สำหรับผู้ติดเชื้อ HIV นั้น ยาเบาหวานอาจจะมีประโยชน์มากกว่าการลดระดับน้ำตาลในเลือดก็เป็นได้ งานวิจัยชิ้นใหม่จากนักวิจัยที่ Washington University School of Medicine ใน St. Louis ชี้ให้เห็นว่าตัวยาดังกล่าวอาจจะป้องกันปัญหาหลอดเลือดหัวใจได้เพราะว่าตัวยานั้นทำงานเพื่อลดการติดเชื้ออันเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและการอุดตันของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองในกลุ่มคนไข้เหล่านี้
ถึงแม้การติดเชื้อไวรัสภูมิคุ้มกันตัวเองบกพร่องนั้นจะไม่ถือว่าเป็นโทษประหารแล้วก็ตาม ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสดังกล่าวก็มีความเสี่ยงที่สูงขึ้นที่เป็นโรคหัวใจและเบาหวาน รวมถึงปัญหากับกลูโคส อินซูลิน และคลอเรสเตอรอลด้วย ซึ่งปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความเสี่ยงต่างๆเพิ่มสูงขึ้นก็คือการติดเชื้อเรื้อรังนั่นเอง
ในงานวิจัยชิ้นใหม่นี้ นักวิจัยได้พบว่าตัวยาเบาหวานที่เรียกว่า sitagliptin นั้นช่วยทั้งเพิ่มกระบวนการเผาผลาญและลดการติดเชื้อในกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีผลตรวจ HIV เป็นบวกและกำลังได้รับการบำบัดด้วยยาต้านรีโทรไวรัส การค้นพบดังกล่าวได้ถูกตีพิมพ์ลงในวารสาร Journal of Clinical Endocrinology & Metabolism
“เป้าหมายของเราคือการระบุการรักษาที่ไม่เพียงแต่จะแก้ปัญหาของระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดเท่านั้น แต่ยังลดการติดเชื้อ ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดไปเลี้ยงสมองอุดตัน” Kevin E. Yarasheski ผู้ควบคุมการวิจัยในครั้งนี้กล่าว “ด้วยตัวยา sitagliptin นั้น ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง และตัวบ่งชี้การทำงานของภูมิคุ้มกันและการติดเชื้อก็ลดลง เป็นการชี้ให้เห็นว่าตัวยานั้นอาจจะมอบผลประโยชน์ในระยะยาวต่อหัวใจ กระดูก และตับของคนไข้เหล่านี้ได้”
Yarasheski อธิบายว่าการรักษาโรคเบาหวานโดยทั่วไปนั้นได้ถูกทดลองกับผู้ติดเชื้อ HIV และก็ประสบความสำเร็จอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ทำระดับน้ำตาล อินซูลิน และไขมันในเลือดเป็นปกติเลยเสียทีเดียว รวมถึงตัวบ่งชี้สุขภาพของหัวใจและกระบวนการเผาผลาญอื่นๆด้วย
งานวิจัยตัวยา sitagliptin ครั้งใหม่ซึ่งใช้เวลาแปดสัปดาห์นั้นเป็นการวิจัยครั้งที่สองของตัวยาดังกล่าวกับผู้ติดเชื้อ HIV ซึ่งในครั้งแรกนั้นได้ใช้ผู้ป่วยจำนวน 20 คนและให้ความสนใจในเรื่องว่าตัวยาดังกล่าวนั้นปลอดภัยหรือไม่ ซึ่งในครั้งนี้พวกเขาต้องการที่จะรู้ว่าตัวยาดังกล่าวได้มอบประโยชน์ต่อสุขภาพบ้างหรือไม่
พวกเขาได้ทำการวิจัยกับผู้ติดเชื้อ HIV จำนวน 36 คนที่มีอายุตั้งแต่ 18-65 ปีที่กำลังได้รับการรักษาด้วยตัวยาต้านรีโทรไวรัสและสถานะภูมิคุ้มกันเริ่มที่จะคงตัวแล้ว โดยในตอนเริ่มการวิจัยนั้น นักวิจัยได้ทำการวัดระดับกลูโคส อัตราการตอบสนองของอินซูลิน ระดับไขมัน จำนวนเซลล์ภูมิคุ้มกัน และตัวบ่งชี้การติดเชื้อและตัวบ่งชี้ทางสุขภาพอื่นๆ การระบุการรักษาสำหรับคนไข้เหล่านี้นั้นเป็นเรื่องยาก ซึ่งโดยหลักๆแล้วมีสาเหตุมาจากตัวยา HIV ที่ผู้ป่วยจะต้องรับประทานเพื่อป้องกันไม่ให้การติดเชื้อกลายเป็น AIDS
