สายลมพริ้วพัดหญ้าและต้นข้าว กลิ่นความอุดมกลมกล่อมอบอวลและหอมหวลกระจายล่อง เมฆทะมึนครึ้มกระหน่ำซัดอยู่ไกลๆตา มองคล้ายสีเทาโดนน้ำแทรกซึมไหลไปบนกระดาษปอนด์สีขาวสะอาด ทิศทางลมเอื้อนเอ่ยว่าเมฆาจะมาย่างกร่ายในอีกไม่นาน สองยายหลานเก็บข้าวของสำภาระขึ้นกระท่อมพักปลายนา แต่ทว่าสภาพกระท่อมชั่วคราวไร้ฝากั้นคงมิอาจป้องกันกระแสลมฝนได้แน่ๆยายบรรจงนั่งหย่อนขาเล่นหยิบใบพลูแผ่ทาด้วยปูนขาว แล้วห่อยาเส้น แก่นคูณตามสูตรแล้วเอาลงครก หลานบรรจงตักดินสีดำชุ่มน้ำ กลบฝังหอยขมตัวเล็กเล่นอย่างสนุกสนาน
"เก้าเอ้ย เล่นดินเปื้อนนะลูก เดี๋ยวตอนพ่อเอ็งมารับก็โดนดุเอาหรอก"
เด็กน้อยมิใส่ใจในคำยายนักคว้ากิ่งไม้เล็กจิ้มลงพื้นแล้วงัดให้ดินปลิวละล่องในอากาศพลางพากษ์ประกอบเป็นฉากเครื่องบินยิงถล่มกองกำลังปิศาจหอยอย่างเมามันยายปล่อยให้หลานจมดิ่งสู่จินตนาที่กว้างไกล พลางหันหน้าไปทิศที่ฝนกำลังอาละวาดรอยยิ้มปริ่มๆมุมปาก มือที่เหี่ยวย่นหยิบจับครกเล็กๆและเครื่องเคียงตำหมากอย่างคล่องแคล่ว
"ขอบคุณท่านเทวดานะ"
ยายบ่นอุบอิบในปากด้วยสำเนียงอารมณ์ดี ปีนี้ฝนฟ้ามาตามกำหนด ผลผลิตสีเขียวชะอุ่มกำลังงอกงามและยิ้มร่ารอการเติบใหญ่และแปลเปลี่ยนเป็นผลผลิตที่เลี้ยงตัวแลครอบครัวมาทั้งชีวิต ผมดอกเลาสั่นงกๆตามจังหวะสากที่บดลงหมากสีแดงชาด ตลอดหลายปีมานี้การเพาะปลูกห่างเหินจากคำว่ากำไรและบางทีก็ลงไปเล่นกับอาการขาดทุน การเก็บผลผลิตในยุ้งเพียงพอแค่กินกันในบ้านเท่านั้น
การก้มหน้าก้มตาตรากตำทำนาหลังยิ้มให้ฟ้าหน้าเคารพดินเป็นอาชีพที่ฝั่งรากลึกลงในตัวยายจนขาดกันมิได้ ลมหายใจเข้าออกเป็นนาข้าว ยายสู้กับความผันผวนของกระแสโลก เทคโนโลยี ภัยพิบัติ ศัตรูพืช หรือแม้แต่คนในครัวตัวเองมาหนักหนานัก คำกล่าวลูกหลานให้หยุดและอยู่บ้านเป็นเพียงสายลมที่ทำให้หูระคาย หาได้ทำให้สิ่งที่ทำลดลงไม่
"ตาเอ้ย ข้าอยากให้ตามาเห็นฝนฟ้าปีนี้จัง เอ็งคงจะอดยิ้มไม่ได้เหมือนข้า"
ความคิดแล่นกล่าวอ้งถึงชายที่อยู่เคียงกันกว่า สี่สิบปี ตาจากไปได้ปีที่สี่ ความเดียวดายมาขอยายอาศัยด้วย ลูกหลานเต็มบ้านที่วิ่งหยอกทำให้รอยยิ้มผลิที่มุมปากแต่ไม่ได้เติมลงไปในใจเท่าใดนัก ขวบปีแรกที่ตาจากไป ทุกรอยยิ้มของยายจะลงท้ายด้วยการสูดลมและถอนหายใจ กิจกรรมที่ยายทำแล้วผลิตสุขมากที่สุดคงไม่พ้นลงแปลงข้าว
