ข้อเท็จจริงกรณีแปลงค่าสัมปทานมือถือเป็นภาษีสรรพสามิต
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2550 นายสัก กอแสงเรือง และนายแก้วสรร อติโพธิ ได้แถลงข่าวว่า คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้มีมติให้ตั้งข้อกล่าวหาว่า “ท่านนายกฯทักษิณ ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ กรณีการแปลงค่าสัมปทานโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพาสามิต เอื้อประโยชน์ให้ บริษัท ชินคอร์ป และเป็นการทุจริตคอรัปชั่นเชิงนโยบาย ซึ่งถือเป็นการทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน”
ผมได้ ติดตามข่าวสารที่ นายแก้วสรร แถลงออกมาแล้วรู้สึกว่ามันไม่เป็นธรรมต่อท่านนายกฯทักษิณ และหากผมไม่นำข้อเท็จจริงมาชี้แจงเปิดเผยแล้วหล่ะก็ สังคมไทยอาจจะหลงเชื่อนายแก้วสรร
ผมจึงขอสรุปประเด็นข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้ . .
“ ผมในฐานะที่เคยนั่งอยู่ในคณะกรรมาธิการ พิจารณาร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยกิจการโทรคมนาคม ในสัดส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ในสภาผู้แทนราษฎร ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2540-2547มาโดยตลอด และเคยเรียนเชิญ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.) การสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) กรมสรรพสามิต เข้าชี้แจงในคณะกรรมาธิการฯ กรณีการแปลงค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือส่วนหนึ่งไปเป็นภาษีสรรพสามิต ซึ่งรัฐบาลของท่านนายกฯทักษิณ ได้ออกเป็นพระราชกำหนด หรือ กฎหมาย เมื่อครั้งรัฐบาลทักษิณ 1 ผมในขณะนั้นทำหน้าที่เป็นกรรมาธิการเสียงข้างน้อยก็เกิดข้อสงสัยว่า การออกกฎหมายเช่นนี้ บริษัทมือถือของท่านนายกฯทักษิณ และบริษัทมือถือรายอื่นๆ น่าจะได้รับประโยชน์ และรัฐบาลทักษิณ น่าจะมีวาระซ้อนเร้น แต่จากคำชี้แจงของเจ้าของสัมปทานไม่ว่าจะเป็น องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และ การสื่อสารแห่งประเทศไทย ผลปรากฏว่าทั้ง 2 หน่วยงาน ไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด เพราะเม็ดเงินค่าสัมปทานส่วนแบ่งที่ทั้ง 2 หน่วยงานได้รับในแต่ละปีและต้องนำส่งกระทรวงการคลังในทุกๆสิ้นปี เมื่อคำนวณตัวเลขออกมาแล้วใกล้เคียงกับตัวเลขการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิต 2 เปอร์เซ็นต์ ตามกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งหมายความว่า แทนที่กระทรวงการคลังจะได้รับเงินส่วนแบ่งจาก ทศท. และ กสท. ตอนสิ้นปีของทุกปี กระทรวงการคลังก็จะได้รับส่วนแบ่งจากสัมปทานมาใช้จ่ายก่อนทุกๆเดือน ในรูปแบบของการเรียกเก็บเป็นภาษีสรรพสามิต 2 เปอร์เซ็นต์ รัฐบาลก็จะมีเงินหมุนเวียนเพื่อมาใช้จ่ายในการบริหารประเทศชาติได้เร็วขึ้น
