สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
ขอเพิ่มความเห็นอีกนิด เคสแบบนี้ถ้าฟ้องคดีแพ่งสามัญ คดีผู้บริโภค ชนะคดีก็จริงแต่แทบจะไม่ได้เงินคืน ผมแนะนำให้รวบรวมเจ้าหนี้แล้วฟ้องเป็นคดีล้มละลายซึ่งจะมีผลดีกว่าฟ้องคดีแพ่งดังนี้
1. คดีล้มละลายเสียค่าขึ้นศาล 50,000 บาท ค่าใช้จ่ายที่จะต้องทดลองจ่ายไปก่อน 50,000 บาท(หากไม่พอจะเรียกเพิ่ม) แต่ถ้าไปฟ้องคดีแพ่งสามัญจะเสียร้อยละ 2 ของทุนทรัพย์ เคสนี้ทุนทรัพย์ 24 ล้านบาทคำนวณเอาเองว่าต้องเสียเท่าใด แต่ถ้าฟ้องเป็นคดีผู้บริโภคจะไม่เสียค่าขึ้นศาลแต่จะมีผลเสียคือชนะคดีแต่จะไม่ได้เงินคืน
2.เมื่อฟ้องล้มละลาย ศาลจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ชั่วคราวหรือเด็ดขาด ทำให้ไม่สามารถยักย้ายถ่ายเททรัพย์ได้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้ไว้จึงมีหลักประกันว่าจะได้รับการชำระหนี้ แถมยังมีอำนาจไม่ให้กรรมการบริษัทออกไปต่างประเทศด้วยซึ่งจะมีผลมาก
3.เมื่อรวบรวมทรัพย์สินของบริษัทแล้วแต่ปรากฏว่าไม่พอชำระหนี้ ก็จะมีการขอให้กรรมการบริษัทล้มละลายตามบริษัท ส่งทรัพย์สินของกรรมการเข้ามาในกองทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ต่อไป ส่วนผู้ถือหุ้นที่ยังส่งใช้ค่าหุ้นไม่ครบก็จะถูกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกให้ชำระค่าหุ้นต่อไป
สรุป ผมไม่อยากฟังข่าวว่าชาวบ้านฟ้องชนะคดีบริษัท แต่ไม่ได้เงินเลยแม้แต่บาทเดียว ต้องมาเสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายเทียวมาเทียวไปศาลนานเป็นปีอีก ฟังข่าวแบบนี้เมื่อใดมันหดหู่ใจ ฟ้องล้มละลายเถอะครับ
1. คดีล้มละลายเสียค่าขึ้นศาล 50,000 บาท ค่าใช้จ่ายที่จะต้องทดลองจ่ายไปก่อน 50,000 บาท(หากไม่พอจะเรียกเพิ่ม) แต่ถ้าไปฟ้องคดีแพ่งสามัญจะเสียร้อยละ 2 ของทุนทรัพย์ เคสนี้ทุนทรัพย์ 24 ล้านบาทคำนวณเอาเองว่าต้องเสียเท่าใด แต่ถ้าฟ้องเป็นคดีผู้บริโภคจะไม่เสียค่าขึ้นศาลแต่จะมีผลเสียคือชนะคดีแต่จะไม่ได้เงินคืน
2.เมื่อฟ้องล้มละลาย ศาลจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ชั่วคราวหรือเด็ดขาด ทำให้ไม่สามารถยักย้ายถ่ายเททรัพย์ได้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้ไว้จึงมีหลักประกันว่าจะได้รับการชำระหนี้ แถมยังมีอำนาจไม่ให้กรรมการบริษัทออกไปต่างประเทศด้วยซึ่งจะมีผลมาก
3.เมื่อรวบรวมทรัพย์สินของบริษัทแล้วแต่ปรากฏว่าไม่พอชำระหนี้ ก็จะมีการขอให้กรรมการบริษัทล้มละลายตามบริษัท ส่งทรัพย์สินของกรรมการเข้ามาในกองทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ต่อไป ส่วนผู้ถือหุ้นที่ยังส่งใช้ค่าหุ้นไม่ครบก็จะถูกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกให้ชำระค่าหุ้นต่อไป
สรุป ผมไม่อยากฟังข่าวว่าชาวบ้านฟ้องชนะคดีบริษัท แต่ไม่ได้เงินเลยแม้แต่บาทเดียว ต้องมาเสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายเทียวมาเทียวไปศาลนานเป็นปีอีก ฟังข่าวแบบนี้เมื่อใดมันหดหู่ใจ ฟ้องล้มละลายเถอะครับ
แสดงความคิดเห็น
ทำไมบทลงโทษคนโกงจึงเป็นเพียงคำพูดปากเปล่า?
