ขอแชร์ประสบการณ์การรักษา โรคสะเก็ดเงิน เพื่อเป็นวิทยาทานสำหรับคนที่สิ้นหวังกับโรคนี้ครับ ภาค 2

วันนี้ ผมอยากจะมาเล่า และแชร์ประสบการณ์การรักษาโรคสะเก็ดเงินของลูกสาวของผม หลังจากที่ได้เคยแชร์ประสบการณ์การรักษาโรคสะเก็ดเงินในตัวลูกสาวของผมไปแล้ว ปรากฏว่ามีผู้ที่สนใจ ได้ติดต่อสอบถามเข้ามาในข้อความของผมเยอะมากๆ ทำให้ผมรู้ว่า มีผู้ที่ยังต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคสะเก็ดเงินนี้อยู่อีกเป็นจำนวนมาก ผมจึงอยากจะแชร์ประสบการณ์การรักษา ซึ่งผมได้ทำต่อจากกระทู้ที่แล้ว มาเสนอเพื่อเป็นความหวัง และกำลังใจให้กับผู้ป่วยต่อไป

อันนี้เป็นลิ๊งกระทู้แรกของผมนะครับ
http://ppantip.com/topic/31369746

หลังจากที่ลูกสาวของผม ได้รับยาจากคุณหมอสุนทร ทั้งยากิน และยาทา(น้ำมันกะลา) รวมทั้งการงดอาหารหลายๆชนิด ควบคู่กับการออกกำลังกาย ทำให้อาการของโรคสะเก็ดเงินของลูกสาวของผมดีขึ้นอย่างที่ได้กล่าวไปแล้วในกระทู้ที่แล้วนั้น

ตอนแรกผมและแฟนดีใจมากๆ เพราะดูเหมือนการรักษาจะได้ผล ก็ยังคงกินยา และทายาต่อไปเรื่อยๆ แต่พอกินยาและทาน้ำมันกะลาได้ประมาณ 2 เดือนกว่าๆ ลูกสาวของผม (ตอนนั้นอายุประมาณ 7 ปี ) มีอาการอาเจียน กินยาเข้าไปจะอาเจียนออกมาหมด ตัวเหลือง โดยไม่มีสาเหตุ ผมจึงพาลูกสาวของผมไปหาหมอเด็กแผนปัจจุบัน ซึ่งจากการตรวจเลือดของลูกสาวของผม ปรากฏว่า ลูกสาวของผม ตับอักเสบ ค่าตับ ALT/SGPT ขึ้นถึง 288  H (ซึ่งถ้าคนปกติค่าตับต้องไม่เกิน 40 H ) คุณหมอสันนิษฐาน ว่าเป็นเพราะตัวยาหม้อที่ลูกสาวของผมกินอยู่ คงมีสมุนไพรที่มีพิษต่อตับ ซึ่งเด็กตัวเล็กๆนั้น ตับจะทำงานได้ด้อยกว่าของผู้ใหญ่มาก จึงเกิดอาการพิษสะสมดังกล่าว ลูกผมต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาลหลายวัน และผมจำต้องงดให้ยาหม้อกับลูกของผมในทันที 2 อาทิตย์หลังจากที่ผมหยุดให้ยาต้มกับลูก ค่าตับจึงลดลง แต่ยังมีค่าสูงกว่าปกติ จน 1 เดือนผ่านไป ค่าตับของลูกผมถึงจะลงมาจนถึงจุดปกติ


หลังจากหยุดให้ยาต้ม สะเก็ดเงินยังมีอยู่ที่หน้า และที่ข้อศอก ที่ก้น ของลูกผม ผมจึงจำยอมต้องใช้น้ำมันกะลา เพื่อทาบรรเทาสะเก็ดเงินอยู่ แต่เหมือนว่าโรคสะเก็ดเงินที่ไม่ได้ควบคู่ไปกับการกินยาต้ม อาการจะคงที่ คือไม่ได้ขึ้นมามากขึ้น แต่ก็ไม่ยอมหายซะที ผมพยายามปรึกษากับหมอสุนทรีซึ่งเป็นลูกสาวของคุณหมอสุนทร คุณหมอสุนทรีก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่า สมุนไพรอะไรในยาต้มที่ทำให้ค่าตับของลูกสาวของผมขึ้น เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วคุณหมอไม่ได้รักษาเคสที่เป็นเด็กขนาดนี้ เมื่อหมดหนทางรักษาที่จะรักษาต่อกับคุณหมอสุนทรีแล้วทำให้ผมกับแฟนต้องกลับมา หาทางออกให้กับลูกสาวของผมอีกครั้งหนึ่ง

