ในพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงไดโนเสาร์ไว้หรือเปล่า?

เพราะเท่าที่เคยศึกษามายังไม่เคยผ่านตาเลยครับ
แต่ที่สงสัยจริงๆเพราะท่านตรัสเรื่องการระลึกชาติ
หลายภพหลายชาติมาก แต่ไม่เคยเห็นตรัสถึงสัตว์ยักษ์
หรือเป็นไปได้ไหมว่าท่านเวียนว่ายตายเกิดหลังจากยุคไดโนเสาร์หรือเปล่า?
ที่ผมติดคือ คำว่าหลายกัลป์นี่แหละครับ...ถ้ากัลป์นึงนานจริงๆก็น่าจะมีไดโนเสาร์ด้วยหรือเปล่าครับ?
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 15
มีครับ  นกหัสดีลิงค์  ไง  หาอ่านดูในธรรมบท  ที่จับพระมารดาพระเจ้าอุเทนไว้ในกงเล็บแล้วบินไป

นกหัสดีลิงค์ ปรากฏในภาษาบาลีว่า หัตดีลิงค์สกุโณ (หัตดี คือ ช้าง ลิงค์ แปลว่า เพศ สกุโณ แปลว่า นก)   อาจจะเป็นไดโนเสาร์  ธีโคดอนท์ (thecodont) สัตว์เลื้อยคลานที่เป็นบรรพบุรุษโดยตรงของไดโนเสาร์ เทอโรซอร์ อาร์คีออปเทอริกลองเทียบภาพดูมีส่วนคล้ายกันพอควร

นกหัสดีลิงค์


ไดโนเสาร์  ธีโคดอนท์




ขอเล่าประวัติพระเจ้าอุเทนให้ฟัง เพราะประวัติท่านสนุกดีมีคติเตือนใจ

   พระเจ้าอุเทนมีกำเนิดในวรรณะกษัตริย์ ขณะยังเป็นพระกุมาร

ฤดูหนาววันหนึ่งพระราชบิดากับพระราชมารดาประทับนั่งตากแดดอยู่ตรงระเบียง

ปราสาท  วันนั้นพระมเหสีห่มผ้ากัมพลสีแดง

บังเอิญนกหัสดีลิงค์ตัวหนึ่ง (นกยักษ์มีกำลังเท่าช้างสาร)

บินผ่านมาเจอเห็นผ้าสีแดงนึกว่าชิ้นเนื้อเลยลงโฉบจับพระมเหสีพร้อมเจ้าชายน้อยไป

   กล่าวถึงราชาอีกสององค์เบื่อหน่ายชีวิตฆราวาสเลยชวนกันไปบวชเป็นฤาษีในป่า

องค์หนึ่งตายไปก่อนเหลืออีกองค์อยู่คนเดียว ฤาษีที่ยังมีชิวิตนี้ได้ไปเก็บกระดูกสัตว์

