ทฤษฎีขอบฟ้ากับความรัก :)

เคยมีใครหลายคนให้ความหมายของ "ขอบฟ้า" แตกต่างกันไป ที่เคยได้ยินมาบ่อยๆ น่าจะเป็น "เส้นแบ่งระหว่างพื้นโลกกับท้องฟ้า"

แล้วคำถามคือ มันมีอยู่จริงไหม?

พื้นโลก...คือส่วนที่เราจับต้องได้ เดินอยู่บนพื้นดินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโลกได้

ส่วนท้องฟ้า...เป็นสิ่งที่เรามองได้แค่ตา ไม่อาจเอื้อมมือไปคว้าเมฆแล้วหยิบลงมาได้ง่ายเหมือนที่หยิบสายไหม

เราไม่มีวันเอื้อมถึง...

จึงทำให้เราคิดนิยามใหม่เกี่ยวกับขอบฟ้าขึ้นมา มองในอีกแง่หนึ่ง มันน่าจะเป็นสิ่งที่กั้นระหว่างความเป็นจริงกับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

แล้วอีกคำถามหนึ่ง...เรารู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นไปไม่ได้?

แค่คำที่คนอื่นพร่ำบอกเรามาอย่างงั้นเหรอ?

คนเรามักใช้คำว่า "เป็นไปไม่ได้" ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มทำ ก็คิดเสียแล้วว่าจะทำไม่ได้

จริงๆแล้ว ไอ้ขอบฟ้าบ้าบออะไรนั่น มันไม่ได้กั้นเราจากอะไรทั้งนั้น แต่สิ่งที่อยู่ในใจเราเองมากกว่าที่ใช้มันมาเป็นข้ออ้างจากสิ่งที่เราคาดหวัง

ลองคิดดูสิ เมื่อเราเห็นเส้นขอบฟ้าอยู่เบื้องหน้า เราพยายามวิ่งตาม นั่งรถตามยังไง เราก็ไม่เคยถึงมัน มันก็ยังคงยาวไกลออกไปเรื่อยๆ

ความจริงคือ...มันไม่เคยสิ้นสุด...

หรือไม่... มันก็อาจไม่มีอยู่จริง

เลิกมองไปที่เส้นขอบฟ้า แล้วเงยหน้ามองฟ้าอย่างเดียวดีกว่า ไม่ว่าเราจะเอื้อมถึงหรือไม่ถึงมันก็ตาม

แต่ให้ถามตัวเองว่าเราเคยพยายามปีนขึ้นไปแตะมันไหม หรือว่าเราได้แต่มองขอบฟ้า แล้วบอก "เฮ้อ ไม่เอาดีกว่า สูงเกินไป"

อย่าคิดอย่างนี้

อย่ากลัวความสูง อย่ากลัวตก ให้ลองพยายามดูก่อน

แล้วถ้าเราไม่ประสบความสำเร็จกับการขึ้นไปจริงๆ เราอาจจะเจ็บกับการตกลงมากระแทกพื้นโลก

อย่างน้อยก็ยังได้ปีนขึ้นไป

และก็อย่าลืมว่า...พื้นดิน มีที่ให้เรายืนเสมอ ยังมีสายลมและต้นไม้โอบล้อมเราไว้มากมาย

ถึงแม้เมฆและหมู่ดาวจะอยู่ไกลแค่ไหน แต่เราก็ยังคงมองเห็นมันอยู่ดี

เช่นเดียวกับวลีหนึ่ง "ฟ้าไม่เคยมืดเกินมองเห็นดวงดาว"

เมื่อไหร่ที่มีรัก ทุกครั้งมีหวังเสมอ ยิ้ม

และอีกคำหนึ่ง ที่ควระจะจำไว้ให้มั่น ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม

"ขอบฟ้า....ไม่เคยมีอยู่จริง"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่