สำนักข่าวซินฮว๋า
ปักกิ่ง 20 ก.ย. 2015
นักข่าว : เวิลด์คัพครั้งนี้แม็ตช์ไหนที่คุณจดจำมากที่สุด?
หลางผิง : จริงๆในแต่ละแม็ตช์ก็มีความหมายในตัวที่ไม่เหมือนกัน ขอแบ่งออกเป็น 3 ช่วง
ช่วงที่ 1 เมืองมัตสุโมโต เป็นช่วงการปรับสภาพทีม เมื่อขาดเสี่ยวฮุ่ยอย่างกะทันหัน ระบบทีมการประสานงานกันในทีม
เกมรับแดนหลัง ความต่อเนื่องในการเล่น เหล่านี้คือสิ่งที่ต้องรีบปรับ
อย่างจูถิงเมื่อก่อนจะมีเสี่ยวฮุ่ยอยู่ข้างๆให้อุ่นใจ เสี่ยวฮุ่ยจะคอยพูดสื่อสารและให้กำลังใจจูถิง จู่ๆเปลี่ยนมาเป็นจางฉางหนิง
เป็นผู้เล่นใหม่ ซึ่งตัวเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอด จูถิงไม่เพียงไม่สามารถพึ่งจางฉางหนิงได้ แต่กลับต้องมีภาระเพิ่มหนักกว่าเดิม
บทบาทหน้าที่ของทุกคนต้องเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน แตกต่างกับตอนที่เราเตรียมตัวกันไว้ในตอนแรก
ดังนั้น ในสนามแรกทีมโค้ชเราต้องรีบมองหาจุดที่สมดุลลงตัวของทีม ต้องทดสอบลองไลน์อัพที่ไม่เหมือนกัน
ถ้าเป็นแบบนี้จะออกผลลัพธ์เป็นแบบไหน ทั้งทีมต้องมีการปรับตัวในตำแหน่งการเล่นของตัวเอง
ฟอร์มการเล่นทั้งโดยรวมของทีมและเฉพาะราย รวมไปถึงต้องดูการปรับเปลี่ยนของทีมคู่แข่งด้วย
ช่วงที่ 1 นี้ถือเป็นช่วงที่ยุ่งยากลำบากที่สุด
ช่วงที่ 2 ดีขึ้นมาหน่อย ยังไงเราก็ผ่านช่วงแรกที่ยากมาได้แล้ว ที่ควรชนะก็ชนะ ทีมที่แข็งหน่อยก็ไม่ชนะ
สนามนี้คู่แข่ง 3 ทีมเป็นทีมอ่อน ขอเพียงเราไม่ทำผิดพลาดเองก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร สภาพทีมก็ปรับจนเริ่มจะเข้าที่
เล่นได้ไหลลื่นดีขึ้น ตอนนี้รู้แล้วว่าไลน์อัพนี้จะให้ผลเป็นยังไง ในสถานการณ์แบบไหนที่เกิดผลเปลี่ยนแปลง
สามารถจะโชว์ฟอร์มการเล่นออกมาได้ประมาณไหน มีความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น สภาพจิตใจนิ่งขึ้น
ช่วงที่ 2 นี้เป็นช่วงที่สำคัญมาก เพราะเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับช่วงที่ 3
ช่วงที่ 3 คือ สู้ยิบตา ทุกคนรับรู้สถานการณ์ดี ตอนที่อเมริกากับรัสเซียยังไม่ได้แข่งกัน 3 แม็ตช์ที่เหลือ
เราต้องสู้เต็มที่ถึงจะมีหวัง แต่ต่อมาเมื่อรัสเซียชนะอเมริกา ความหวังก็เรืองรองขึ้นอีกครั้ง เพราะถ้าชนะได้ทั้ง 3 แม็ตช์
ก็อาจจะได้ถึงแชมป์ ! เป็นสถานการณ์ที่เป็นใจ แต่เราก็ไม่ได้เปลี่ยนความตั้งใจเดิมที่ต้องการชนะหมด
ทั้ง 3 แม็ตช์นั้นเราเตรียมตัวกันอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะกับโดมินิกัน รัสเซียก็เช่นกัน แต่นัดสุดท้ายกับญี่ปุ่น
ไม่ใช่ว่าเราไม่ได้เตรียมกันมาเต็มที่ แต่เพราะทุกคนในใจคิดเยอะไปหน่อย สภาพจิตใจว้าวุ่น คิดอยากชนะแต่ก็กลัวแพ้
คิดอยากจะเป็นแชมป์ไวๆ .... เหล่านี้เป็นต้น แม้ว่าเราจะทำงานกันมากมายก็ตามเถอะ
แต่นัดนี้เรากลับไม่ได้โชว์ฟอร์มได้ตามมาตรฐานของตัวเอง
นักข่าว : หลังจากที่เสี่ยวฮุ่ยป่วย ทำให้คุณไม่มีความมั่นใจใช่หรือไม่?
