คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 54
กรณีถูกเนรเทศห้ามเข้าประเทศ 5 ปีนะ
ผมเข้าใจว่า ศาลไม่ได้มีคําสั่งครับ แต่ ตม ใช้ระเบียบของตมเองนะครับ
ลูกความผมเองเคยถูกจับ ศาลลงโทษปรับ พอออกมาจากศาล ตมมาดักจับและส่งออก
ที่นี้ตามระเบียบตม หากผมจําไม่ผิด ต้องอุทธรณ์ภายใน 24 ชั่วโมง
ถามว่าเวลาแค่ 24 ชั่วโมง ใครจะไปอุทธรณ์ได้ทันละครับ ต่อให้ซุปเปอร์แมนอีก
แถมเวลาไปเยี่ยม ผมยังโดนลูกเล่นเต็มไปหมด
จริง ๆ หลังจากศาลมีคําสั่งปล่อยตัวแล้ว หาก ตม เอาไปกักขังหรือควบคุม
ทนายความนะต้องรีบไปร้องศาลตาม ป.วิ.อาญามาตรา 90 แต่ปัญหาคือ ไม่ทันครับ
ในกรณีตาม จขกท ผมมองว่า ต้องให้ฝรั่งที่อยู่ต่างประเทศนะมอบอํานาจให้
ทนายความร้องศาลปกครองเพื่อเพิกถอนการBlacklist ครับ
แต่หากเป็นไปได้ อยู่เบลเยี่ยมดีที่สุดครับ
คนต่างชาติที่เข้ามาประทเศไทย จะมีกฎหมาย 3 ฉบับที่เกี่ยวข้อง คือ
พรบ คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522
พรบ การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 2542
พรบ การทํางานของคนต่างด้าว 2551
มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง 2 หน่วยงานคือ ตมและกระทรวงแรงงาน
ยังไม่นับคําสั่งสํานักงานตํารวจแห่งชาติ บวกระเบียบต่าง ๆ ของ ตม
ในส่วนของนักกฎหมาย ผมมองว่าระเบียบต่าง ๆ ที่ออกมาต้องไม่ขัดกับ พรบ ครับ
ระเบียบไม่ใช้กฎหมายครับ ระเบียบจะใหญ่กว่ากฎหมายได้อย่างไร นี้คือปัญหาของประเทศนี้ครับ
ผมเข้าใจว่า ศาลไม่ได้มีคําสั่งครับ แต่ ตม ใช้ระเบียบของตมเองนะครับ
ลูกความผมเองเคยถูกจับ ศาลลงโทษปรับ พอออกมาจากศาล ตมมาดักจับและส่งออก
ที่นี้ตามระเบียบตม หากผมจําไม่ผิด ต้องอุทธรณ์ภายใน 24 ชั่วโมง
ถามว่าเวลาแค่ 24 ชั่วโมง ใครจะไปอุทธรณ์ได้ทันละครับ ต่อให้ซุปเปอร์แมนอีก
แถมเวลาไปเยี่ยม ผมยังโดนลูกเล่นเต็มไปหมด
จริง ๆ หลังจากศาลมีคําสั่งปล่อยตัวแล้ว หาก ตม เอาไปกักขังหรือควบคุม
ทนายความนะต้องรีบไปร้องศาลตาม ป.วิ.อาญามาตรา 90 แต่ปัญหาคือ ไม่ทันครับ
ในกรณีตาม จขกท ผมมองว่า ต้องให้ฝรั่งที่อยู่ต่างประเทศนะมอบอํานาจให้
ทนายความร้องศาลปกครองเพื่อเพิกถอนการBlacklist ครับ
แต่หากเป็นไปได้ อยู่เบลเยี่ยมดีที่สุดครับ
คนต่างชาติที่เข้ามาประทเศไทย จะมีกฎหมาย 3 ฉบับที่เกี่ยวข้อง คือ
พรบ คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522
พรบ การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 2542
พรบ การทํางานของคนต่างด้าว 2551
มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง 2 หน่วยงานคือ ตมและกระทรวงแรงงาน
ยังไม่นับคําสั่งสํานักงานตํารวจแห่งชาติ บวกระเบียบต่าง ๆ ของ ตม
ในส่วนของนักกฎหมาย ผมมองว่าระเบียบต่าง ๆ ที่ออกมาต้องไม่ขัดกับ พรบ ครับ
ระเบียบไม่ใช้กฎหมายครับ ระเบียบจะใหญ่กว่ากฎหมายได้อย่างไร นี้คือปัญหาของประเทศนี้ครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 23
คุณ จขกท. หากเรื่องที่กล่าวมา เพื่อนของคุณมีเอกสารชัดเจน ในทุกๆเรื่อง ไม่ทำเรื่องผิดกฏหมาย ร้ายแรงอื่นๆ
ยินดี ให้ความช่วยเหลือ แนะนำช่องทางต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ เพื่อเรียกสิทธิ์ต่างๆกลับคืนมา โดยชอบธรรม
ทั้งนี้ จะต้องขึ้นอยู่กับ ข้อมูลเท็จจริง และเอกสารต่างๆ ตามที่คุณกล่าวมาจริง
กฏหมายธุรกิจ ก็อีกอย่าง กฏหมายแรงงานก็อีกอย่าง และกฏหมายอื่นๆที่ข้องเกี่ยวมันก็อีกหลายๆอย่าง
ที่ทั้งสองสามีภรรยาจะต้องเข้าใจ และรู้เท่าทัน ผู้นำกฏหมายมาใช้ อย่าได้เชื่อใจนักกฏหมายโดยเด็ดขาด เพราะ
เคยมีประสบการณ์มาด้วยตนเอง ในช่วงเวลาเดียวกัน กับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเพื่อน จขกท.
