่มีอยู่เป็นเหตุผลวิบัติ ซึ่งคนในวงวิทยาศาสตร์ต้องไม่ทำ
ส่วนปัญหาที่สำคัญของการติดหล่มการปฏิเสธนี้ มาจากการที่มนุษย์เราไม่สามารถยอมรับการไม่รู้ มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใฝ่รู้และจะกระวนกระวายในความไม่รู้ ตรงนี้เอง มันจึงมีการพยายามอธิบาย และเมื่อมีคำอธิบาย มนุษย์ก็ยึดติดกับคำอธิบายแทนที่จะสืบค้นต่อว่า คำอธิบายนี้ เป็นจริงหรือเท็จ ถ้าจะพิสูจน์ ก็เล่นการพิสูจน์ทางเดียวที่สามารถทำได้แค่ยืนยันว่าจริงหรือบอกว่าทำไม่สำเร็จ
ความก้าวหน้าที่แท้จริงของแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ที่เหนือกว่าความเชื่อต่างๆนั้น จึงอยู่ที่การที่วิทยาศาสตร์ยอมรับในความไม่รู้ แทนที่จะติดหล่มการตอบได้อธิบายได้ เราเลือกจะตอบว่าไม่รู้ ไม่ทราบ ดีกว่าไปเชื่องมงายว่ามัน มี หรือ ไม่มี การที่เราไม่รู้นี่มีความหมายมาก เพราะมันแสดงว่าเรายังมีสิ่งให้ทำ ให้ค้นหา ไม่หยุดนิ่ง ถ้าหากเราไม่มีอะไรที่เราไม่รู้เหลืออยู่ โลกของเราก็คงไม่มีงานให้นักวิทยาศาสตร์ทำครับ
เวลาเราเจอสิ่งที่ไม่รู้ คำอ้างที่ไม่มีหลักฐาน ตัวหลักฐานนั่นแหละคือสาระ เพราะมีสาระจึงศึกษาต่อได้ การอ้างที่ไม่มีหลักฐาน ไม่มีหลักการ จึงเรียกว่าไร้สาระครับ ก็ต้องรอจนกว่าคนที่อ้าง จะเจอ สาระ แล้วเอามาคุย พวกคุยไร้สาระเอามายืนยันเป็นจริงได้เป็นตุเป็นตะนี่ งมงาย ครับ
ความคิดเห็นที่ 7
อธิบาย
ยังไม่มีใครใช้วิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์จนได้ผลว่าผีไม่มีอยู่จริง
แปลว่าพิสูจน์ไม่ได้ว่าผีมีหรือไม่มีจริง
กล่าวคือ นักวิทยาศาสตร์ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์เพื่อหาว่าผีมีจริงหรือไม่ ได้คำตอบว่า "ไม่รู้"
พวกที่ไม่ได้เข้าใจวิทยาศาสตร์ จึงเชื่อไปเองว่า "วิทยาศาสตร์บอกว่าผีไม่มีจริง" ทั้งที่ไม่จริง ความจริงคือเขาตอบว่า "ไม่รู้"
ดังนั้น พวกนี้จึงเป็นพวกงมงายทางวิทยาศาสตร์
และ"ผีไม่มีอยู่จริง"เป็นเพียงทฤษฎีที่ไร้การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์
ยังไม่มีใครใช้วิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์จนได้ผลว่าผีไม่มีอยู่จริง
แปลว่าพิสูจน์ไม่ได้ว่าผีมีหรือไม่มีจริง
กล่าวคือ นักวิทยาศาสตร์ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์เพื่อหาว่าผีมีจริงหรือไม่ ได้คำตอบว่า "ไม่รู้"
พวกที่ไม่ได้เข้าใจวิทยาศาสตร์ จึงเชื่อไปเองว่า "วิทยาศาสตร์บอกว่าผีไม่มีจริง" ทั้งที่ไม่จริง ความจริงคือเขาตอบว่า "ไม่รู้"
ดังนั้น พวกนี้จึงเป็นพวกงมงายทางวิทยาศาสตร์
และ"ผีไม่มีอยู่จริง"เป็นเพียงทฤษฎีที่ไร้การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์
ความคิดเห็นที่ 41
อ่านกระทู้นี้แล้วตลกดีครับ
ผมพยายามอ่านหลายรอบ พบว่าสาระที่ จขกท ต้องการจะสื่อก็คือ
คนที่เชื่อแบบฝังหัวหรือด่วนสรุปทั้งที่มันยังไม่มีหลักฐานใดๆชี้ชัด
นั่น คือ ความงมงาย
เพราะดันไปสรุปในสิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้