หลางผิง : กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันก่อนแข่ง แน่นอนว่าย่อมทำให้เกิดความไม่มั่นใจ
แม้ว่าผู้เล่นจะมีเปลี่ยนไปแค่คนเดียว แต่ทำให้โดยรวมมันเปลี่ยนแปลงไปหมด
โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแดนหลัง เมื่อก่อนทีมจีนบอลแรกก็คือจุดอ่อนอยู่แล้ว เมื่อไม่มีเสี่ยวฮุ่ย
บอลแรก บอลรับก็หายไปด้วย เป็นหมากตัวสำคัญทำให้ทีมเกิดมีช่องว่าง
ก็ไม่เชิงว่าไม่มั่นใจ เพียงแต่มันมีเครื่องหมายคำถามเกิดขึ้นให้ต้องขบคิด คือไม่รู้ว่าไลน์อัพนี้เมื่ออยู่ในรายการแข่งขันที่สำคัญแบบนี้
จะสามารถเอาอยู่ได้รึเปล่า? ฟอร์มการเล่นจะเป็นยังไง? และไลน์อัพใหม่นี้ก็ไม่เคยลองมาก่อนด้วย
ก่อนหน้านั้นเราได้จัดแจงตำแหน่งหน้าที่ของผู้เล่นแต่ละคนกันมาอย่างดิบดี แต่ก็มาเกิดเรื่องก่อนแข่ง 3 วัน
ตัวสำรองต้องถูกดันมาเป็นตัวจริง ตัวจริงก็ต้องเปลี่ยนตำแหน่งบทบาทการเล่น
ใน 3 วันนั้นต้องรีบจัดการแก้ปัญหา เป็นงานที่ยากมากจริงๆ
นักข่าว : คุณรู้สึกกังวลไหม?
หลางผิง : ในสถานการณ์แบบนี้กังวลไปก็เท่านั้น เราต้องมาคิดกันว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นตามมาบ้าง
และถ้ามีปัญหาขึ้นจะจัดเปลี่ยนตัวผู้เล่นยังไง ใครจะลงแทนใคร ใครจะมายืนรับบอลแรก ..........
เราจัดเตรียมไลน์อัพไว้ 4 ชุด ตอนฝึกซ้อมเมื่อเจอปัญหาก็หาวิธีแก้ไขกัน ตอนที่เริ่มต้นฝึกซ้อมจนกระทั่งถึงตอนที่ลงแข่งจริง
ก็ยังมีเล่นวุ่นสะเปะสะปะกันอยู่ สภาพจิตใจก็มีสับสนว้าวุ่น ดูแล้วมันฝืนๆไม่เป็นธรรมชาติ
นักข่าว : คุณรู้สึกหวั่นไหวมั๊ย?