ความซับซ้อนมันมีอยู่เยอะมากๆ จากหลายๆกลุ่มคน หลายๆฝ่ายๆ เข้าใจในสถานการณ์ที่เพื่อนคุณพบ เป็น
เรื่องปกติ หากเส้นไม่ใหญ่จริง อย่าคิดลงทุนในประเทศไทย คุณโดนลุมกินโต๊ะแน่ๆ หากเป็นตาสี ตาสา หลังไมค์
มาได้เลยค่ะ ถ้าทำถูกต้อง แม้ไม่รู้ก็สามารถเรียนรู้ แก้ไขได้ อย่างแน่นอน บางมุมประเทศไทย ก็ยังมีความ
สวยงาม น่าอยู่กว่าประเทศอื่นๆ ยินดีค่ะ
ยินดี ให้ความช่วยเหลือ แนะนำช่องทางต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ เพื่อเรียกสิทธิ์ต่างๆกลับคืนมา โดยชอบธรรม
ทั้งนี้ จะต้องขึ้นอยู่กับ ข้อมูลเท็จจริง และเอกสารต่างๆ ตามที่คุณกล่าวมาจริง
กฏหมายธุรกิจ ก็อีกอย่าง กฏหมายแรงงานก็อีกอย่าง และกฏหมายอื่นๆที่ข้องเกี่ยวมันก็อีกหลายๆอย่าง
ที่ทั้งสองสามีภรรยาจะต้องเข้าใจ และรู้เท่าทัน ผู้นำกฏหมายมาใช้ อย่าได้เชื่อใจนักกฏหมายโดยเด็ดขาด เพราะ
เคยมีประสบการณ์มาด้วยตนเอง ในช่วงเวลาเดียวกัน กับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเพื่อน จขกท.
ความซับซ้อนมันมีอยู่เยอะมากๆ จากหลายๆกลุ่มคน หลายๆฝ่ายๆ เข้าใจในสถานการณ์ที่เพื่อนคุณพบ เป็น
เรื่องปกติ หากเส้นไม่ใหญ่จริง อย่าคิดลงทุนในประเทศไทย คุณโดนลุมกินโต๊ะแน่ๆ หากเป็นตาสี ตาสา หลังไมค์
มาได้เลยค่ะ ถ้าทำถูกต้อง แม้ไม่รู้ก็สามารถเรียนรู้ แก้ไขได้ อย่างแน่นอน บางมุมประเทศไทย ก็ยังมีความ
สวยงาม น่าอยู่กว่าประเทศอื่นๆ ยินดีค่ะ
ความคิดเห็นที่ 22
เราและสามีนี่ศึกษากฎหมายกฎระเบียบอะไรต่างๆที่เมืองไทยเยอะมาก เกี่ยวกับพวกการเงินการลงทุน การทำธุรกรรมต่างๆ และได้คุยกับคนต่างชาติที่อาศัยอยู่ไทยและมีกิจการต่างๆเยอะหลายราย บางรายก็อยู่ได้ดีมีความสุขมาเป็นสามสิบสี่สิบปีแล้ว แต่บางรายก็ไม่ได้อยู่แบบสบายๆ คือคิดว่าคนตรงๆ และซื่อๆ จะอยู่เมืองไทยลำบาก ต้องเป็นพวกรู้มาก และหัวหมอ ถึงจะเอาตัวรอดได้ นี่คือการวิเคราะห์จากการพูดคุยปรึกษากับคนที่อยู่ไทยและทำธุระกิจที่นั่นนะ
เข้ามาเพิ่มเติมอีกอย่างว่า ประเทศไทย กฎหมายมันมีช่องโหว่มาก และมันเอื้อประโยชน์ต่อพวกหัวหมอ และรู้จักสับหลีกดีๆ ถึงได้มีพวกต่างชาติหัวหมออยู่กันได้ คนดีๆ คนที่ทำตามกฎตรงไปตรงมาจะอยู่ลำบาก และรู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