พวกเราส่วนใหญ่เป็นพ่อค้า-แม่ค้ามือใหม่ค่ะ เราเห็นว่าโครงการตลาดบกเวิ้งพระนคร(เวลา บางกอก)ที่อยู่ถนนอ่อนนุช-ลาดกระบังเป็นโครงการที่น่าจะดีเมื่อตอนเริ่มก่อสร้าง เพราะโครงการมีการประชาสัมพันธ์สวยหรู ออกสื่อโฆษณาชวนเชื่อมากมาย เมื่อเข้าไปดูสถานที่จริงมีการก่อสร้างไปบ้างแล้ว ส่วนตัวเป็นหนึ่งในผู้เสียหายที่เข้าไปจองพื้นที่เพื่อเช่า-เซ้ง สัญญาเป็นเวลา 3 ปี ในจำนวนเงิน 2 แสนบาท(ลดแล้ว) 1 ห้อง และแบ่งจ่าย 4 งวดๆละ 5 หมื่นบาท เริ่มสัญญาตั้งแต่ ต้นปี 55 โครงการมีกำหนดแล้วเสร็จประมาณปลายปี 55 แต่ผ่านมา 3 ปี ก็ยังไม่ถึงไหน หนำซ้ำโครงการโดนระงับการก่อสร้างไปแล้ว เราจ่ายไปครบทั้งจำนวนตั้งแต่เริ่มสัญญาจนถึง 4 งวด บางคนจ่ายแค่มัดจำ บางคนจ่ายครบทั้งจำนวนตั้งแต่วันทำสัญญา และมีหลายคนที่จองหลายห้องซึ่งมูลค่าความเสียหายมีตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักล้านต่อคน ซึ่งรวมๆแล้วทั้งหมดทั้งมวลในกลุ่มผู้เสียหายที่รวมตัวกันมาได้ มียอดมูลค่าความเสียหายสูงถึง 24 ล้านบาท!!!
เมื่อต้นปี 57 ผู้เสียหายหลายรายได้ยื่นเรื่องขอคืนเงินเนื่องจากโครงการผิดสัญญา แต่เท่าที่ทราบมีเพียง1-2คน ได้เงินคืนมาไม่กี่หมื่น อีกมากที่ชะตากรรมเดียวกัน คือโดนผลัดไปเรื่อยแล้วก็ไม่ได้คืนเลย เราเริ่มวิ่งเต้นเรื่องร้องเรียนที่สคบ.สมุทรปราการเป็นการส่วนตัวก่อน คำตอบหลังจากที่สคบ.เรียกมาไกล่เกลี่ยคือ "บริษัทฯไม่มีเงิน ถ้าอยากได้ให้ไปฟ้องเอา" สคบ.แนะนำว่าให้เรารวมตัวกลุ่มผู้เสียหายให้ได้มากที่สุดแล้วเดินเรื่องฟ้องร้องเองดีกว่า เพราะเขาทำอะไรต่อไม่ได้แล้ว กลุ่มผู้เสียหายจึงได้มารวมตัวกันและเดินหน้าเรียกร้องเงินคืนด้วยกันตั้งแต่ปี 57 เริ่มตั้งแต่
1.แจ้งความที่สน.ลาดกระบัง เรียกมาไกล่เกลี่ย 2 ครั้ง แต่สรุปทำอะไรไม่ได้เพราะตำรวจสรุปไม่ใช่คดีอาญา
2.แจ้งสื่อ ตู้ปณ.3 ช่อง 3 ขอความช่วยเหลือมาทำข่าว
3.แจ้งสื่อ สถานีประชาชน ช่อง ThaiPBS ออกรายการสดโดยสถานีเชิญ สคบ.กลางและนักกฏหมายมาพูดคุยสดด้วย
4.แจ้ง คสช. และ คสช.มีคำสั่งให้ส่งเรื่องไปที่ สคบ.กลาง
5.แจ้งกองปราบ กองปราบแจ้งว่าไม่สามารถทำอะไรให้ได้ เนื่องจากตำรวจสรุปไม่ใช่คดีอาญา
6.แจ้ง สคบ.กลาง เดินเรื่องถึงขั้นเรียกมาไกล่เกลี่ยแล้ว แต่บริษัทฯตอบเหมือนเดิม สคบ.จึงดำเนินเรื่องถึงขั้นให้พวกเรารอคณะกรรมการและผู้มีอำนาจลงนามเพื่อส่งฟ้อง และเรื่องก็มาหยุดอยู่แค่นี้ ตั้งแต่ปลายปี 57 จนวันนี้ หลายคนในกลุ่มพยายามโทรติดต่อเข้าไปสอบถามที่สคบ.ซึ่งโทรติดยากมาก และคำตอบที่ได้จะเหมือนกัน คือรอรัฐมนตรีเซ็นต์ แต่ยังไม่ได้แต่งตั้ง! รออีกหน่อย ใกล้เซ็นต์แล้ว บลา บลา บลา ..