ลมเริ่มแรงหยาดฝนเริ่มรินร่วงเป็นฝอยกระจาย หลานตัวน้อยวิ่นขึ้นมาบนกระท่อมเปิดประทุนพร้อมไม้ที่ตอนนี้เป็นดาบตามเนื้อเรื่องในจินตนาการ เด็กน้อบนอนลงบนตักยาย พร้อมชูไม้ปากจู๋พร้อมพ่นเสียง ฟู่ๆ หยอกล้อยาย
"อย่ามากวนยาย ไปนอนไกลๆไปยายยิ่งเหนื่อยๆ "
ยายหยิบเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตสีเทาเก่าขุยที่เคยจำได้ลางๆว่ามันเป็นสีม่วงห่มให้หลานกันละอองฝน แล้วเก็บของใส่ตะกร้าหมากคลุมผ้าอย่างเรียบร้อย จับปลายผ้าซิ่นสีเขียวคล้ำขมวดเข้าหากันแล้วสอดเข้าตรงกลางขาแล้วเอาขาทับไว้เพื่อกันไม่ให้ผ้าซิ่นเปิดจากแรงลม
"เมื่อไหร่พ่อจะมา หนูหิวข้าวแล้ว"
"ยายมีปลาเค็มกับข้าวในตะกร้าเอ็งจะกินไหม๊ล่ะ"
"ไม่อ่ะ รอพ่อมาดีกว่า"
"ตามใจเอ็ง"
เด็กน้อยเล่นไม้ต่อสู้กับแรงลม ฟาดอากาศไปมา ยายมองไปข้างหน้า รอเวลาเคลื่อนผ่าน ความหวังกำลังเดินมาอย่างช้าๆ พร้อมๆกับฝนที่เม็ดใหญ่ขึ้น ทิวไม้ไกลๆลำต้นตรงเริ่มลิ่วลม ใบไม้ปลิวไหว สุดลูกตา เห็นร่างชายวัยสามสิบกลางๆเดินแหวกคันนามา เสื้อสีครีมอ่อนที่ชายเสื้อเข้าในกางเกงสีดำขลับมัดด้วยเข็มขัดหัวสีเงินประกายและรองเท้าหนังสีดำ ช่างขัดตาเหลือเกินที่ต้องมาเดินกลางทุ่งเช่นนี้
ชายยกมือแสดงสัญลักษณ์แห่งการร้องเรียกให้มาหา ยายถือตะกร้าคู่ใจลงจากกระท่อม หลานตัวน้อยกระโดดลงแล้วรี่ไปหาผู้เป็นบิดา หลังที่ค่อมงองุ้มเล็กน้อยค่อยเดินผ่านทุ่งนาที่สวยงาม
"เอามาแม่ตระกร้า ผมถือให้"
ชายยื่นมือรับกระกร้าดึงไปไว้ในการควบคุม
"แม่ไม่รู้จะมาทำไมฝนตั้งเค้าแต่เช้า เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก มาก็ไม่มีอะไรทำ แล้วปีหน้าก็ไม่ต้องทำนะนาเนี่ย มันเหนื่อย บอกไม่เคยฟัง เอ็งด้วยไอ้เก้า มาเล่นดินเปื้อนอีกละรีบๆกลับไปอาบน้ำอาบท่าไปเรียนพิเศษ บ่ายๆผมมีประชุมกับนายกด้วยนิ"
"ชีวิตข้าอยู่ตรงนี้ หัวใจข้าอยู่ตรงนี้"
หญิงชราขมุบขมิบปาก รอยยิ้มยิ้มนิดๆเผยอขึ้น ขณะเดินตามลูกหลานไกลๆ
"ไปก่อนนะ แม่โพสพ พรุ่งนี้เดี๋ยวมาหาใหม่"ยายยกมือไหว้นาชอุ่ม
"ตาเอ้ย ข้ากลับก่อนนะฝากดูนาด้วยละ"
สามคนเดินตามกันขึ้นรถคันใหญ่ขนาดครอบครัวสีขาวประกาย
ปล่อยให้ธรรมชาติสรรค์สร้างชีวิต ให้ดำรงค์ซึ่งวัฏจักรต่อไป
#ความสุขคืออะไร?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้แลกเปลี่ยนติชม ด้านเนื้อเรื่อง ภาษาเต็มที่เลยนะครับ