ในครั้งนี้ นอกจากข้อมูลเกี่ยวกับยาสมุนไพรต่างๆแล้ว พวกผมจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษโดยเฉพาะ เรื่องเกี่ยวกับยาสมุนไพรกับปัญหาของตับและไต ผมจึงได้พาน้องไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาลอภัยภูเบศ ซึ่งก็มีหมอและยาที่ใช้รักษา แต่ดูจะมีหลักมากกว่า รักษาอยู่หลายเดือน อาการก็ทรงๆ คือไม่เป็นมากขึ้น แต่ก็ไม่ยอมหายซะที บางจุดที่เป็นอยู่แล้ว พอหายไปก็กลับมาเป็นอีก แต่ไม่ได้ลามไปจุดอื่น รักษาแบบนี้อยู่หลายเดือน

จนเมื่อต้นปี 2558 ผมได้มีโอกาส รู้จักกับ รพ.แม่ฟ้าหลวง ซึ่งเป็น รพ.ของมหาลัยแม่ฟ้าหลวง แต่ตั้งอยู่ที่ ถนนอโศกมนตรี ใกล้ๆกับตึกแกรมมี่ โดยรู้มาว่า โรงพยาบาลนี้ เป็นโรงพยาบาลของหลวง และมีคุณหมออยู่ท่านหนึ่ง ซึ่งรับรักษาโรคสะเก็ดเงินนี้อยู่
เนื่องจาก เป็นโรงพยาบาลหลวง ทำให้ผมกับแฟนปรึกษากันว่า น่าจะลองพาลูกสาวของเราเดินทางไปรักษาดู เพราะน่าจะเชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง พวกเราไม่รอช้า จึงได้เริ่มหาข้อมูลและพาลูกสาวตัวน้อยของเราไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาลแห่งนี้

เมื่อไปถึง พวกเราได้เจอผู้ป่วย คนไข้ที่มารักษาโรคสะเก็ดเงินเยอะมากๆ และหลายๆคนก็ได้ให้ความหวัง และให้ข้อมูลที่มีประโยชน์กับพวกเรา ทำให้พวกเรามีความหวังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และในที่สุดผมก็มีโอกาสได้พบกับคุณหมอผู้รักษา คือ นายแพทย์จรัสศักดิ์ เรืองพีระกุล ซึ่งท่านเป็นหมอผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งได้มีประสบการณ์กับคนไข้โรคสะเก็ดเงินมานาน วันนั้นเป็นวันที่ผมโชคดีมากๆด้วย เพราะเป็นวันแรกที่คุณหมอ ได้ทดลองใช้ยาทารักษาโรคสะเก็ดเงินเป็นวันแรก
โดยแนวทางการรักษาของคุณหมอจรัสศักดิ์ นั้น จะเน้นห้ามใช้ยาที่มีเสตียรอยล์ทุกชนิด ไม่ให้ยากดภูมิ ให้ควบคุมอาหาร ให้ออกกำลังกายให้แข็งแรง อาบแสงแดดช่วงเช้า และช่วงเย็น ซึ่งมี UVB ให้เข้าตู้อบแสง UVB และใช้ยาทาของคุณหมอ
ช่วงแรก ผมเองก็กล้าๆกลัวๆ แต่เห็นว่าเป็นเพียงยาทาเท่านั้น กับให้น้องเข้าตู้เพื่อฉายแสง UVB ซึ่งตั้งค่าแสงไม่รุนแรง (ตั้งค่าเพียง 32 และฉายเพียง 32 วินาทีเท่านั้น) ใน 2 อาทิตย์แรกที่ให้น้องไปฉายแสงและทายา ผมต้องเจาะเลือดลูกของผมไปตรวจค่าตับ และไต เพราะมีบทเรียนจากยาสมุนไพรมาแล้ว แต่ทุกอย่างก็ปกติ
แรกๆผมต้องพาลูกสาวไปกรุงเทพเพื่อฉายแสง อาทิตย์ละ 2 วัน และทายาทุกๆวัน เช้า เย็น แต่ยาทาของคุณหมอจรัสศักดิ์ นั้นใช้ง่าย เพราะไม่มีสี และไม่มีกลิ่นเหม็นติดตัว ทำให้ลูกสาวของผมไปโรงเรียนได้อย่างมีความสุขขึ้น หลังจากทายามาได้ 1 เดือน ผมสังเกตสะเก็ดเงินของลูกสาวผม จะแผ่ออกเป็นวงกว้างขึ้น ซึ่งทำให้ผมไม่สบายใจ แต่คุณหมอจรัสศักดิ์ได้บอกผมไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ในการรักษาช่วงแรกๆ อาการจะกำเริบขึ้นมาบ้าง โดยเฉพาะกับคนที่ได้รับเสตียรอยล์ และยากดภูมิมาเยอะและนาน จะยิ่งมีอาการเยอะมาก บางคนสะเก็ดเงินออกทั้งตัว ปวดไขข้อ ปวดกระดูก แต่พอพ้นช่วงนี้ไปแล้วอาการถึงจะดีขึ้นเป็นลำดับ
หลังจาก 2 เดือน แผลสะเก็ดเงินที่หน้าของลูกสาวของผม ก็เริ่มบางลงๆ แผลที่ก้นเริ่มจางหายไป แผลที่หูเริ่มดีขึ้น เหลือแต่แผลที่หน้ากับข้อศอก โดยเฉพาะที่ข้อศอกซึ่งยังหนาอยู่ ในตอนนี้ ผมก็ยังต้องตรวจเลือดของน้องอยู่ ทุกๆเดือน เพื่อเช็คค่าตับและไต แต่ผลที่ได้ก็ปกติตลอด
หลังจากนั้น สะเก็ดเงินของลูกสาวของผมก็ดีขึ้น บางจุดไม่จำเป็นต้องทายาแล้ว แต่สะเก็ดเงินก็ไม่กลับขึ้นมาใหม่อีกเลย