พวกเราไม่ละความพยายาม เรามีการพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกันตลอด บางคนไปยื่นเรื่องฟ้องร้องเอง แต่งตั้งทนายเองจนถึงขั้นขึ้นศาลแล้วก็ตัดสินว่าชนะด้วย แต่ก็เท่านั้นเพราะบริษัทฯก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่า"ไม่มีเงิน"ศาลก็แนะนำให้ไปสืบทรัพย์เอง สรุปผู้เสียหายก็ต้องเสียเงินเองทั้งขึ้นทั้งล่องแต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้เงินของตัวเองคืน บางรายคดีเป็นเช็คเด้ง(อาญา)ชัดเจนว่าตำรวจต้องไปตามจับให้ ผู้เสียหายถึงขนาดต้องจ้างนักสืบไปเฝ้าบ้านของกรรมการที่มีชื่อในบริษัทฯ แต่พอแจ้งให้ตำรวจรีบมาจับตำรวจกลับโอ้เอ้ สรุปมาจับให้ไม่ได้ปล่อยให้คนโกงนอนเล่นเกมส์แอร์เย็นๆอยู่ในบ้านสบายต่อไป ผู้เสียหายอีกรายซึ่งไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มจริงจังเพราะเขาเป็นเจ้าของที่ดิน ไม่ใช่ผู้เช่า-เซ้งแบบพวกเรา โดนผิดสัญญาเช่าที่บริษัทฯทำไว้กับเขาเหมือนกัน ตามหนี้ไม่ได้และต้องไปฟ้องร้องขอคืนที่ดินของตัวเองเองอีก
ตัวอย่างคดีของพวกเราและคดีที่เกี่ยวข้องแบบนี้ ถามว่ามันถูกต้องเป็นธรรมกับผู้เสียหายหรือคะ???
ทำไมกฏหมายไทยทำได้แค่นี้?
การโดนโกงจะถือว่าเราโง่เองที่เอาเงินไปให้เขาหรือคะ?
บ้านเมืองเราจะไม่มีหน่วยงานใดที่สามารถช่วยเหลือผู้เสียหายแบบพวกเราได้เลยหรือคะ?
ทำไมศาลตัดสินให้เราชนะแล้ว แต่ยังให้เราไปดำเนินเรื่องสืบทรัพย์เอง ทำไมเราต้องไปทำเรื่องยึดทรัพย์เองอีก?
กฏหมายไทยกำลังเอื้อให้คนหันมาโกงกันมากขึ้นหรือเปล่าคะ? (ลองค้นดูก็ได้นะคะ มีโครงการแบบนี้ที่มีเรื่องฟ้องร้องกันเยอะมาก)
เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ไม่พยายามช่วยเหลือผู้เสียหายเท่าที่ควรหรือเปล่าคะ? (เราเกือบจะเหมือนกรณีชาวนาฆ่าตัวตายแล้วนะคะ บางคนในกลุ่มเครียดถึงขั้นหัวใจล้มเหลวเสียชีวิตไปแล้วก็มี)
ขอความเป็นธรรมให้กับพวกเราด้วยเถอะค่ะ!!!