Torm Adventure: จากป่าดงดิบภูเขาไฟ รวันดาและยูกันดา สู่ที่ราบทุ่งซาวันน่า อุทยานแห่งชาติ Queen Elizabeth ตอนที่ 7

เช้าวันที่หกของทริปนี้ ตื่นมา มองออกจากที่นอน เห็นทะเลสาบและภูเขาไฟตั้งตระหง่านเป็นสีชมพูแดง ความงัวเงียหายไปหมด กระโดดออกไปที่ระเบียงดูแสงยามเช้าตอนพระอาทิตย์กำลังขึ้น สวยประทับใจเป็นที่สุด

พอดวงอาทิตย์ลับก้อนเมฆทั้งหลาย แสงสีขาวก็สาดส่องไปทั่วบริเวณ สีชมพูแดงหายไป ทุกอย่างสว่างสีฟ้าสดใสต้อนรับวันใหม่

วันนี้เป็นวันที่ต้องโบกมือลากอริลล่าภูเขาในเขตอุทยานแห่งชาติ เพื่อนั่งรถขึ้นไปทางเหนือของยูกันดา ข้ามเขาหลายสิบลูกจากเขตป่าดงดิบภูเขาไฟสูงเหนือระดับน้ำทะเลหลายพันเมตร ลงไปยังที่ราบลุ่มในเขตทุ่งหญ้าซาวันน่า และทะเลสาบใกล้เขตศูนย์สูตร รวมเป็นระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางโดยรถประมาณ 6 ชั่วโมง ออกเดินทางตอน 8 โมงครึ่ง เส้นทางที่จะขับขึ้นเหนือ ต้องลัดเลาะลงใต้ตามแนวยาวของทะเลสาบ Mutanda ก่อน ซึ่งแม้จะเป็นการขับกลับทางเดิมที่มา แต่ความงามของถนนเลียบทะเลสาบ Mutanda ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นทะเลสาบที่สวยที่สุดในแอฟริกา ไม่ลดน้อยลงแม้แต่นิดเดียว เช้านี้อากาศสดใส สามารถมองเห็นภูเขาไฟเรียงรายถึง 6 ลูกเป็นฉากหลัง ตัดกับผืนน้ำและเกาะกลางทะเลสาบน้อยใหญ่อย่างลงตัว

เมื่อถึงเมือง Kisoro จึงหักขึ้นเหนือ ผ่านหมู่บ้านและไร่นาในหุบเขา เห็นภูเขาไฟ Muhabura ตระหง่านอยู่ทุกมุมมอง ชาวบ้านเลือกตั้งรกรากใกล้เชิงภูเขาไฟเพราะดินดีกว่า เหมาะกับการเพาะปลูก วิวตลอดเส้นทางสวยทุกโค้งที่เลี้ยว อยากจะหยุดภาพไว้ทุกวินาที รถผ่านช่องเขาอีกหลายลูก พอออกจากเมือง ถนนกลับเป็นลูกรัง เลาะไปตามหมู่บ้านเล็กๆ โอบด้วยนาขั้นบันไดเขียวชอุ่ม เด็กวิ่งออกจากกระท่อมโบกมือให้ ลิงเดินตามทาง รถผ่านทะเลสาบใหญ่ Bunyonyi ก่อนจะเลาะข้ามเขาลูกแล้วลูกเล่า เมื่อผ่านเมือง Muko และ Kanungu ถนนกลับมาเป็นลาดยางอย่างดี

ประมาณบ่ายโมงก็ถึงเขตอุทยานแห่งชาติ  Queen Elizabeth National Park (QENP) ซึ่งอยู่ที่ความสูง 900 เมตรจากระดับน้ำทะเล บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปคนละโลก อากาศร้อน ถนนลูกรังเปลี่ยนเป็นถนนฝุ่น ต้นไม้แบบป่าดงดิบและทุ่งนาเขียวขจีหายไปหมด เหลือแต่หญ้าสีทองยาวบนพื้นดิน ต้นอินทผาลัม ต้น acacia และกระบองเพชรที่เป็นทรงพุ่มแต่สูงใหญ่ กลายเป็นบรรยากาศของแอฟริกาที่คุ้นเคย คือแห้งและดูแล้ง ถนนที่ตัดผ่านอุทยานแห่งชาติสามารถเห็นสัตว์ป่าได้ทุกเมื่อ

