พระสารีบุตรพอที่จะบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายซึ่ง อริยสัจ ๔ ได้โดยพิสดาร

กระทู้สนทนา
ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ป่าอิสิปตนมิคทายวัน เขตเมืองพาราณสี
สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว ฯ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ได้ประกาศธรรมจักรอันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า
ที่ป่าอิสิปตนมิคทายวัน เขตเมืองพาราณสี อันสมณะ หรือพราหมณ์ หรือเทวดา หรือมาร หรือพรหม หรือใครๆในโลก ยังไม่เคยประกาศ
ได้แก่ บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายซึ่ง อริยสัจ ๔ อริยสัจ ๔ เหล่าไหน คือ

บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายซึ่ง ทุกขอริยสัจ
บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายซึ่ง ทุกขสมุทัยอริยสัจ
บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายซึ่ง ทุกขนิโรธอริยสัจ
บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายซึ่ง ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ

ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ได้ประกาศธรรมจักรอันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า
ที่ป่าอิสิปตนมิคทายวัน เขตเมืองพาราณสี อันสมณะหรือพราหมณ์ หรือเทวดา หรือมาร หรือพรหม หรือใครๆ ในโลก ยังไม่เคยประกาศ
ได้แก่ บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายซึ่ง อริยสัจ ๔ นี้


ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเสพ จงคบสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด
ทั้งสองรูปนี้เป็นบัณฑิตภิกษุ ผู้อนุเคราะห์ผู้ร่วมประพฤติพรหมจรรย์

สารีบุตรเปรียบเหมือนผู้ให้กำเนิด โมคคัลลานะเปรียบเหมือนผู้บำรุงเลี้ยงทารกที่เกิดแล้ว
สารีบุตรย่อมแนะนำในโสดาปัตติผล โมคคัลลานะย่อมแนะนำในผลชั้นสูง
สารีบุตรพอที่จะบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายซึ่ง อริยสัจ ๔ ได้โดยพิสดาร

พระผู้มีพระภาคผู้พระสุคต ได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว เสด็จลุกจากอาสนะเข้าไปยังพระวิหาร ฯ

ขณะนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน พระสารีบุตรได้เรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวดังนี้ว่า


ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธ ได้ประกาศธรรมจักรอันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า
ที่ป่าอิสิปตนมิคทายวัน เขตเมืองพาราณสี อันสมณะ หรือพราหมณ์ หรือเทวดา หรือมาร หรือพรหม หรือใครๆ ในโลก ยังไม่เคยประกาศ
ได้แก่ บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายซึ่ง อริยสัจ ๔ อริยสัจ ๔ เหล่าไหน คือ

บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายซึ่ง ทุกขอริยสัจ
บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายซึ่ง ทุกขสมุทัยอริยสัจ
บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายซึ่ง ทุกขนิโรธอริยสัจ
บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายซึ่ง ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ


ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ทุกขอริยสัจ เป็นไฉน คือ

ชาติก็เป็นทุกข์ ชราก็เป็นทุกข์ มรณะก็เป็นทุกข์ โสกะปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสและอุปายาส ก็เป็นทุกข์
ความไม่ได้สมปรารถนาก็เป็นทุกข์ โดยประมวลแล้ว อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ฯ

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ชาติ เป็นไฉน ได้แก่
ความเกิด ความเกิดพร้อม ความหยั่งลง ความบังเกิด ความบังเกิดเฉพาะ ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้เฉพาะซึ่งอายตนะ
ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลายนั้นๆ นี้เรียกว่า ชาติ ฯ

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ชรา เป็นไฉน ได้แก่
ความแก่ ความคร่ำคร่า ความเป็นผู้มีฟันหัก มีผมหงอก มีหนังย่น ความเสื่อมอายุ ความหง่อมแห่งอินทรีย์
ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลายนั้นๆ นี้เรียกว่า ชรา ฯ

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็มรณะ เป็นไฉน ได้แก่
ความจุติ ความเคลื่อนไป ความแตก ความอันตรธาน ความตาย
ความมรณะ การทำกาละ ความสลายแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งร่าง ความขาดชีวิตินทรีย์
จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลายนั้นๆ นี้เรียกว่า มรณะ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็โสกะ เป็นไฉน ได้แก่
ความโศก ความเศร้า ความเหี่ยวแห้งใจ ความเหี่ยวแห้งภายใน ความเหี่ยวแห้งรอบในภายใน
ของบุคคลผู้ประจวบกับความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง อันเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องแล้ว นี้เรียกว่า โสกะ ฯ