ครึ่งหนึ่งของผู้เข้ารับการทดลองนั้นใช้ยา sitagliptin เป็นเวลา 8 สัปดาห์ในขณะที่คนที่เหลือได้รับตัวยาหลอก และในระหว่างระยะเวลาการทดลองทุกคนก็เข้ารับการรักษาด้วยยาต้านรีโทรไวรัสตามปกติ
“เราต้องการที่จะรู้ว่าตัวยานี้สามารถทำให้ปัญหาน้ำตาลในเลือด และลดตัวบ่งชี้ภูมิคุ้มกัน ซึ่งพวกเราเชื่อว่า เป็นตัวชี้ให้เห็นว่ามีการติดเชื้ออยู่ของคนไข้เหล่านี้ดีขึ้นได้หรือไม่” Yarasheski กล่าว “และนั่นก็คือสิ่งที่เราพบ”
งานวิจัยที่ใช้ระยะเวลามากกว่านี้นั้นจำเป็นต่อการที่จะเรียนรู้ว่า ตัวบ่งชี้การติดเชื้อที่ลดลงภายหลังการรักษาเป็นเวลา 8 สัปดาห์นั้นสามารถนำไปสู่ความเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวและปัญหาทางกระบวนการเผาผลาญใดๆ หรือไม่ แต่สัญญาณในช่วงแรกนั้นก็ดูจะมีความเป็นไปได้อยู่บ้าง
“การลดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ และการจัดการกับไขมันอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอเช่นกัน เราต้องการที่จะจัดการกับจุดเชื่อมระหว่างการควบคุมกระบวนการเผาผลาญและการควบคุมภูมิคุ้มกัน ซึ่งตัวยาดังกล่าวนั้นได้ช่วยลดระดับการติดเชื้อมากเพียงพอที่จะทำให้ลดการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ลดภาวะหัวใจล้มเหลว เส้นเลือดไปเลี้ยงสมองอุดตัน หรือความดันเลือดสูงได้หรือไม่นั้นก็ยังเป็นคำถามที่จะต้องได้รับคำตอบ แต่การค้นพบที่เราได้มาตอนนี้นับว่ามาถูกทางแล้ว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก sciencedaily.com และ vcharkarn.com
Report : LIV Capsule
ยารักษาเบาหวานอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวในผู้ป่วย HIV
ถึงแม้การติดเชื้อไวรัสภูมิคุ้มกันตัวเองบกพร่องนั้นจะไม่ถือว่าเป็นโทษประหารแล้วก็ตาม ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสดังกล่าวก็มีความเสี่ยงที่สูงขึ้นที่เป็นโรคหัวใจและเบาหวาน รวมถึงปัญหากับกลูโคส อินซูลิน และคลอเรสเตอรอลด้วย ซึ่งปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความเสี่ยงต่างๆเพิ่มสูงขึ้นก็คือการติดเชื้อเรื้อรังนั่นเอง
ในงานวิจัยชิ้นใหม่นี้ นักวิจัยได้พบว่าตัวยาเบาหวานที่เรียกว่า sitagliptin นั้นช่วยทั้งเพิ่มกระบวนการเผาผลาญและลดการติดเชื้อในกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีผลตรวจ HIV เป็นบวกและกำลังได้รับการบำบัดด้วยยาต้านรีโทรไวรัส การค้นพบดังกล่าวได้ถูกตีพิมพ์ลงในวารสาร Journal of Clinical Endocrinology & Metabolism
“เป้าหมายของเราคือการระบุการรักษาที่ไม่เพียงแต่จะแก้ปัญหาของระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดเท่านั้น แต่ยังลดการติดเชื้อ ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดไปเลี้ยงสมองอุดตัน” Kevin E. Yarasheski ผู้ควบคุมการวิจัยในครั้งนี้กล่าว “ด้วยตัวยา sitagliptin นั้น ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง และตัวบ่งชี้การทำงานของภูมิคุ้มกันและการติดเชื้อก็ลดลง เป็นการชี้ให้เห็นว่าตัวยานั้นอาจจะมอบผลประโยชน์ในระยะยาวต่อหัวใจ กระดูก และตับของคนไข้เหล่านี้ได้”