โดย เฉพาะคำชี้แจงของกรมสรรพสามิตว่าเหตุใดจึงต้องเรียกเก็บภาษี 2 เปอร์เซ็นต์ ทำไมไม่เรียกเก็บ 3 เปอร์เซ็นต์ 4 เปอร์เซ็นต์ หรือ 5 เปอร์เซ็นต์ ผลปรากฎว่ากรมสรรพสามิตได้คิดคำนวณส่วนแบ่งผลกำไรจากค่าสัมปทานที่ ทศท. และ กสท. เคยได้รับและนำส่งให้แก่กระทรวงการคลัง ย้อนหลังไปหลายๆปี ปรากฏว่าคิดเฉลี่ยแล้วตัวเลขการจัดเก็บ 2 เปอร์เซ็นต์ เหมาะสมและใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่สุด
ด้วยเหตุผลจากการชี้แจง ของทั้ง 3 หน่วยงาน ข้อเท็จจริงจึงปรากฏว่า บริษัทมือถือของท่านนายกฯทักษิณ และรายอื่น ไม่ได้มีผลประโยชน์เพิ่มขึ้นและการออกพระราชกำหนดหรือกฎหมายฉบับนี้
ไม่ ได้มีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือมีวาระซ้อนเร้นแต่ประการใด แต่ในทางกลับกันกลับทำให้รัฐบาลมีเงินสดหมุนเวียนเพื่อใช้จ่ายเป็นงบประมาณ แผ่นดินได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อนำมาใช้พัฒนาประเทศ เพราะถ้าหากว่ามีผลประโยชน์ซ้อนเร้นและสร้างความเสียหายแก่รัฐจริง ผมเชื่อว่ากรรมาธิการเสียงข้างน้อยหรือในสัดส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ก็คงไม่ ยอมปล่อยให้เรื่องเช่นนี้ หรือพฤติกรรมอย่างนี้หลุดรอดไปได้เป็นแน่แท้ และรัฐบาลทักษิณก็คงจะถูกถล่มและถูกอภิปรายซักฟอกถอดถอนรัฐมนตรี ไอซีที นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ 1 เรียบร้อยโรงเรียนจีนไปแล้ว”
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ข้อเท็จจริงที่ได้กล่าวสรุปมาข้างต้นนี้ คงจะช่วยให้คนไทยได้รับทราบความจริง และการกล่าวหาของ คตส. ที่ไม่ได้มีการศึกษารายละเอียดต่างๆให้รอบคอบถี่ถ้วนก่อนที่จะกล่าวหาท่าน นายกฯทักษิณ เป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง
อดีตคณะกรรมาธิการวิสามัญ
ร่างแก้ไข พรบ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม
สภาผู้แทนราษฎรในสัดส่วนของพรรคประชาธิปัตย์
ไปเจอบทความย้อนหลังเมื่ปี 2554 เรื่องข้อเท็จจริงกรณีแปลงค่าสัมปทานมือถือเป็นภาษีสรรพสามิต
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2550 นายสัก กอแสงเรือง และนายแก้วสรร อติโพธิ ได้แถลงข่าวว่า คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้มีมติให้ตั้งข้อกล่าวหาว่า “ท่านนายกฯทักษิณ ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ กรณีการแปลงค่าสัมปทานโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพาสามิต เอื้อประโยชน์ให้ บริษัท ชินคอร์ป และเป็นการทุจริตคอรัปชั่นเชิงนโยบาย ซึ่งถือเป็นการทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน”
ผมได้ ติดตามข่าวสารที่ นายแก้วสรร แถลงออกมาแล้วรู้สึกว่ามันไม่เป็นธรรมต่อท่านนายกฯทักษิณ และหากผมไม่นำข้อเท็จจริงมาชี้แจงเปิดเผยแล้วหล่ะก็ สังคมไทยอาจจะหลงเชื่อนายแก้วสรร
ผมจึงขอสรุปประเด็นข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้ . .