ขอบคุณครับ
[เรื่องสั้น]"ฝนโปรย ทุ่งหญ้าและนาข้าว"
สายลมพริ้วพัดหญ้าและต้นข้าว กลิ่นความอุดมกลมกล่อมอบอวลและหอมหวลกระจายล่อง เมฆทะมึนครึ้มกระหน่ำซัดอยู่ไกลๆตา มองคล้ายสีเทาโดนน้ำแทรกซึมไหลไปบนกระดาษปอนด์สีขาวสะอาด ทิศทางลมเอื้อนเอ่ยว่าเมฆาจะมาย่างกร่ายในอีกไม่นาน สองยายหลานเก็บข้าวของสำภาระขึ้นกระท่อมพักปลายนา แต่ทว่าสภาพกระท่อมชั่วคราวไร้ฝากั้นคงมิอาจป้องกันกระแสลมฝนได้แน่ๆยายบรรจงนั่งหย่อนขาเล่นหยิบใบพลูแผ่ทาด้วยปูนขาว แล้วห่อยาเส้น แก่นคูณตามสูตรแล้วเอาลงครก หลานบรรจงตักดินสีดำชุ่มน้ำ กลบฝังหอยขมตัวเล็กเล่นอย่างสนุกสนาน
"เก้าเอ้ย เล่นดินเปื้อนนะลูก เดี๋ยวตอนพ่อเอ็งมารับก็โดนดุเอาหรอก"
เด็กน้อยมิใส่ใจในคำยายนักคว้ากิ่งไม้เล็กจิ้มลงพื้นแล้วงัดให้ดินปลิวละล่องในอากาศพลางพากษ์ประกอบเป็นฉากเครื่องบินยิงถล่มกองกำลังปิศาจหอยอย่างเมามันยายปล่อยให้หลานจมดิ่งสู่จินตนาที่กว้างไกล พลางหันหน้าไปทิศที่ฝนกำลังอาละวาดรอยยิ้มปริ่มๆมุมปาก มือที่เหี่ยวย่นหยิบจับครกเล็กๆและเครื่องเคียงตำหมากอย่างคล่องแคล่ว
"ขอบคุณท่านเทวดานะ"
ยายบ่นอุบอิบในปากด้วยสำเนียงอารมณ์ดี ปีนี้ฝนฟ้ามาตามกำหนด ผลผลิตสีเขียวชะอุ่มกำลังงอกงามและยิ้มร่ารอการเติบใหญ่และแปลเปลี่ยนเป็นผลผลิตที่เลี้ยงตัวแลครอบครัวมาทั้งชีวิต ผมดอกเลาสั่นงกๆตามจังหวะสากที่บดลงหมากสีแดงชาด ตลอดหลายปีมานี้การเพาะปลูกห่างเหินจากคำว่ากำไรและบางทีก็ลงไปเล่นกับอาการขาดทุน การเก็บผลผลิตในยุ้งเพียงพอแค่กินกันในบ้านเท่านั้น
การก้มหน้าก้มตาตรากตำทำนาหลังยิ้มให้ฟ้าหน้าเคารพดินเป็นอาชีพที่ฝั่งรากลึกลงในตัวยายจนขาดกันมิได้ ลมหายใจเข้าออกเป็นนาข้าว ยายสู้กับความผันผวนของกระแสโลก เทคโนโลยี ภัยพิบัติ ศัตรูพืช หรือแม้แต่คนในครัวตัวเองมาหนักหนานัก คำกล่าวลูกหลานให้หยุดและอยู่บ้านเป็นเพียงสายลมที่ทำให้หูระคาย หาได้ทำให้สิ่งที่ทำลดลงไม่
"ตาเอ้ย ข้าอยากให้ตามาเห็นฝนฟ้าปีนี้จัง เอ็งคงจะอดยิ้มไม่ได้เหมือนข้า"
ความคิดแล่นกล่าวอ้งถึงชายที่อยู่เคียงกันกว่า สี่สิบปี ตาจากไปได้ปีที่สี่ ความเดียวดายมาขอยายอาศัยด้วย ลูกหลานเต็มบ้านที่วิ่งหยอกทำให้รอยยิ้มผลิที่มุมปากแต่ไม่ได้เติมลงไปในใจเท่าใดนัก ขวบปีแรกที่ตาจากไป ทุกรอยยิ้มของยายจะลงท้ายด้วยการสูดลมและถอนหายใจ กิจกรรมที่ยายทำแล้วผลิตสุขมากที่สุดคงไม่พ้นลงแปลงข้าว