ที่นกกินเหลือเอามาต้มดื่ม  เมื่อนกบินไปถึงรังขณะกำลังจะลงมือกินแม่ลูก

พระมเหสีสติดีได้ร้องตะโกนขึ้นเพื่อไล่นกหนีไป

(ไม่ตะโกนตอนอยู่บนอากาศเดี๋ยวตกมาตาย) ฤาษีได้ยินเสียงคนเสียงเด็กร้อง

จึงปีนขึ้นไปรับลงมาพาไปอยู่อาศรมของตน ฝ่ายมเหสีเพื่อความมั่นคงของชีวิต

ก็ใช้มายาหญิงยั่วฤาษีจนตบะแตกอยู่เป็นผัวเมียกัน ฤาษีได้สอนมนต์พิณพระกุมาร

ที่สามารถควบคุมช้างทั้งฝูงให้อยู่ในอำนาจได้ พอพระกุมารโตเป็นหนุ่มข่าววิชาพิณ

เรียกช้างได้ไปเข้าหูราชาเมืองอุชเชนีซึ่งมีพระราชธิดาสวยงามอยู่องค์หนึ่ง

   พระราชาจึงส่งคนไปตามเจ้าชายอุเทนมาสอนวิชาให้ แต่เจ้าชายมีกฎกติกาว่า

คนจะเรียนวิชาด้วยต้องทำความเคารพเชื่อฟังตนจึงจะสอนวิชาให้

ด้วยความถือพระองค์พระราชาไม่ยอมไปเรียนเองเลยส่งพระราชธิดาไปแทน

ด้วยการให้นั่งเรียนกั้นผ้าม่านไว้ไม่ให้คนทั้งสองเห็นกันและกัน ป้องกันปัญหาชู้สาว

แล้วบอกพระธิดาว่าอาจารย์ที่สอนเป็นโรคเรื้อนขี้ทูต

บอกเจ้าชายว่าคนที่มาเรียนเป็นหญิงสามัญหน้าตาน่าเกลียด

วันหนึ่งเจ้าชายอุเทนสอนคาถาบทหนึ่งแก่พระธิดา พระธิดาก็จำไม่ได้สักที

เจ้าชายโมโหเลยด่าว่าหน้าตาอุบาทว์ไม่พอยังโง่อีกต่างหาก

เจ้าหญิงพอได้ฟังโกรธมากโต้ตอบกลับว่าแกเป็นใครมาว่าคนอย่างข้า ไอ้ขี้เรื้อน

เจ้าชายเลยกระชากผ้าม่านออกพอเห็นหน้าตาอันสวยงามหล่อเหลาของกันและกัน

ทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกันทันที อยู่ต่อมาเจ้าชายออกอุบายพาเจ้าหญิงขี่ช้างหนีไป

พอทหารติดตามมาเจ้าชายก็หว่านเงินทองลงให้พวกที่ติดตามหยุดก้มเก็บเงิน

จนช้างเข้าเขตเมืองอื่น ภายหลังเจ้าชายอุเทนได้ยกกองกำลังช้างเข้ายึดราชสมบัติ

เมืองที่พระราชบิดาเคยครองราชย์

   เมื่อสถาปนาเป็นกษัตริย์พระเจ้าอุเทน

มีมเหสีสามคน คนแรกคือเจ้าหญิงที่มาเรียนมนต์ด้วย

คนที่สองเป็นลูกสาวพราหมณ์ชื่อมาคันทิยา

ก่อนเป็นมเหสีมีเศรษฐีน้อยใหญ่เคยส่งคนมาขอนางกับพ่อแม่

แต่นางปฏิเสธบอกว่าไม่คู่ควรกับตน  มาคันทิยาเคยมีปัญหากับพระพุทธเจ้า

ผูกอาฆาตพระองค์ไว้เพราะพ่อกับแม่จะยกนางให้พระพุทธเจ้า

แต่พระองค์ไม่ยอมรับแถมตรัสว่าร่างกายของนางเต็มไปด้วยของสกปรก

(ร่างกายทุกคน ตรัสความจริงแต่นางเสียหน้าเลยผูกใจโกรธ)

มาคันทิยาเคยจ้างคนมาตามด่าพระพุทธเจ้าตอนเสด็จบิณฑบาต

พระอานนท์ทนรำคาญไม่ไหวกราบทูลให้เสด็จไปเมืองอื่น แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

ไปเมืองอื่นถ้าเจอแบบนี้อีกจะทำยังไง พระอานนท์กราบทูลว่าย้ายไปเรื่อยๆ

พระองค์ตรัสว่าปัญหาเกิดตรงไหนต้องแก้ตรงนั้น (วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องคือสู้ปัญหา)

   มเหสีองค์สุดท้ายเป็นหญิงสามัญเร่ร่อนไปกับพ่อแม่เพราะบ้านเดิมเกิดข้าวยาก

หมากแพง ขณะไปรอรับอาหารที่โรงทาน วันแรกนางขออาหารสามชุด (พ่อแม่ลูก)

วันสองขอสองชุด (พ่อตาย) วันสามขอชุดเดียว (แม่ตาย)