และเท่าที่อ่านหลายรอบ ก็ยังไม่เห็นมีประโยคไหนที่บอกว่า จขกท เชื่อว่าผีมีจริง เลยแม้แต่นิดเดียว ก็เลยไม่เข้าใจว่าจะมีโพสต์ประเภทประชดประชัน-ดันที่ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเกิดมาได้ยังไง
ผมว่าไอ้การจับประเด็นไม่ได้ แปลความหมายไม่ครบ ทึกทักไปเอง สรุปเองแบบนี้น่ากลัวกว่าเรื่องผีอีกครับ บรื๋ออออออ ><
วิทยาศาสตร์ มันไม่ได้ว่ากันด้วยเรื่อง เชื่อหรือไม่เชื่อ ครับ แต่มันมีแค่ .... มี --- ไม่มี หรือ ไม่รู้ ต่างหาก
ผมพยายามอ่านหลายรอบ พบว่าสาระที่ จขกท ต้องการจะสื่อก็คือ
คนที่เชื่อแบบฝังหัวหรือด่วนสรุปทั้งที่มันยังไม่มีหลักฐานใดๆชี้ชัด
นั่น คือ ความงมงาย
เพราะดันไปสรุปในสิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้
และเท่าที่อ่านหลายรอบ ก็ยังไม่เห็นมีประโยคไหนที่บอกว่า จขกท เชื่อว่าผีมีจริง เลยแม้แต่นิดเดียว ก็เลยไม่เข้าใจว่าจะมีโพสต์ประเภทประชดประชัน-ดันที่ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเกิดมาได้ยังไง
ผมว่าไอ้การจับประเด็นไม่ได้ แปลความหมายไม่ครบ ทึกทักไปเอง สรุปเองแบบนี้น่ากลัวกว่าเรื่องผีอีกครับ บรื๋ออออออ ><
วิทยาศาสตร์ มันไม่ได้ว่ากันด้วยเรื่อง เชื่อหรือไม่เชื่อ ครับ แต่มันมีแค่ .... มี --- ไม่มี หรือ ไม่รู้ ต่างหาก
ความคิดเห็นที่ 72
น่าตกใจที่จับประเด็นกันไม่ได้เลย กลายเป็นเถียงกันเรื่องผีมีจริงหรือไม่มีจริงไปแล้ว -*-
ประเด็นเรื่องนี้มันอยู่ที่คำว่า "งมงาย" ครับ
งมงาย : ก. หลงเชื่อโดยไม่มีเหตุผล หรือโดยไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นหรือเหตุผลของผู้อื่น.
พจนานุกรม ราชบัณฑิตยสถาน
โลกเจริญก้าวหน้ามาถึงทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะงมงายวิทยาศาสตร์ครับ เเต่เจริญก้าวหน้าด้วยเหตุและผล
งมงายเป็นสิ่งลบ ไม่เกิดประโยชน์ไม่ว่าจะกับเรื่องใด
ยกตัวอย่าง ฝั่งคนที่ค้านหัวชนฝาว่าผีไม่มีจริง ไม่รับฟังความเห็นหรือเหตุผลของคนที่เค้าเจอมากับตัวเลยหรืออธิบายไม่ได้ว่าสิ่งที่เค้าเจอคืออะไร แต่ก็ฟันธงว่าผีไม่มีจริงลูกเดียว นั่นคือ งมงายครับ
ยกตัวอย่างฝั่งคนที่เชื่อสุดหัวใจว่าผีมีจริง ไม่ว่าใครจะค้านหรืออธิบายความเป็นไปได้อย่างอื่นก็ไม่สนใจ เชื่ออย่างเดียวว่านั่นคือผี นี่ก็งมงายครับ
ประเด็นมีแค่นี้เอง คนที่ตั้งธงเชื่อโดยยึดเอาเพียงตัวเองเป็นที่ตั้งว่าถ้าฉันไม่เห็นคือไม่มี หรือถ้าฉันเห็นนั่นคือมี โดยไม่ฟังเหตุผลอะไรเลย ไม่ว่าจะฝั่งไหนก็งมงายทั้งคู่ครับ
แล้วไม่งมงายเป็นยังไง ก็คือ ฟังเหตุผลและเปิดโอกาสให้ความเป็นไปได้ไงครับ นี่แหละวิทยาศาสตร์ ...... ครั้งนึงเมื่อนานมาแล้ว คนก็คงเถียงกันว่าโลกกลมจริงหรือเปล่า เมื่อมาถึงคราวที่พิสูจน์ได้ ความจริงก็เปลี่ยน ก็แค่นั้น ใครจะไปคิดว่าวันนี้เราจะคุยกับคนอีกซีกโลกได้ง่ายๆ เรื่องบางเรื่องอาจต้องรอการค้นพบ ซึ่งอาจจะพบหรือไม่พบก็ได้ครับ จะมาตั้งธงเถียงกันไปเพื่ออะไร
.