Yarasheski อธิบายว่าการรักษาโรคเบาหวานโดยทั่วไปนั้นได้ถูกทดลองกับผู้ติดเชื้อ HIV และก็ประสบความสำเร็จอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ทำระดับน้ำตาล อินซูลิน และไขมันในเลือดเป็นปกติเลยเสียทีเดียว รวมถึงตัวบ่งชี้สุขภาพของหัวใจและกระบวนการเผาผลาญอื่นๆด้วย
งานวิจัยตัวยา sitagliptin ครั้งใหม่ซึ่งใช้เวลาแปดสัปดาห์นั้นเป็นการวิจัยครั้งที่สองของตัวยาดังกล่าวกับผู้ติดเชื้อ HIV ซึ่งในครั้งแรกนั้นได้ใช้ผู้ป่วยจำนวน 20 คนและให้ความสนใจในเรื่องว่าตัวยาดังกล่าวนั้นปลอดภัยหรือไม่ ซึ่งในครั้งนี้พวกเขาต้องการที่จะรู้ว่าตัวยาดังกล่าวได้มอบประโยชน์ต่อสุขภาพบ้างหรือไม่
พวกเขาได้ทำการวิจัยกับผู้ติดเชื้อ HIV จำนวน 36 คนที่มีอายุตั้งแต่ 18-65 ปีที่กำลังได้รับการรักษาด้วยตัวยาต้านรีโทรไวรัสและสถานะภูมิคุ้มกันเริ่มที่จะคงตัวแล้ว โดยในตอนเริ่มการวิจัยนั้น นักวิจัยได้ทำการวัดระดับกลูโคส อัตราการตอบสนองของอินซูลิน ระดับไขมัน จำนวนเซลล์ภูมิคุ้มกัน และตัวบ่งชี้การติดเชื้อและตัวบ่งชี้ทางสุขภาพอื่นๆ การระบุการรักษาสำหรับคนไข้เหล่านี้นั้นเป็นเรื่องยาก ซึ่งโดยหลักๆแล้วมีสาเหตุมาจากตัวยา HIV ที่ผู้ป่วยจะต้องรับประทานเพื่อป้องกันไม่ให้การติดเชื้อกลายเป็น AIDS
ครึ่งหนึ่งของผู้เข้ารับการทดลองนั้นใช้ยา sitagliptin เป็นเวลา 8 สัปดาห์ในขณะที่คนที่เหลือได้รับตัวยาหลอก และในระหว่างระยะเวลาการทดลองทุกคนก็เข้ารับการรักษาด้วยยาต้านรีโทรไวรัสตามปกติ
“เราต้องการที่จะรู้ว่าตัวยานี้สามารถทำให้ปัญหาน้ำตาลในเลือด และลดตัวบ่งชี้ภูมิคุ้มกัน ซึ่งพวกเราเชื่อว่า เป็นตัวชี้ให้เห็นว่ามีการติดเชื้ออยู่ของคนไข้เหล่านี้ดีขึ้นได้หรือไม่” Yarasheski กล่าว “และนั่นก็คือสิ่งที่เราพบ”
งานวิจัยที่ใช้ระยะเวลามากกว่านี้นั้นจำเป็นต่อการที่จะเรียนรู้ว่า ตัวบ่งชี้การติดเชื้อที่ลดลงภายหลังการรักษาเป็นเวลา 8 สัปดาห์นั้นสามารถนำไปสู่ความเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวและปัญหาทางกระบวนการเผาผลาญใดๆ หรือไม่ แต่สัญญาณในช่วงแรกนั้นก็ดูจะมีความเป็นไปได้อยู่บ้าง
“การลดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ และการจัดการกับไขมันอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอเช่นกัน เราต้องการที่จะจัดการกับจุดเชื่อมระหว่างการควบคุมกระบวนการเผาผลาญและการควบคุมภูมิคุ้มกัน ซึ่งตัวยาดังกล่าวนั้นได้ช่วยลดระดับการติดเชื้อมากเพียงพอที่จะทำให้ลดการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ลดภาวะหัวใจล้มเหลว เส้นเลือดไปเลี้ยงสมองอุดตัน หรือความดันเลือดสูงได้หรือไม่นั้นก็ยังเป็นคำถามที่จะต้องได้รับคำตอบ แต่การค้นพบที่เราได้มาตอนนี้นับว่ามาถูกทางแล้ว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก sciencedaily.com และ vcharkarn.com
Report : LIV Capsule