เข้ามาเพิ่มเติมอีกอย่างว่า ประเทศไทย กฎหมายมันมีช่องโหว่มาก และมันเอื้อประโยชน์ต่อพวกหัวหมอ และรู้จักสับหลีกดีๆ ถึงได้มีพวกต่างชาติหัวหมออยู่กันได้ คนดีๆ คนที่ทำตามกฎตรงไปตรงมาจะอยู่ลำบาก และรู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
แสดงความคิดเห็น
เมื่อเพื่อนฝรั่งเราโดนเนรเทศ เพราะคนเห็นเเก่ตัวบางคน
ขอสอบถามและแชร์ประสบการณ์อันโหดร้ายในไทย (หากผิดกฎ ต้องขอโทษด้วยนะคะ)
ขอแทนตัวเองว่าเรานะคะ เรามีสามีเป็นชาวเบลเยี่ยม เมื่อประมาณตุลาคม 2013 เราและสามีได้ตกลงย้ายถิ่นฐานมาอยู่ไทยเป็นการถาวร แต่เรายังไม่ได้จดทะเบียนสมรสในขณะนั้น สามีตัดสินใจขายทุกอย่างที่เบลเยี่ยม เพื่อจะได้มาใช้ชีวิตกับเราที่ไทย (และเราเองที่ไม่อยากไปอยู่ทางโน้น เพราะอากาศหนาว และอาจต้องปรับตัวอีกหลายๆอย่าง) ปีแรกสามีมีหนังสือเชิญให้มาทำงานที่ร้านอาหาร ตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการ จึงได้วีซ่า non B 1 ปี ระหว่างที่สามีทำงานอยู่ร้านอาหาร เราได้ไปสมัครงานอีกจังหวัดนึงที่ใกล้กับจังหวัดที่สามีทำงาน วันหยุดสามีก็ไปรับกลับบ้าน ซึ่งขณะนั้น เจ้าของร้านอาหารซึ่งเคยยืมเงินสามีและไม่มีเงินคืน จึงขายบ้านพร้อมที่ดินให้เรา สามีช่วยซื้อเพราะเค้าคอยพูดกับสามีตลอดว่า เค้าติดหนี้ธนาคาร ต้องจ่ายดอกเบี้ย หาเงินไม่ทัน ซึ่งตอนแรกที่ยืมเงิน เค้าบอกว่าแม่เค้ากำลังจะขายที่ดินได้ แล้วเค้าจะคืน แต่สุดท้ายก็มาบอกขาย สามีให้เราซื้อ เพราะต้องการช่วย เห็นเค้าลำบาก ก็โอนเสร็จเรียบร้อยแล้วตอนนี้
ในช่วงปีเดียวกันนี้เอง เราและสามีวางแผนว่า ปีหน้าสามีจะอายุ 50 ปี ก็จะขอวีซ่าเป็น Retirement ส่วนเราเมื่อลาออกจากงานราชการแล้ว ก็อยากหาอะไรทำ ไม่อยากอยู่บ้านเฉยๆ เพราะเราทุกคนต้องกินต้องใช้ ก็เลยเป็นโอกาสให้เพื่อนสามีซึ่งเป็นคนไทย ได้พยายามมาพูดกับสามี และขายรีสอร์ทเล็กๆให้ โดยเหตุผลของเค้าก็คือ เค้าติดหนี้ธนาคาร เราเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายและจ่ายมัดจำไปส่วนนึง หลังจากจ่ายมัดจำ รีสอร์ทยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี เค้าได้พยายามติดต่อสามีเพื่อขอให้เราโอนเงินให้ก่อนถึงวันโอนรีสอร์ท เพราะเค้าต้องจ่ายดอกเบี้ยเยอะ และถ้าเราโอนเงินให้ เค้าจะไปไถ่ถอนโฉนดไว้ และเอาโฉนดมาให้เรา รอวันไปโอนรีสอร์ท ตอนนั้นคือสิ้นเดือนเราตกลงไปโอนกันที่ดิน เราจึงทำสัญญากู้ยืมเงิน และโอนเงินให้เค้าไปไถ่ถอนโฉนด ปรากฎว่า ได้โฉนดมาก็ไม่ให้เรา และพฤติกรรมเค้าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ พอถึงสิ้นเดือน กำหนดนัดโอนรีสอร์ท ปรากฎว่า โอนไม่ได้ เพราะรีสอร์ทติดชื่อเจ้าของคนเดิม ต้องรอประกาศ 30 วัน สรุปเค้าไม่รอ และยังพูดกับเราอีกว่า ถ้าอยากได้เงินคืนก็ไปฟ้องเอา ตอนนี้เรื่องอยู่ในชั้นฎีกาค่ะ ชั้นต้นกับชั้นอุทรณ์เราชนะ และกรมบังคับคดีได้ยึดรีสอร์ทนี้ไว้แล้ว รอศาลฎีกาตัดสิน ถ้าเราชนะอีก ก็ประกาศขายได้เลยและคืนเงินเรา
เหตุการณ์นี้ผ่านมาถึงตอนนี้เป็นเวลาเกือบ 2 ปีแล้ว ซึ่งถือว่าคดีนี้ตัดสินเร็วมาก เพราะคนที่มีปัญหากับเรา พูดว่า ถึงฟ้องก็ใช้เวลาเป็นสิบๆปี เผลอๆ หมดอายุความ (คือเค้าต้องการบอกเราว่า ฟ้องได้ แต่เสียเวลาเปล่า เค้าเจ้าถิ่น ส่วนเรามาจากอิสาน และสามีก็มาจากเบลเยี่ยม สู้เจ้าถิ่น ยังไงก็ไม่ชนะ แต่เราไม่มีทางเลือก เพราะเราโอนเงินให้เค้าไปทั้งหมด ค่ามัดจำ + เงินยืม ประมาณ เจ็ดล้าน ในสัญญาเราเขียนด้วยว่า ไม่คิดดอกเบี้ย โคตรโง่เลยเรา แต่หลังฟ้องแล้วชนะ ตามกฎหมายกำหนดให้คิดดอกเบี้ย 7.5% แม้ว่าเราจะระบุว่าไม่คิดดอกเบี้ยก็ตาม)
จากเหตุการณ์นี้เอง ที่ทำให้เราและสามีเจอปัญหาที่ยิ่งใหญ่มาก ณ ตอนนี้ เรื่องของเรื่องคือ หลังจากเราลาออกจากงาน และสามีทำงานที่ร้านอาหารครบตามสัญญาจ้างงานแล้ว เราเลยอยากกลับมาอยู่บ้านกับสามี เลยเปิดร้านเช่ามอเตอร์ไซด์ เคาร์เตอร์ทัวร์และทำอพาร์ทเมนท์ให้เช่า รวมถึงมีบังกะโลอีกที่ให้เช่ารายวันด้วย สามีรออายุครบ 50 ปีจะไปทำวีซ่ารีไทเม๊นท์ ตามที่ ตม.แนะนำ ระหว่างนั้นเราได้ไปจดทะเบียนสมรส และเตรียมเอกสารต่างๆ สำหรับทำวีซ่า แต่ช่วงก่อนสามีอายุครบ 50 ปีไม่กี่วัน ตำรวจ ทหาร และ จนท.จากหน่วยงานจัดหางานได้มาที่ร้านของเรา และบอกว่ามีคนแจ้งเรื่องไปว่า สามีทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน ซึ่งขณะนั้นสามีถือวีซ่าท่องเที่ยว (ตม.แนะนำให้ทำวีซ่าท่องเที่ยวก่อน ระหว่างรอ อายุครบ 50 ปี) และมีรูปถ่ายตอนสามีอยู่ที่ร้านกับเรา (คือในรูปนั้น เราจำได้ สามีออกมานั่งทานข้าวเที่ยงกับเราประจำทุกวัน แต่รูปถ่ายเป็นรูปเฉียง ที่มีรูปสามีกับรูปลูกค้า ซึ่งจริงๆ เราก็อยู่กับสามี แต่ไม่มีรูปเรา)