หลางผิง : ความรู้สึกหวั่นไหวกลับไม่มี เพียงแต่รู้สึกว่าทำไมมันดูฝืนๆอย่างนี้ ผู้เล่นเองก็รู้สึก
แต่เราคนเป็นโค้ช ถึงจะรู้สึกฝืนก็พูดออกไปไม่ได้ ก็ต้องก้มหน้าก้มตาทำงานให้หนักมากขึ้น
นักข่าว : ครั้งนี้ถือเป็นรายการใหญ่ระดับโลกที่หนักที่สุดครั้งหนึ่งเลยรึเปล่า?
หลางผิง : คงจะยังงั้น เพราะว่าไม่ได้เตรียมตัวมารับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้น จะแข่งกันอยู่รอมร่อ
จู่ๆก็ขาดตัวหลักไป 1 คน และเป็นตัวหลักที่สำคัญด้วย ไม่ใช่เป็นแค่ตบอย่างเดียว
นักข่าว : จากภายนอกที่ดูสงบนิ่ง แต่ในใจคิดหาวิธีแก้ปัญหาตลอด?
หลางผิง : ก็คิดหาวิธีรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้น ในหัวครุ่นคิดอย่างหนัก
นักข่าว : พวกนักกีฬาตอนที่เจอกับปัญหาก็อาจจะหาทางออกด้วยการเขียนบันทึกไดอารี่หรือไม่ก็หาวิธีอื่น
คุณจัดการกับสภาพจิตใจตัวเองยังไงบ้าง?
หลางผิง : ฉันไม่มีวิธีอะไร เข้ามาเลย ! ก็เตรียมตัวให้มากขึ้น พร้อมรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้าที่จะเกิดขึ้น
*** ยังมีต่อ
มาฟังหลางผิงเล่าถึงเรื่องราวในเวิลด์คัพ
ปักกิ่ง 20 ก.ย. 2015
ช่วงที่ 1 เมืองมัตสุโมโต เป็นช่วงการปรับสภาพทีม เมื่อขาดเสี่ยวฮุ่ยอย่างกะทันหัน ระบบทีมการประสานงานกันในทีม
เกมรับแดนหลัง ความต่อเนื่องในการเล่น เหล่านี้คือสิ่งที่ต้องรีบปรับ
อย่างจูถิงเมื่อก่อนจะมีเสี่ยวฮุ่ยอยู่ข้างๆให้อุ่นใจ เสี่ยวฮุ่ยจะคอยพูดสื่อสารและให้กำลังใจจูถิง จู่ๆเปลี่ยนมาเป็นจางฉางหนิง
เป็นผู้เล่นใหม่ ซึ่งตัวเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอด จูถิงไม่เพียงไม่สามารถพึ่งจางฉางหนิงได้ แต่กลับต้องมีภาระเพิ่มหนักกว่าเดิม
ดังนั้น ในสนามแรกทีมโค้ชเราต้องรีบมองหาจุดที่สมดุลลงตัวของทีม ต้องทดสอบลองไลน์อัพที่ไม่เหมือนกัน
ถ้าเป็นแบบนี้จะออกผลลัพธ์เป็นแบบไหน ทั้งทีมต้องมีการปรับตัวในตำแหน่งการเล่นของตัวเอง
ฟอร์มการเล่นทั้งโดยรวมของทีมและเฉพาะราย รวมไปถึงต้องดูการปรับเปลี่ยนของทีมคู่แข่งด้วย
ช่วงที่ 1 นี้ถือเป็นช่วงที่ยุ่งยากลำบากที่สุด
สนามนี้คู่แข่ง 3 ทีมเป็นทีมอ่อน ขอเพียงเราไม่ทำผิดพลาดเองก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร สภาพทีมก็ปรับจนเริ่มจะเข้าที่
เล่นได้ไหลลื่นดีขึ้น ตอนนี้รู้แล้วว่าไลน์อัพนี้จะให้ผลเป็นยังไง ในสถานการณ์แบบไหนที่เกิดผลเปลี่ยนแปลง