“ ผมในฐานะที่เคยนั่งอยู่ในคณะกรรมาธิการ พิจารณาร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยกิจการโทรคมนาคม ในสัดส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ในสภาผู้แทนราษฎร ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2540-2547มาโดยตลอด และเคยเรียนเชิญ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.) การสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) กรมสรรพสามิต เข้าชี้แจงในคณะกรรมาธิการฯ กรณีการแปลงค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือส่วนหนึ่งไปเป็นภาษีสรรพสามิต ซึ่งรัฐบาลของท่านนายกฯทักษิณ ได้ออกเป็นพระราชกำหนด หรือ กฎหมาย เมื่อครั้งรัฐบาลทักษิณ 1 ผมในขณะนั้นทำหน้าที่เป็นกรรมาธิการเสียงข้างน้อยก็เกิดข้อสงสัยว่า การออกกฎหมายเช่นนี้ บริษัทมือถือของท่านนายกฯทักษิณ และบริษัทมือถือรายอื่นๆ น่าจะได้รับประโยชน์ และรัฐบาลทักษิณ น่าจะมีวาระซ้อนเร้น แต่จากคำชี้แจงของเจ้าของสัมปทานไม่ว่าจะเป็น องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และ การสื่อสารแห่งประเทศไทย ผลปรากฏว่าทั้ง 2 หน่วยงาน ไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด เพราะเม็ดเงินค่าสัมปทานส่วนแบ่งที่ทั้ง 2 หน่วยงานได้รับในแต่ละปีและต้องนำส่งกระทรวงการคลังในทุกๆสิ้นปี เมื่อคำนวณตัวเลขออกมาแล้วใกล้เคียงกับตัวเลขการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิต 2 เปอร์เซ็นต์ ตามกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งหมายความว่า แทนที่กระทรวงการคลังจะได้รับเงินส่วนแบ่งจาก ทศท. และ กสท. ตอนสิ้นปีของทุกปี กระทรวงการคลังก็จะได้รับส่วนแบ่งจากสัมปทานมาใช้จ่ายก่อนทุกๆเดือน ในรูปแบบของการเรียกเก็บเป็นภาษีสรรพสามิต 2 เปอร์เซ็นต์ รัฐบาลก็จะมีเงินหมุนเวียนเพื่อมาใช้จ่ายในการบริหารประเทศชาติได้เร็วขึ้น
โดย เฉพาะคำชี้แจงของกรมสรรพสามิตว่าเหตุใดจึงต้องเรียกเก็บภาษี 2 เปอร์เซ็นต์ ทำไมไม่เรียกเก็บ 3 เปอร์เซ็นต์ 4 เปอร์เซ็นต์ หรือ 5 เปอร์เซ็นต์ ผลปรากฎว่ากรมสรรพสามิตได้คิดคำนวณส่วนแบ่งผลกำไรจากค่าสัมปทานที่ ทศท. และ กสท. เคยได้รับและนำส่งให้แก่กระทรวงการคลัง ย้อนหลังไปหลายๆปี ปรากฏว่าคิดเฉลี่ยแล้วตัวเลขการจัดเก็บ 2 เปอร์เซ็นต์ เหมาะสมและใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่สุด
ด้วยเหตุผลจากการชี้แจง ของทั้ง 3 หน่วยงาน ข้อเท็จจริงจึงปรากฏว่า บริษัทมือถือของท่านนายกฯทักษิณ และรายอื่น ไม่ได้มีผลประโยชน์เพิ่มขึ้นและการออกพระราชกำหนดหรือกฎหมายฉบับนี้
ไม่ ได้มีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือมีวาระซ้อนเร้นแต่ประการใด แต่ในทางกลับกันกลับทำให้รัฐบาลมีเงินสดหมุนเวียนเพื่อใช้จ่ายเป็นงบประมาณ แผ่นดินได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อนำมาใช้พัฒนาประเทศ เพราะถ้าหากว่ามีผลประโยชน์ซ้อนเร้นและสร้างความเสียหายแก่รัฐจริง ผมเชื่อว่ากรรมาธิการเสียงข้างน้อยหรือในสัดส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ก็คงไม่ ยอมปล่อยให้เรื่องเช่นนี้ หรือพฤติกรรมอย่างนี้หลุดรอดไปได้เป็นแน่แท้ และรัฐบาลทักษิณก็คงจะถูกถล่มและถูกอภิปรายซักฟอกถอดถอนรัฐมนตรี ไอซีที นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ 1 เรียบร้อยโรงเรียนจีนไปแล้ว”
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ข้อเท็จจริงที่ได้กล่าวสรุปมาข้างต้นนี้ คงจะช่วยให้คนไทยได้รับทราบความจริง และการกล่าวหาของ คตส. ที่ไม่ได้มีการศึกษารายละเอียดต่างๆให้รอบคอบถี่ถ้วนก่อนที่จะกล่าวหาท่าน นายกฯทักษิณ เป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง
อดีตคณะกรรมาธิการวิสามัญ
ร่างแก้ไข พรบ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม
สภาผู้แทนราษฎรในสัดส่วนของพรรคประชาธิปัตย์