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ปริเทวะ เป็นไฉน ได้แก่
ความรำพัน ความร่ำไร กิริยารำพัน กิริยาร่ำไร ลักษณะที่รำพัน ลักษณะที่ร่ำไร
ของบุคคลที่ประจวบกับความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง อันเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องแล้ว นี้เรียกว่า ปริเทวะ ฯ

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ทุกขะ เป็นไฉน ได้แก่
ความลำบากกาย ความไม่สบายกาย ความเสวยอารมณ์ที่ลำบาก ที่ไม่สบาย อันเกิดแต่สัมผัสทางกาย นี้เรียกว่า ทุกขะ ฯ

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็โทมนัส เป็นไฉน ได้แก่
ความลำบากใจ ความไม่สบายใจ ความเสวยอารมณ์ที่ลำบาก ที่ไม่สบาย อันเกิดแต่สัมผัสทางใจ นี้เรียกว่า โทมนัส ฯ

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็อุปายาส เป็นไฉน ได้แก่
ความคับใจ ความแค้นใจ ลักษณะที่คับใจ ลักษณะที่แค้นใจ
ของบุคคลผู้ประจวบกับความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง อันเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องแล้ว นี้เรียกว่า อุปายาส ฯ

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ความไม่ได้สมปรารถนาเป็นทุกข์ เป็นไฉน ได้แก่
สัตว์ทั้งหลายผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา เกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า
..โอหนอ ขอเราอย่าต้องเกิดเป็นธรรมดา และความเกิดอย่าพึงมาถึงเราเลย
อันข้อนี้ ใครๆ จะสำเร็จตามความปรารถนาไม่ได้เลย แม้นี้ก็ชื่อว่า ความไม่ได้สมปรารถนาเป็นทุกข์
สัตว์ทั้งหลายผู้มีความแก่เป็นธรรมดา เกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า
..โอหนอ ขอเราอย่าต้องแก่เป็นธรรมดา และความแก่อย่าพึงมาถึงเราเลย
อันข้อนี้ ใครๆ จะสำเร็จตามความปรารถนาไม่ได้เลย แม้นี้ก็ชื่อว่า ความไม่ได้สมปรารถนาเป็นทุกข์
สัตว์ทั้งหลายผู้มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา เกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า
..โอหนอ ขอเราอย่าต้องเจ็บไข้เป็นธรรมดา และความเจ็บไข้อย่าพึงมาถึงเราเลย
อันข้อนี้ ใครๆ จะสำเร็จตามความปรารถนาไม่ได้เลย แม้นี้ก็ชื่อว่า ความไม่ได้สมปรารถนาเป็นทุกข์
สัตว์ทั้งหลายผู้มีความตายเป็นธรรมดา เกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า
..โอหนอ ขอเราอย่าต้องตายเป็นธรรมดา และความตายอย่าพึงมาถึงเราเลย
อันข้อนี้ ใครๆ จะสำเร็จตามความปรารถนาไม่ได้เลย แม้นี้ก็ชื่อว่า ความไม่ได้สมปรารถนาเป็นทุกข์
สัตว์ทั้งหลายผู้มีโสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาสเป็นธรรมดา เกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า
..โอหนอ ขอเราอย่าต้องมีโสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาสเป็นธรรมดา
และโสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาสอย่าพึงมาถึงเราเลย
อันข้อนี้ ใครๆ จะสำเร็จตามความปรารถนาไม่ได้เลย แม้นี้ก็ชื่อว่า ความไม่ได้สมปรารถนาเป็นทุกข์ ฯ

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็โดยประมวลแล้ว อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ เป็นไฉน คืออย่างนี้
อุปาทานขันธ์ คือรูป คือเวทนา คือสัญญา คือสังขาร คือวิญญาณ
เหล่านี้ชื่อว่า โดยประมวลแล้ว อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ฯ

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ทุกขอริยสัจ


ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ทุกขสมุทัยอริยสัจ เป็นไฉน ได้แก่

ตัณหาที่นำไปสู่ภพใหม่ สหรคตด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจความยินดี
อันมีความเพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