เราผ่าน Ishasha Reserve ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยาน QENP เป็นที่อาศัยของสิงโตประมาณ 50 ตัว สิงโตในเขตอุทยาน QENP มีความพิเศษไม่เหมือนสิงโตที่อื่นใดในโลก คือปีนต้นไม้ได้ เพื่อไปหากิ่งสบายนอนหนีไอร้อนจากดิน สิงโตพวกนี้เลยได้ชื่อว่าเป็นสิงโตปีนต้นไม้ (tree climbing lions) เราจ้องต้นไม้ทุกต้น แต่ยังไม่เห็นสิงโต เจอแต่ตัว Topis (คล้ายกวางที่ใหญ่แต่มีเขายาวกว่า) ควายป่า (ตัวดำใหญ่และเขาโค้งเป็นรูปกระจับ) ช้างป่าแอฟริกาที่มีหูและตัวใหญ่กว่าช้างเอเชีย และนกกระเรียนประจำชาติยูกันดา Grey Crowned Crane หลายตัว

เข้าอุทยาน QENP จากด้านใต้ ขึ้นเหนือมาถึงทางน้ำใหญ่ กว้างระดับแม่น้ำเจ้าพระยา คือช่องแคบ Kazinga เป็นทางน้ำยาว 32 กิโลเมตรเชื่อมระหว่างทะเลสาบใหญ่ 2 แห่ง ได้แก่ ทะเลสาบ Edward และทะเลสาบ George ถือเป็นศูนย์กลางของอุทยาน QENP และเป็นจุดหมายปลายทางของเราในวันนี้ บ่ายสองโมงครึ่ง เรามาถึงประตูเข้าอุทยาน QENP คนขับรถ Faroug เข้าไปลงทะเบียนจ่ายค่าเข้าอุทยาน แล้วพาเราขึ้นไปบนเนินเขาเหนือทะเลสาบ Edward และช่องแคบ Kazinga เนินนี้เป็นที่ตั้งของโรงแรม Mweya Lodge อันเลื่องชื่อ ด้วยมีที่ตั้งที่มองเห็นทั้งช่องแคบ Kazinga และทะเลสาบ Edward ซึ่งกินอาณาเขตของทั้งยูกันดาและคองโก ที่นี่จะเป็นที่พักของเราในอีก 2 คืนข้างหน้า

Mweya Lodge เป็นโรงแรมสไตล์รีสอร์ทขนาดใหญ่ กินบริเวณกว้างครอบคลุมพื้นที่บนเนินเกือบทั้งหมด ล้อบบี้หลังคาสูงใหญ่ มีผนังกระจกที่เห็นวิวของทะเลสาบเต็มที่ ห้องอาหารขนาดใหญ่ บาร์และที่นั่งด้านนอกสำหรับชมวิว สระว่ายน้ำและระเบียงอาบแดดที่เห็นวิวช่องแคบ ถัดไปเป็นเขตห้องพัก ผนังห้องเป็นกระจกใสเห็นวิวสวย    

อาหารกลางวันเป็นเซ็ทเมนูแบบ 3 จาน โดยมีให้เลือกจานละ 2 อย่าง เราได้สลัด หมูย่าง และขนมเค้ก อร่อยมาก ที่นั่งกินอยู่ที่ชานด้านนอก มองเห็นช่องแคบเป็นแนวยาว และเห็นสัตว์ ทั้งช้าง ควาย และฮิปโป เห็นเป็นจุดดำอยู่ริมน้ำจำนวนนับไม่ถ้วน พรุ่งนี้เราจะได้ไปนั่งเรือล่องช่องแคบเพื่อดูสัตว์ที่อาศัยแหล่งน้ำนี้ในการดำรงชีวิตอย่างใกล้ชิด

