ตามหัวข้อครับ สืบเนื่องเนื่องมากจากหลังจากซื้อบ้านมาได้ 1 ปีก็ถูกวัดฟ้องร้องถอดถอนโฉนดเพราะว่าที่แปลงนั้นเคยมีการมอบให้วัดตั้งแต่ปี 2508 แต่วัดก็ไม่ได้ทำอะไรมานาน ประกอบกับลูกคนถวายแอบเอาที่ไปออกโฉนดและซื้อขายกันมา 3-4 ทอด โดยที่วัดก็ไม่ได้ค้านตอนออกโฉนด แต่มาค้านและฟ้องร้องตอนมาถึงเราแล้ว ซึ่งการฟ้องร้องนี้ใช้เวลา 4ปีก็จบที่ศาลสั่งยกเลิกโฉนด ทำให้บ้านที่เราซื้อนั้นตั้งอยุ่บนที่วัดซะอย่างนั้น
ที่นี้งานก็เข้าเราเลยเพราะหนี้ตั้งล้านกว่า ได้แค่ตัวบ้านที่ดินไม่ได้ จะทำธุรกรรมอะไรก็ไม่ได้ เลยต้องมีการฟ้องร้องเจ้าของโครงการที่ปลูกบ้านขายให้เรา ซึ่งปวดใจมาก ไหนจะต้องรวบรวมเอกสารต่างๆ วิ่งหาทนาย หาเงินจ้างทนายฟ้อง และไหนต้องไปขอความเมตตาจากวัด อย่าเพิ่งไล่ที่ไล่รื้อบ้านเลย ( ซึ่งวัดก็เมตตาให้เช่าที่ เดือนละ500 เวลา 3 ปี ) ซึ่งการฟ้องร้องนี้ก็ใช้เวลา ปีกว่าๆ ศาลสั่งให้ การซื้อขายเป็น โมฆะ เจ้าของโครงการต้องคืนเงินให้เรา ซึ่งมันก็แค่ราคาบ้านจริงๆ แต่ส่วนต่างของการต่อเติม ค่าจะจำนอง ดอกเบี้ยอะไรพวกนี้ ศาลไม่ได้ให้จ่ายให้เรา แต่ก็ทำไงได้ก็ต้องยอมเพราะเหนื่อยกับเรื่องนี้แล้ว
ทีนี้ขอสรุปเหตุการคร่าวๆ
: ต้นปี 60 วัดฟ้องร้องถอดถอนโฉนด ซึ่งตอนแรกฟ้องหลายคนเลย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของที่ดินที่ปลุกสร้าง กรมที่ดิน ลูกคนที่เอาที่ดินไปออกโฉนด แต่ภายหลังยกเลิกหมด เหลือแค่บ้าน 4 หลัง ====> เจ้าของโครงการอาสาหาทนายสุ้คดีให้ ซึ่งไม่ต้องให้เราไปวุ่นวายในครั้งนี้เลย ( ซึ่งต่อมาเราเพิ่งรุ้ว่าเราพลาดมหันต์ )
: ระหว่างสุ้คดีนี้ ทางเจ้าของโครงการก็ขอให้เชื่อใจ ถ้าแพ้ ตอนแรกจะคืนเงินให้ทั้งหมด สักพักจะให้บ้านอีกโครงการแทน ไปๆ มา ๆ ซึ่งพวกเราก็เชื่อใจ
ปี 2564 การต่อสู้คดี ศาล ชั้นต้นให้แพ้ เจ้าของโครงการอุทร แพ้อีก จนไปถึงศาล ฏีกา ===> ศาลไม่รับฏีกา ให้จบแค่อุทร
สุดท้ายที่เป็นของวัด พร้อมหมายศาล ให้เราออกจากพื้นที่ห้ามเข้าไปรบกวนที่วัดอีก ทำให้เราเดือดร้อนมาก และวัดก็ทำการเรียกคุย เราก็แจ้งความเดือดร้อนเราไป และขอเช่าที่วัด เพื่อทุเลาความเดือดร้อน ซึ่งวัดก็ยอมให้เช่าที่ เดือนละ 500 เวลา 3 ปี
ปี 2565 เราก็ต้องไปฟ้องเจ้าของโครงการเพื่อเรียกค่าเสียหาย ซึ่งมันเหนื่อยใจและกายมาก ไหนจะต้องวิ่งหาทนาย หาเงินจ้างทนาย หาเอกสารที่เกี่ยวข้อง และต้องลางานไปขึ้นศาลอีก ซึ่งตอนที่ปรึกษาทนาย ทนายก็ถามเลยว่า ทำไมเราไม่ร้องขอให้เพิ่มเจ้าของโครงการเข้าไปด้วย คดีจะได้จบตั้งแต่วัดชนะ ไม่ต้องมาวิ่งฟ้องร้องอีกรอบ ซึ่งเราไม่รู้จริงๆว่ามันทำได้ )
เดือน ตุลา 2566 ศาลตัดสินให้เราชนะ โครงการต้องชดใช้ให้เราตามข้างต้น
สุดท้ายนี้ก็ต้องรอลุ้นว่าจะอุทรไหม