และอีกเรื่องที่เราพลาดคือ ตอนที่เราซื้อบ้าน บังกะโล เราได้เปิดบริษัท และซื้อเข้าชื่อบริษัท แต่เราก็ถามบริษัทที่รับเปิดบริษัทแล้ว ว่ากรรมการผู้มีอำนาจลงนามเป็นสามีคนเดียวได้มั๊ย เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์เป็นเงินสามี เราคิดอย่างนั้นจริงๆ สามีจะได้สบายใจว่าเราไม่ได้ต้องการเงินเค้า เค้าบอกว่าได้ ก็ให้บริษัทนี้เปิดบริษัทให้เรา แต่พอตำรวจ ทหาร กรมการจัดหางานมาจับสามี เค้าพูดเลยว่า เคสเราต้องไปต่อสู้เอาเอง เพราะมีคนแจ้งไป สุดท้ายต้องขึ้นศาล ทนายเราบอกว่า ได้ปรึกษาและประมวลข้อความที่เค้าฟ้องทั้งหมดแล้ว สรุปให้เรายอมรับผิด จะเป็นผลดีกับสามี คือเสียค่าปรับและหลังจากนั้น ก็ไปจัดการเอกสารอะไรต่างๆให้เรียบร้อย
พอวันนัดไปศาล เค้าให้เราเป็นล่าม เรารู้แต่ว่าทนายบอกว่าให้ยอมรับผิด ก็บอกสามีให้ยอมรับผิด ทนายให้เหตุผลว่า ถ้าไม่ยอมรับผิดตอนนี้ สู้ไป ในที่สุดสามีจะต้องติดคุก แต่ถ้ายอมรับตอนนี้ก็แค่เสียค่าปรับและค่อยไปแก้ไขเอกสารต่างๆ ให้เรียบร้อย ที่สู้ไม่ได้แน่นอนคือ เรื่องบริษัทที่สามีมีอำนาจลงนามคนเดียว ศาลจะมองว่าเป็นการทำงาน มีการจัดตั้งบริษัทเกิดขึ้นและมีอำนาจคนเดียว บริษัทดำเนินกิจการและมีรายได้ เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าสามีไม่ได้ทำงาน แต่ทางกฎหมาย ถ้ามีรายได้ถือว่าทำงาน
สามีก็ยอมรับผิด และไม่เป็นไปอย่างที่คิด หลังจากสารภาพต่อศาล สามีถูกจับเข้าห้องขัง ส่วนเราไปจ่ายค่าปรับ 2000 บาท และได้ค่าล่ามมา 500 บาท ตอนนั้นคิดว่า จ่ายค่าปรับเสร็จเค้าจะปล่อยตัวสามีค่ะ แต่หลังจากนั้นก็ถูกส่งตัวไปที่สถานีตำรวจของจังหวัด จากนั้นส่งไป ตม.จังหวัด และสุดท้ายส่งไป ตม.สวนพลู ถูกกักตัวอยู่ห้องขังทั้งหมด 4 วัน แล้ว ตม.เนรเทศออกนอกประเทศ พร้อมให้ blacklist อีก 5 ปี (ไม่ขอบอกว่าหนักแค่ไหนกับเหตุการณ์นี้ เราสู้มาตลอด) สงสารสามีมากค่ะ ไม่มีที่อยู่ที่เบลเยี่ยม ส่วนเราอยู่ไทย เจ้าถิ่นก็หาเรื่อง จนเราต้องติดกล้องวงจรปิด และจ้างคนอยู่เป็นเพื่อน ไปแจ้งความกับตำรวจ ตำรวจไม่รับแจ้ง บอกว่า ปัญหายังไม่เกิด (ก็พวกเดียวกัน)
เราสู้โดยกระบวนการทางกฎหมายที่สามารถทำได้คือ การอุทรณ์หน้าด่าน อุทรณ์แล้ว ปรากฎว่ารัฐมนตรีมหาดไทยยกฟ้อง คือไม่ผ่าน ตอนนี้เราเดือดร้อนมาก อยากขายทุกอย่าง แต่ขายยากมากค่ะ เรามาอยู่กับสามีที่ต่างประเทศใกล้ๆบ้านเรา ไม่รู้จะทำยังไงต่อดีค่ะ ทุกอย่างมีแต่รายจ่าย และเยอะด้วยในการยื่นเรื่องแต่ละครั้ง ค่าใช้จ่าย ค่าอยู่ ค่ากิน ค่าเดินทาง ใครเคยมีประสบการณ์หรือเคยเจอเคสอย่างสามีเราบ้างค่ะ เราอยากให้ ยกเลิก blacklist ให้สามีได้ ช่วยชี้แนะด้วยนะคะ ขอบคุณล่วงหน้านะคะ