กินเสร็จแล้วรีบเข้าห้อง อาบน้ำกำจัดฝุ่นจากการเดินทาง และเตรียมพร้อมออกไปซาฟารีส่องสัตว์ในช่วงบ่าย ตามปกติการไปซาฟารีส่องสัตว์ในประเทศแอฟริกาทั่วไป จะออกตอนเช้ามืดกับตอนเย็น เพื่อหลีกเลี่ยงอากาศร้อน ซึ่งสัตว์ป่าก็จะออกมาหากินในช่วงเช้ามืดและเย็นตอนฟ้าโพล้เพล้ให้เราเห็นมากกว่า แต่เนื่องจากที่นี่มีความพิเศษโดดเด่นของสิงโตปีนต้นไม้ และการล่องเรือในช่องแคบ ทำให้ซาฟารีที่นี่เปลี่ยนจากตอนเย็นเป็นตอนบ่าย ซึ่งเป็นเวลาที่สิงโตมีแนวโน้มจะหนีอากาศร้อนปีนไปนอนบนต้นไม้ และสัตว์ที่อาศัยช่องแคบดำรงชีวิตออกมาหาอาหารริมน้ำพอดี

บ่ายนี้ ซาฟารีในเขตอุทยาน QENP ทางเหนือของช่องแคบประสบความสำเร็จอย่างสูง เรานั่งรถตู้ที่บัดนี้ได้เปิดหลังคาที่ทำพิเศษให้ยกขึ้นได้ออกจนหมดเพื่อให้ยืนขึ้นเห็นสัตว์อย่างชัดเจน ผ่านทะเลสาบน้ำเค็มที่เต็มไปด้วยดินโป่งเป็นที่โปรดปรานของสัตว์ ควายและฮิบโปกินดินกันเป็นฝูง ครอบครัวหมูป่าพ่อแม่ลูกอยู่ในพงหญ้าริมทาง ยูกันดา Kobs  (รูปร่างเหมือนกวางแต่ตัวอรชรท้องขาว) Bushbugs (เหมือนกวางตัวใหญ่สีน้ำตาลอ่อนมีจุดขาว ขี้อายและวิ่งเร็วมาก) ครอบครัว Topis (กวางสีน้ำตาลเข้มมีเขายาว) หลายสิบตัวประดับทุ่งหญ้าซาวันน่ายามแสงอาทิตย์บ่ายสาดส่องเป็นสีทอง และครอบครัวสิงโตที่มีตัวเมีย 3 ตัวและลูกที่โตแล้วอีก 6 ตัว เรายังคงตามล่าหาสิงโตบนต้นไม้ต่อไป และเมื่อเกือบจะหมดหวังที่จะเห็นสิงโตปีนต้นไม้ Faroug คนขับรถที่มีสายตาไวยิ่งกว่าเหยี่ยวก็บอกให้เรามองสิงโตบนต้นกระบองเพชรที่มีกิ่งแผ่กว้างและใบค่อนข้างทึบ ถือว่าเราได้รับการต้อนรับเข้าสู่อุทยานแห่งชาติ QENP ประเทศยูกันดาอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว

จริงๆ แล้วสิงโตและแมวทุกตัวในโลกสามารถปีนต้นไม้ได้ แต่สิงโตที่อาศัยในแถบอื่นทั่วโลกไม่มีเหตุปัจจัยที่จะปีน ที่เป็นเช่นนี้เพราะต้นไม้ในแถบอื่นไม่มีกิ่งก้านแผ่กว้างรอบทิศ อาจมีลำต้นที่สูงเกินไป หรือกิ่งไม่แข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักสิงโต สิงโตที่ปีนต้นไม้คงจะชอบลักษณะกิ่งไม้ที่กลมน่านั่งพักอย่างสบายในช่วงกลางวันที่อากาศบนพื้นดินร้อนจัด ที่นี่แม้ไม่มีต้นไม้เยอะ แต่มีต้นไม้ที่มีคุณลักษณะที่สิงโตชอบปีนอยู่ นั่นคือต้นอินทผาลัม และ Acacia ที่มีลำต้นกลมกิ่งแผ่ ลำต้นไม่สูงเกินไปแต่แข็งแรง และต้นกระบองเพชรที่ไม่เหมือนที่ไหนในโลก คือลำต้นตรงสูง มีกิ่งกลมแผ่เป็นวงกลมรอบทิศ ง่ายต่อการปีน มีใบเขียวเป็นหย่อมเป็นที่หลบแดดได้ดี หนามแทบไม่มีเนื่องจากมีน้ำอุดมสมบูรณ์ กระบองเพชรเลยไม่จำเป็นต้องลดการคายน้ำโดยเปลี่ยนใบเป็นหนามอย่างกระบองเพชรในทะเลทรายทั่วไป ต้นกระบองเพชรที่นี่สูงใหญ่เป็นพุ่มเหมือนต้นไม้ทั่วไป ไม่ใช่แบบที่เห็นกลางทะเลทรายที่ลำต้นเป็นหนามตั้งตรงเด่แต่ไร้ใบ