คนแจกนึกว่านางตะกละเลยด่าว่า นางจึงเฉลยความจริงให้ฟัง

เจ้าของโรงทานเลื่อมใสเลยรับนางเป็นลูกบุญธรรม พระเจ้าอุเทนทราบข่าวจึงแต่งตั้ง

นางเป็นมเหสี (หน้าตาดีด้วย) นางมีชื่อว่าสามาวดี (แปลว่า รั้ว) เป็นอุบาสิกามีศรัทธา

ในพุทธศาสนา เมื่อมาเป็นมเหสีของพระเจ้าอุเทนนางก็เป็นคนโปรดพระราชสวามี

เสด็จมาค้างคืนด้วยบ่อยๆทำให้นางมาคันทิยาไม่พอใจบวกกับนางเกลียดพระพุทธ

เจ้าอยู่แ้ล้วเลยยิ่งเกลียดสามาวดีไปใหญ่ นางมาคันทิยาให้คนเอางูไปใส่ในพิณใน

ห้องสามาวดีเพื่อใส่ร้ายว่านางคิดทำร้ายพระเจ้าอุเทน แต่พระเจ้าอุเทนไม่เชื่อ

อีกครั้งหนึ่งมาคันทิยาให้คนเอาไก่เป็นๆไปให้สามาวดีบอกว่าพระเจ้าอุเทนอยากเสวย

แต่สามาวดีไม่ยอมฆ๋าไก่เลยปฏิเสธ มาคันทิยาจึงให้คนเอาไก่ตายไปให้นางทำ

อาหารถวายพระพุทธเจ้า นางยินดีเพราะไก่ตายแล้วเลยทำอาหารไปถวายพระองค์

มาคันทิยาเอาเรื่องไปฟ้องพระเจ้าอุเทน แต่พระองค์ก็ไม่เชื่อเหมือนเดิม

   ขอเล่าเกล็ดประวัติหน้าต่างหน่อย อินเดียสมัยโบราณตามปราสาทต่างๆ

ไม่มีหน้าต่างบานใหญ่แบบปัจจุบัน  เพื่อกันไม่ให้คนข้างใน

(มเหสีสนมนางใน) เห็นคนนอก (ชาวบ้าน)

และคนนอกเห็นคนข้างใน มีเพียงช่องเล็กๆให้ฝ่ายในแอบมองโลกภายนอก

(เหมือนวังที่เมืองชัยปุระของอินเดียปัจจุบัน) แต่นางสามาวดีเป็นคนแรกที่สร้าง

หน้าต่างเพื่อดูและยกมือไหว้พระพุทธเจ้าตอนพระองค์เสด็จบิณฑบาต

   ต่อมาวันหนึ่งนางมาคันทิยาให้คนปิดประตูปราสาทนางสามาวดีแล้วเอาไฟเผา

นางสามาวดีตายพร้อมกับบริวารไปเกิดบนสวรรค์ เนื่องจากสมาทานศีลก่อนตาย

บวกกับเคยทำบุญมามาก
สาเหตุที่สามาวดีโดนเผาเป็นเพราะชาติก่อนนางไปอาบน้ำที่แม่น้ำ

พอขึ้นมาบนฝั่งจะก่อไฟผิงกันหนาว

บังเอิญป่าหญ้าที่นางเผามีพระนั่งเข้าสมาบัติอยู่ (นั่งสมาธิหลายวัน)

พอนางเห็นพระโดนเผาแทนที่จะดับไฟกลับสุมเชื้อเข้าไปอีกเพื่อทำลายหลักฐาน

(พระมีฤทธิ์ไม่เป็นไร) เพราะนางตั้งใจเผาพระทำให้ชาตินี้เลยถูกเขาเผาคืน

    สุดท้ายพระเจ้าอุเทนสั่งให้สอบสวนจับตัวนางมาคันทิยา
พร้อมญาติมือวางเพลิงมาประหารด้วยการขุดหลุมฝังโผล่แค่คอ

แล้วเอาฟางสุมจุดไฟเผาเอาไถเหล็กมาไถตัดหัวจนตาย

จบประวัติพระเจ้าอุเทนแต่เพียงเท่านี้ หวังว่าท่านผู้อ่านจะได้ประโยชน์บ้าง

http://talk.mthai.com/topic/77061

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่