สามารถจะโชว์ฟอร์มการเล่นออกมาได้ประมาณไหน มีความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น สภาพจิตใจนิ่งขึ้น
ช่วงที่ 2 นี้เป็นช่วงที่สำคัญมาก เพราะเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับช่วงที่ 3
เราต้องสู้เต็มที่ถึงจะมีหวัง แต่ต่อมาเมื่อรัสเซียชนะอเมริกา ความหวังก็เรืองรองขึ้นอีกครั้ง เพราะถ้าชนะได้ทั้ง 3 แม็ตช์
ก็อาจจะได้ถึงแชมป์ ! เป็นสถานการณ์ที่เป็นใจ แต่เราก็ไม่ได้เปลี่ยนความตั้งใจเดิมที่ต้องการชนะหมด
ทั้ง 3 แม็ตช์นั้นเราเตรียมตัวกันอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะกับโดมินิกัน รัสเซียก็เช่นกัน แต่นัดสุดท้ายกับญี่ปุ่น
ไม่ใช่ว่าเราไม่ได้เตรียมกันมาเต็มที่ แต่เพราะทุกคนในใจคิดเยอะไปหน่อย สภาพจิตใจว้าวุ่น คิดอยากชนะแต่ก็กลัวแพ้
คิดอยากจะเป็นแชมป์ไวๆ .... เหล่านี้เป็นต้น แม้ว่าเราจะทำงานกันมากมายก็ตามเถอะ
แต่นัดนี้เรากลับไม่ได้โชว์ฟอร์มได้ตามมาตรฐานของตัวเอง
แม้ว่าผู้เล่นจะมีเปลี่ยนไปแค่คนเดียว แต่ทำให้โดยรวมมันเปลี่ยนแปลงไปหมด
โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแดนหลัง เมื่อก่อนทีมจีนบอลแรกก็คือจุดอ่อนอยู่แล้ว เมื่อไม่มีเสี่ยวฮุ่ย
บอลแรก บอลรับก็หายไปด้วย เป็นหมากตัวสำคัญทำให้ทีมเกิดมีช่องว่าง
จะสามารถเอาอยู่ได้รึเปล่า? ฟอร์มการเล่นจะเป็นยังไง? และไลน์อัพใหม่นี้ก็ไม่เคยลองมาก่อนด้วย
ก่อนหน้านั้นเราได้จัดแจงตำแหน่งหน้าที่ของผู้เล่นแต่ละคนกันมาอย่างดิบดี แต่ก็มาเกิดเรื่องก่อนแข่ง 3 วัน
ตัวสำรองต้องถูกดันมาเป็นตัวจริง ตัวจริงก็ต้องเปลี่ยนตำแหน่งบทบาทการเล่น
ใน 3 วันนั้นต้องรีบจัดการแก้ปัญหา เป็นงานที่ยากมากจริงๆ
และถ้ามีปัญหาขึ้นจะจัดเปลี่ยนตัวผู้เล่นยังไง ใครจะลงแทนใคร ใครจะมายืนรับบอลแรก ..........
เราจัดเตรียมไลน์อัพไว้ 4 ชุด ตอนฝึกซ้อมเมื่อเจอปัญหาก็หาวิธีแก้ไขกัน ตอนที่เริ่มต้นฝึกซ้อมจนกระทั่งถึงตอนที่ลงแข่งจริง
ก็ยังมีเล่นวุ่นสะเปะสะปะกันอยู่ สภาพจิตใจก็มีสับสนว้าวุ่น ดูแล้วมันฝืนๆไม่เป็นธรรมชาติ
แต่เราคนเป็นโค้ช ถึงจะรู้สึกฝืนก็พูดออกไปไม่ได้ ก็ต้องก้มหน้าก้มตาทำงานให้หนักมากขึ้น
จู่ๆก็ขาดตัวหลักไป 1 คน และเป็นตัวหลักที่สำคัญด้วย ไม่ใช่เป็นแค่ตบอย่างเดียว
คุณจัดการกับสภาพจิตใจตัวเองยังไงบ้าง?
*** ยังมีต่อ