.
ขอพูดถึงเรื่องผีนิดหน่อย ไอ้ผีที่ผมว่า หากหมายถึงเหมือนในหนังมาหลอกหลอนฆ่าคนควักไส้เลือดสาด ก็คงจะเป็นคนละผีกับที่ผมพบเจอล่ะครับ คำว่าผีของผมคือ เหตุการณ์ที่อธิบายไม่ได้ เช่น จู่ๆลูกบิดประตูห้องนอนก็บิดแกร่กๆนาน จนต้องไปเปิด ปรากฏว่าเปิดไปไม่มีอะไร กลางวันแสกๆ ในบ้านมีคนอยู่สองคน อีกคนอยู่ไกลมาก(ตัดข้อสันนิษฐานเรื่องอีกคนแกล้งไปเถอะครับ เบื่อแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ที่คนคนนึงจะมาบิดประตูพอเราเปิดทันทีคนคนนั้นห่างเราออกไปหลายเมตรแถมอยู่ในอีกห้อง เวลาแค่วินาทีเดียวมนุษย์เราเคลื่อนที่ไม่ได้เร็วขนาดนั้นหรอกครับ) หรือ บ้านผมเอง เมื่อก่อนจะมีเสียงของหล่นใส่หลังคาจนบ้านสะเทือน ดังน่ากลัวจนต้องขั้นไปสำรวจใต้หลังคาก็ปกติ และเสียงก็ดังเกือบทุกวันจนชิน ด้วยความเป็นสถาปนิกก็รีบตรวจสอบรอยร้าวเผื่อเป็นกรณีอาคารทรุดก็ไม่ปรากฏอาการเสียหายแต่อย่างใด จนวันนึงเสียงนั้นก็หายไปเอง ทั้งที่เป็นทาวเฮาส์ใช้โครงสร้างร่วมกันแต่บ้านอื่นหลังติดกันดันไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ พวกเหตุการณ์เหล่านี้ผมวิเคราะห์ด้วยวิทยาศาสตร์แต่กลับหาคำอธิบายไม่ได้ ... ปัจจุบันก็ยังไม่รู้สาเหตุ ผมเองถึงได้บอกว่า แม้จะเจอเรื่องประหลาดๆแบบนี้กับตัว ผมยังไม่กล้าบอกเลยว่าผีมีจริง เพราะไม่รู้ว่าไอ้เหตุการณ์ประหลาดนั้นมันเกิดจากอะไร คนทั้งบ้านคิดไปเองพร้อมกันว่ามีเสียงดัง? เลยจินตนาการพร้อมกันว่าบ้านสะเทือน? ผมคิดไปเองว่าลูกบิดมันบิดเอง? ทั้งที่มันบิดจนถึงตอนเอามือไปจับเปิดแล้วไม่เจอใคร?
.
.
ก็ได้แต่ตอบว่าไม่รู้ครับ เอาตรงๆผมว่าผมไม่มีข้อมูลมากพอจะมายืนยันว่ามันมีจริงหรือไม่มีจริง
.
.
ถึงได้สงสัยว่าคนที่กล้าฟันธงนี่คือ มีข้อมูลมากพอแล้วเหรอครับ? หรือแค่เชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้น?
ประเด็นเรื่องนี้มันอยู่ที่คำว่า "งมงาย" ครับ
งมงาย : ก. หลงเชื่อโดยไม่มีเหตุผล หรือโดยไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นหรือเหตุผลของผู้อื่น.