นี้เรียกว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจ


ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ทุกขนิโรธอริยสัจ เป็นไฉน ได้แก่

ความดับด้วยอำนาจคลายกำหนัดไม่มีส่วนเหลือ
ความสละ ความสลัดคืน ความปล่อย ความไม่มีอาลัย ซึ่งตัณหานั้นนั่นแล

นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธอริยสัจ


ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ เป็นไฉน ได้แก่

มรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐนี้แล ซึ่งมีดังนี้
สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจาสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ฯ

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฐิ เป็นไฉน ได้แก่
ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในทุกขสมุทัย ความรู้ในทุกขนิโรธ ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
นี้เรียกว่า สัมมาทิฐิ ฯ

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สัมมาสังกัปปะ เป็นไฉน ได้แก่
ความดำริ ในเนกขัมมะ ความดำริในอันไม่พยาบาท ความดำริในอันไม่เบียดเบียน
นี้เรียกว่า สัมมาสังกัปปะ ฯ

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สัมมาวาจา เป็นไฉน ได้แก่
เจตนาเป็นเครื่องงดเว้น จากพูดเท็จ จากพูดส่อเสียด จากพูดคำหยาบ จากเจรจาเพ้อเจ้อ
นี้เรียกว่า สัมมาวาจา ฯ

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สัมมากัมมันตะ เป็นไฉน ได้แก่
เจตนาเป็นเครื่องงดเว้น จากปาณาติบาต จากอทินนาทาน จากกาเมสุมิจฉาจาร
นี้เรียกว่า สัมมากัมมันตะ ฯ

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สัมมาอาชีวะ เป็นไฉน คือ
อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ละมิจฉาชีพแล้ว สำเร็จความเป็นอยู่ด้วยสัมมาชีพ
นี้เรียกว่า สัมมาอาชีวะ ฯ

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สัมมาวายามะ เป็นไฉน คือ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมให้เกิดฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต ตั้งจิตไว้
เพื่อไม่ให้อกุศลธรรมอันลามก ที่ยังไม่เกิดได้เกิดขึ้น ๑
เพื่อละอกุศลธรรมอันลามก ที่เกิดขึ้นแล้วเสีย ๑
เพื่อให้กุศลธรรม ที่ยังไม่เกิดขึ้นได้เกิดขึ้น ๑
เพื่อความตั้งมั่นไม่ฟั่นเฝือ เพิ่มพูน ไพบูลย์ เจริญ และบริบูรณ์ ของกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ๑
นี้เรียกว่า สัมมาวายามะ ฯ

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สัมมาสติ เป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกาย มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่
เป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่
เป็นผู้พิจารณาเห็นจิตในจิต มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่
เป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรม มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่
นี้เรียกว่า สัมมาสติ ฯ

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สัมมาสมาธิ เป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่
เธอบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่
เธอมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยกาย เพราะปีติสิ้นไป
บรรลุตติยฌานที่พระอริยทั้งหลาย สรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข
เธอบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์
และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
นี้เรียก ว่าสัมมาสมาธิ ฯ

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ


ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ได้ทรงประกาศธรรมจักรอันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า
ที่ป่าอิสิปตนมิคทายวัน เขตเมืองพาราณสี อันสมณะ หรือพราหมณ์ หรือเทวดา หรือมาร หรือพรหม หรือใครๆ ในโลก ยังไม่เคยประกาศ
ได้แก่ ทรงบอก ทรงแสดง ทรงบัญญัติ ทรงแต่งตั้ง ทรงเปิดเผย ทรงจำแนก ทรงทำให้ง่าย ซึ่งอริยสัจ ๔ นี้

ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวดังนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดีภาษิตของท่านพระสารีบุตรแล ฯ


ภิกษุทั้งหลาย ! พวกภิกษุในธรรมวินัยนี้ เล่าเรียนสูตรอันถือกันมาถูก ด้วยบทพยัญชนะที่ใช้กันถูก ความหมายแห่งบทพยัญชนะที่ใช้กันก็ถูก ย่อมมีนัยอันถูกต้องเช่นนั้น.
ภิกษุทั้งหลาย ! นี่เป็นมูลกรณีที่หนึ่ง ซึ่งทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=10&A=6555&Z=6764
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=14&A=9020&Z=9160

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่