ระยะเวลา 2 ปีที่ผมและครอบครัวต้องทนทุกข์กับสะเก็ดเงินตัวร้าย จนในที่สุด ก็มีวันที่ผมจะได้เห็นลูกสาวของผม กลับมาหน้าเกลี้ยงเกลาได้อีกครั้ง เคยดูรูปเก่าๆของลูกสาวของผม แล้วน้ำตาไหลเพราะนึกว่าจะไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าเกลี้ยงๆของเค้าอีกแล้ว แต่ในที่สุดก็มีวันนี้ครับ

ต้องขอขอบคุณ คุณหมอจรัสศักดิ์ เรืองพีระกุล ที่อุทิศตนเพื่อผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน และยึดแนวทางในการรักษาอย่างยั่งยืน ให้แนวทางที่จะควบคุม ดูแล และอยู่ร่วมกับสะเก็ดเงินอย่างได้ผล

และต้องขอขอบคุณ พี่ๆน้องๆ ลุง ป้า น้า อา ของกลุ่มไลน์สะเก็ดเงิน รพ.แม่ฟ้าหลวง ทุกๆท่าน ที่แบ่งปัน ประสบการณ์ และความรู้ต่างๆ ที่สำคัญแบ่งปันกำลังใจดีๆให้แก่กันเสมอมา

ผมขอสรุป ข้อปฏิบัติตัวและคำแนะนำสำหรับผู้ป่วยสะเก็ดเงิน จากประสบการณ์ในการรักษาลูกสาวของผม

1. ควรออกกำลังกายและอาบแดดเช้า เย็น ทุกๆวัน วันละประมาณ 30 นาที เพื่อรับรังสี UVB โดยควรอาบแดดในช่วงเวลาตอนเช้าประมาณ 6.00 -7.30 น. และตอนเย็นประมาณ 17.00-18.00 น.
2. ควรจะทายาตามหมอสั่งอย่างเคร่งครัด และไปเข้าตู้อาบรังสี UVB อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 วัน
3. ต้องมีวินัยในการกินสูง ต้องคุมอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่ผู้ป่วยสะเก็ดเงินส่วนใหญ่จะแพ้  อันดับแรกคือ นม และผลิตภัณฑ์ของนมทุกชนิด ไข่ขาว ข้าวสาลี ข้าวโพด อาหารทะเล (เนื่องจากการแพ้อาหารสามารถตรวจได้ โดยส่งผลเลือดไปตรวจกับชุดตรวจอาหารต่างๆ ทำให้ผมทราบคร่าวๆว่า ลูกสาวของผมสามารถและไม่สามารถทานอะไรได้บ้าง ซึ่งมีประโยชน์อย่างมาก เพราะตอนที่ไปรักษากับหมอพื้นบ้าน จะถูกห้ามแบบเหมาเข่ง น้องกินอะไรไม่ได้เลย )
4. ต้องดูแลสุขภาพจิต พักผ่อนอย่างเพียงพอ
5. ถึงแม้ว่า คนเป็นโรคสะเก็ดเงิน จะแพ้อาหาร และแพ้บางอย่างคล้ายๆกันหมด แต่ก็มีบางอย่างที่แต่ละคนแพ้ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นต้องหมั่นทดลอง และสังเกตตัวเองว่า เราเองแพ้อะไรบ้าง เช่นบางคนแพ้คลอรีน บางคนแพ้อากาศ บางคนแพ้น้ำทะเล แต่บางคนอาบน้ำทะเลแล้วกลับดีขึ้น เราจึงต้องหมั่นสำรวจ และสังเกตตัวเองอยู่เสมอ เพื่อที่จะอยู่ด้วยกันกับน้องสะเก็ดเงิน ควบคุมน้องเอาไว้ ในขณะเดียวกันก็จะได้ไม่ต้องวิตกมากมาย เวลาน้องสะเก็ดเงินมาหาเรา เพราะเราพอจะรู้สาเหตุว่าเกิดจากอะไร

ซึ่งผมว่าการปฏิบัติตัวตามแนวทางนี้ ไม่ยากเลยครับ หวังว่าข้อมูลต่างๆที่ผมได้ลง จะมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินต่อไปครับ



อันนี้เป็นคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ คมชัดลึก ที่ได้พูดถึงผลงานของคุณหมอจรัสศักดิ์ครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่