พจนานุกรม ราชบัณฑิตยสถาน
โลกเจริญก้าวหน้ามาถึงทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะงมงายวิทยาศาสตร์ครับ เเต่เจริญก้าวหน้าด้วยเหตุและผล
งมงายเป็นสิ่งลบ ไม่เกิดประโยชน์ไม่ว่าจะกับเรื่องใด
ยกตัวอย่าง ฝั่งคนที่ค้านหัวชนฝาว่าผีไม่มีจริง ไม่รับฟังความเห็นหรือเหตุผลของคนที่เค้าเจอมากับตัวเลยหรืออธิบายไม่ได้ว่าสิ่งที่เค้าเจอคืออะไร แต่ก็ฟันธงว่าผีไม่มีจริงลูกเดียว นั่นคือ งมงายครับ
ยกตัวอย่างฝั่งคนที่เชื่อสุดหัวใจว่าผีมีจริง ไม่ว่าใครจะค้านหรืออธิบายความเป็นไปได้อย่างอื่นก็ไม่สนใจ เชื่ออย่างเดียวว่านั่นคือผี นี่ก็งมงายครับ
ประเด็นมีแค่นี้เอง คนที่ตั้งธงเชื่อโดยยึดเอาเพียงตัวเองเป็นที่ตั้งว่าถ้าฉันไม่เห็นคือไม่มี หรือถ้าฉันเห็นนั่นคือมี โดยไม่ฟังเหตุผลอะไรเลย ไม่ว่าจะฝั่งไหนก็งมงายทั้งคู่ครับ
แล้วไม่งมงายเป็นยังไง ก็คือ ฟังเหตุผลและเปิดโอกาสให้ความเป็นไปได้ไงครับ นี่แหละวิทยาศาสตร์ ...... ครั้งนึงเมื่อนานมาแล้ว คนก็คงเถียงกันว่าโลกกลมจริงหรือเปล่า เมื่อมาถึงคราวที่พิสูจน์ได้ ความจริงก็เปลี่ยน ก็แค่นั้น ใครจะไปคิดว่าวันนี้เราจะคุยกับคนอีกซีกโลกได้ง่ายๆ เรื่องบางเรื่องอาจต้องรอการค้นพบ ซึ่งอาจจะพบหรือไม่พบก็ได้ครับ จะมาตั้งธงเถียงกันไปเพื่ออะไร
.
.
ขอพูดถึงเรื่องผีนิดหน่อย ไอ้ผีที่ผมว่า หากหมายถึงเหมือนในหนังมาหลอกหลอนฆ่าคนควักไส้เลือดสาด ก็คงจะเป็นคนละผีกับที่ผมพบเจอล่ะครับ คำว่าผีของผมคือ เหตุการณ์ที่อธิบายไม่ได้ เช่น จู่ๆลูกบิดประตูห้องนอนก็บิดแกร่กๆนาน จนต้องไปเปิด ปรากฏว่าเปิดไปไม่มีอะไร กลางวันแสกๆ ในบ้านมีคนอยู่สองคน อีกคนอยู่ไกลมาก(ตัดข้อสันนิษฐานเรื่องอีกคนแกล้งไปเถอะครับ เบื่อแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ที่คนคนนึงจะมาบิดประตูพอเราเปิดทันทีคนคนนั้นห่างเราออกไปหลายเมตรแถมอยู่ในอีกห้อง เวลาแค่วินาทีเดียวมนุษย์เราเคลื่อนที่ไม่ได้เร็วขนาดนั้นหรอกครับ) หรือ บ้านผมเอง เมื่อก่อนจะมีเสียงของหล่นใส่หลังคาจนบ้านสะเทือน ดังน่ากลัวจนต้องขั้นไปสำรวจใต้หลังคาก็ปกติ และเสียงก็ดังเกือบทุกวันจนชิน ด้วยความเป็นสถาปนิกก็รีบตรวจสอบรอยร้าวเผื่อเป็นกรณีอาคารทรุดก็ไม่ปรากฏอาการเสียหายแต่อย่างใด จนวันนึงเสียงนั้นก็หายไปเอง ทั้งที่เป็นทาวเฮาส์ใช้โครงสร้างร่วมกันแต่บ้านอื่นหลังติดกันดันไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ พวกเหตุการณ์เหล่านี้ผมวิเคราะห์ด้วยวิทยาศาสตร์แต่กลับหาคำอธิบายไม่ได้ ... ปัจจุบันก็ยังไม่รู้สาเหตุ ผมเองถึงได้บอกว่า แม้จะเจอเรื่องประหลาดๆแบบนี้กับตัว ผมยังไม่กล้าบอกเลยว่าผีมีจริง เพราะไม่รู้ว่าไอ้เหตุการณ์ประหลาดนั้นมันเกิดจากอะไร คนทั้งบ้านคิดไปเองพร้อมกันว่ามีเสียงดัง? เลยจินตนาการพร้อมกันว่าบ้านสะเทือน? ผมคิดไปเองว่าลูกบิดมันบิดเอง? ทั้งที่มันบิดจนถึงตอนเอามือไปจับเปิดแล้วไม่เจอใคร?
.
.
ก็ได้แต่ตอบว่าไม่รู้ครับ เอาตรงๆผมว่าผมไม่มีข้อมูลมากพอจะมายืนยันว่ามันมีจริงหรือไม่มีจริง
.
.
ถึงได้สงสัยว่าคนที่กล้าฟันธงนี่คือ มีข้อมูลมากพอแล้วเหรอครับ? หรือแค่เชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้น?
แสดงความคิดเห็น
เบื่อพวกงมงายที่ชอบพูดว่า ผีไม่มีจริง, ต้นไม้ไม่มีผีสิง