ลมเริ่มแรงหยาดฝนเริ่มรินร่วงเป็นฝอยกระจาย หลานตัวน้อยวิ่นขึ้นมาบนกระท่อมเปิดประทุนพร้อมไม้ที่ตอนนี้เป็นดาบตามเนื้อเรื่องในจินตนาการ เด็กน้อบนอนลงบนตักยาย พร้อมชูไม้ปากจู๋พร้อมพ่นเสียง ฟู่ๆ หยอกล้อยาย
"อย่ามากวนยาย ไปนอนไกลๆไปยายยิ่งเหนื่อยๆ "
ยายหยิบเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตสีเทาเก่าขุยที่เคยจำได้ลางๆว่ามันเป็นสีม่วงห่มให้หลานกันละอองฝน แล้วเก็บของใส่ตะกร้าหมากคลุมผ้าอย่างเรียบร้อย จับปลายผ้าซิ่นสีเขียวคล้ำขมวดเข้าหากันแล้วสอดเข้าตรงกลางขาแล้วเอาขาทับไว้เพื่อกันไม่ให้ผ้าซิ่นเปิดจากแรงลม
"เมื่อไหร่พ่อจะมา หนูหิวข้าวแล้ว"
"ยายมีปลาเค็มกับข้าวในตะกร้าเอ็งจะกินไหม๊ล่ะ"
"ไม่อ่ะ รอพ่อมาดีกว่า"
"ตามใจเอ็ง"
เด็กน้อยเล่นไม้ต่อสู้กับแรงลม ฟาดอากาศไปมา ยายมองไปข้างหน้า รอเวลาเคลื่อนผ่าน ความหวังกำลังเดินมาอย่างช้าๆ พร้อมๆกับฝนที่เม็ดใหญ่ขึ้น ทิวไม้ไกลๆลำต้นตรงเริ่มลิ่วลม ใบไม้ปลิวไหว สุดลูกตา เห็นร่างชายวัยสามสิบกลางๆเดินแหวกคันนามา เสื้อสีครีมอ่อนที่ชายเสื้อเข้าในกางเกงสีดำขลับมัดด้วยเข็มขัดหัวสีเงินประกายและรองเท้าหนังสีดำ ช่างขัดตาเหลือเกินที่ต้องมาเดินกลางทุ่งเช่นนี้
ชายยกมือแสดงสัญลักษณ์แห่งการร้องเรียกให้มาหา ยายถือตะกร้าคู่ใจลงจากกระท่อม หลานตัวน้อยกระโดดลงแล้วรี่ไปหาผู้เป็นบิดา หลังที่ค่อมงองุ้มเล็กน้อยค่อยเดินผ่านทุ่งนาที่สวยงาม
"เอามาแม่ตระกร้า ผมถือให้"
ชายยื่นมือรับกระกร้าดึงไปไว้ในการควบคุม
"แม่ไม่รู้จะมาทำไมฝนตั้งเค้าแต่เช้า เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก มาก็ไม่มีอะไรทำ แล้วปีหน้าก็ไม่ต้องทำนะนาเนี่ย มันเหนื่อย บอกไม่เคยฟัง เอ็งด้วยไอ้เก้า มาเล่นดินเปื้อนอีกละรีบๆกลับไปอาบน้ำอาบท่าไปเรียนพิเศษ บ่ายๆผมมีประชุมกับนายกด้วยนิ"
"ชีวิตข้าอยู่ตรงนี้ หัวใจข้าอยู่ตรงนี้"
หญิงชราขมุบขมิบปาก รอยยิ้มยิ้มนิดๆเผยอขึ้น ขณะเดินตามลูกหลานไกลๆ
"ไปก่อนนะ แม่โพสพ พรุ่งนี้เดี๋ยวมาหาใหม่"ยายยกมือไหว้นาชอุ่ม
"ตาเอ้ย ข้ากลับก่อนนะฝากดูนาด้วยละ"
สามคนเดินตามกันขึ้นรถคันใหญ่ขนาดครอบครัวสีขาวประกาย
ปล่อยให้ธรรมชาติสรรค์สร้างชีวิต ให้ดำรงค์ซึ่งวัฏจักรต่อไป
#ความสุขคืออะไร?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้