** ขั้นตอนต่อไปทำยังไง การฟ้องร้องบังคับคืนเงินทำยังไง ต้องทำไหม ขอคำแนะนำที
*** กระทู้นี้เป้นแนวระบายความในใจและเล่าเรื่อง ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านครับ
เมื่อบ้านที่ซื้อถูกถอนโฉนดและเป็นที่ธรณีสงฆ์ จนต้องฟ้องลากยาวมา 6 ปี
ที่นี้งานก็เข้าเราเลยเพราะหนี้ตั้งล้านกว่า ได้แค่ตัวบ้านที่ดินไม่ได้ จะทำธุรกรรมอะไรก็ไม่ได้ เลยต้องมีการฟ้องร้องเจ้าของโครงการที่ปลูกบ้านขายให้เรา ซึ่งปวดใจมาก ไหนจะต้องรวบรวมเอกสารต่างๆ วิ่งหาทนาย หาเงินจ้างทนายฟ้อง และไหนต้องไปขอความเมตตาจากวัด อย่าเพิ่งไล่ที่ไล่รื้อบ้านเลย ( ซึ่งวัดก็เมตตาให้เช่าที่ เดือนละ500 เวลา 3 ปี ) ซึ่งการฟ้องร้องนี้ก็ใช้เวลา ปีกว่าๆ ศาลสั่งให้ การซื้อขายเป็น โมฆะ เจ้าของโครงการต้องคืนเงินให้เรา ซึ่งมันก็แค่ราคาบ้านจริงๆ แต่ส่วนต่างของการต่อเติม ค่าจะจำนอง ดอกเบี้ยอะไรพวกนี้ ศาลไม่ได้ให้จ่ายให้เรา แต่ก็ทำไงได้ก็ต้องยอมเพราะเหนื่อยกับเรื่องนี้แล้ว
ทีนี้ขอสรุปเหตุการคร่าวๆ
: ต้นปี 60 วัดฟ้องร้องถอดถอนโฉนด ซึ่งตอนแรกฟ้องหลายคนเลย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของที่ดินที่ปลุกสร้าง กรมที่ดิน ลูกคนที่เอาที่ดินไปออกโฉนด แต่ภายหลังยกเลิกหมด เหลือแค่บ้าน 4 หลัง ====> เจ้าของโครงการอาสาหาทนายสุ้คดีให้ ซึ่งไม่ต้องให้เราไปวุ่นวายในครั้งนี้เลย ( ซึ่งต่อมาเราเพิ่งรุ้ว่าเราพลาดมหันต์ )
: ระหว่างสุ้คดีนี้ ทางเจ้าของโครงการก็ขอให้เชื่อใจ ถ้าแพ้ ตอนแรกจะคืนเงินให้ทั้งหมด สักพักจะให้บ้านอีกโครงการแทน ไปๆ มา ๆ ซึ่งพวกเราก็เชื่อใจ
ปี 2564 การต่อสู้คดี ศาล ชั้นต้นให้แพ้ เจ้าของโครงการอุทร แพ้อีก จนไปถึงศาล ฏีกา ===> ศาลไม่รับฏีกา ให้จบแค่อุทร
สุดท้ายที่เป็นของวัด พร้อมหมายศาล ให้เราออกจากพื้นที่ห้ามเข้าไปรบกวนที่วัดอีก ทำให้เราเดือดร้อนมาก และวัดก็ทำการเรียกคุย เราก็แจ้งความเดือดร้อนเราไป และขอเช่าที่วัด เพื่อทุเลาความเดือดร้อน ซึ่งวัดก็ยอมให้เช่าที่ เดือนละ 500 เวลา 3 ปี
ปี 2565 เราก็ต้องไปฟ้องเจ้าของโครงการเพื่อเรียกค่าเสียหาย ซึ่งมันเหนื่อยใจและกายมาก ไหนจะต้องวิ่งหาทนาย หาเงินจ้างทนาย หาเอกสารที่เกี่ยวข้อง และต้องลางานไปขึ้นศาลอีก ซึ่งตอนที่ปรึกษาทนาย ทนายก็ถามเลยว่า ทำไมเราไม่ร้องขอให้เพิ่มเจ้าของโครงการเข้าไปด้วย คดีจะได้จบตั้งแต่วัดชนะ ไม่ต้องมาวิ่งฟ้องร้องอีกรอบ ซึ่งเราไม่รู้จริงๆว่ามันทำได้ )
เดือน ตุลา 2566 ศาลตัดสินให้เราชนะ โครงการต้องชดใช้ให้เราตามข้างต้น
สุดท้ายนี้ก็ต้องรอลุ้นว่าจะอุทรไหม
** ขั้นตอนต่อไปทำยังไง การฟ้องร้องบังคับคืนเงินทำยังไง ต้องทำไหม ขอคำแนะนำที
*** กระทู้นี้เป้นแนวระบายความในใจและเล่าเรื่อง ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านครับ