เจ้าสิงโตตัวผู้ที่หลบแดดนอนเล่นบนกิ่งที่น่าสบายของต้นกระบองเพชรที่สูงประมาณตึก 1 ชั้น และมีศูนย์กลาง canopy กว้างประมาณ 4 เมตรนี้ ดูจากลักษณะแผงคอใหญ่ น่าจะเป็นจ่าฝูงของตัวเมียและลูกๆ ที่เราเห็นไม่ห่างกันนี้ ตอนเราเห็นมัน มันได้ปีนขึ้นไปนอนบนกิ่งกระบองเพชรเรียบร้อย ดูมันไปซักพัก เห็นมันปีนไปเลือกหากิ่งที่สบายกว่า พยายามหาที่สบายนอน ซัก 30 นาที แดดเริ่มร่ม อากาศยามเย็นเริ่มโชยมา สิงโตที่ปีนอยู่บนต้นไม้ก็กระโดดลงมาแล้วเดินตัดทุ่งหญ้าซาวันน่าออกไป

พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน แสงเริ่มหมด ภาพที่เห็นทำให้เราตกใจ มีกลุ่มควายป่า 6 ตัวใหญ่ เดินตรงรี่เข้าไปหาครอบครัวสิงโต 9 ตัวที่เราเจอตอนแรก เราคิดดังๆ ว่าควายโง่เอ๊ย จะเดินไปทางฝูงสิงโตทำไม เดี๋ยวก็โดนกินหรอก ออกมา อย่าเข้าไปนะเจ้าควายเอ๊ย ควาย 6 ตัวนี้ไม่ฟังเลย เดินดุ่ยเข้าไปกลางฝูงสิงโตที่นอนผ่อนอารมณ์อยู่ ผลที่ไม่คาดคิดคือ สิงโตเริ่มลุกขึ้นทีละตัว แทนที่จะพุ่งไปหาควาย กลับเดินช้าๆ หนี ควายเห็นก็รุกหนัก เข้าประจันหน้า สิงโตทั้งฝูงลุกขึ้นและเริ่มเดินหนี ควายป่ายิ่งได้ใจวิ่งเข้าใส่จนฝุ่นคลุ้ง ไม่น่าเชื่อว่าสิงโต 9 ตัววิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศ Faroug บอกว่าพ่อจ่าฝูงไม่อยู่ พวกลูกเมียเลยไม่กล้าสู้ เป็นภาพที่น่าตลกและเสียชาติสิงโตเจ้าป่าเป็นอย่างมาก ซาฟารีวันนี้จบลงแบบสมบูรณ์ครบรส

ถึงโรงแรมก็มืดสนิทแล้ว อากาศเย็นกำลังสบาย อาหารเย็นวันนี้ยังเป็นเซ็ทเมนู 3 จานแสนอร่อย มีสลัดและซุปจากบาร์ให้ตักเอง อาหารจานหลักเป็นปลาจากทะเลสาบรสกลมกล่อม ของหวานเป็นคัสตาด กินเสร็จแล้วเดินย่อยเล็กน้อย รอบตัวมืดสนิทมองไม่เห็นทะเลสาบแล้ว แต่ไฟในโรงแรมยังสว่างไสว พรุ่งนี้เริ่มวันแต่เช้าเพื่อส่องสัตว์ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่