ต่อจากเมื่อวาน กะทู้
http://ppantip.com/topic/34169023
เราไม่แพ้สงครามจริงหรือ..? คือคำถามทิ้งท้ายไว้ในเรื่องราวของ เสรีไทย ตอนแรกในบทความของผม
ถ้าตอบตามที่เราร่ำเรียนกันมาในตำราและสถาบันการศึกษา ก็คือ ถูกต้อง เราไม่ใช่ผู้แพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2
แหม..คำตอบมันช่างให้ความรู้สึก โก้หรู ควรค่าแก่การภาคภูมิใจว่า ชาติไทยนี้แหละเจ๋ง เข้มแข็งไม่น้อยหน้าชาติไหนในโลก
แต่ถ้าตอบแบบคนที่อ่านและศึกษาประวัติศาสตร์ช่วงนี้มาบ้าง คำตอบมันจะแตกต่างไปจากที่เคยถูกสอนมาอย่างสิ้นเชิง และต้องออกตัวว่า ผมไม่ใช่ปราชญ์ผู้รู้อันใดในสายประวัติศาสตร์นะครับ เป็นแค่ช่างซ่อมคอมฯกระจอกงอกง่อยคนหนึ่ง ที่บังเอิญชอบอ่านหนังสือ และเมื่ออ่านก็เกิดสงสัย จึงต้องอ่านต่อไปเพื่อค้นหาความกระจ่างก็เท่านั้นเอง
แล้วทำไมคนที่อ่านหนังสือมาอย่างผม ถึงบอกว่าที่เราถูกสอนกันมามันผิด ก็ขอตอบว่า มีแค่ประเทสไทยในโลกนี้เท่านั้น ที่บอกว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในฝ่ายแพ้สงคราม ขนาดพี่เบึ้มที่เราไปเลียแข้งเลียขาขอให้เขาช่วย เขายังบันทึกตราหน้าเราไว้เลย ว่าเราเป็นพวก อักษะ
หลักฐานที่ยังปรากฏอยู่ในประวัติสาตร์ไทย ที่เขียนกันเอง หลอกให้เชื่อกันเอง ก็ย้อนแยงคำกล่าวที่ว่า ไทยไม่ได้เป็นฝ่ายแพ้สงครามอยู่หลายชิ้น ซึ่งผมจะกล่าวถึงบางส่วนที่ผมค้นหามาได้ ดังนี้
1.ประเทศผู้สงคราม ผู้นำประเทศจะถูกตั้งข้อหา อาชญากรรสงครามโดยอัตโนมัติ รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงครามก็ประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกา จนท้ายที่สุดเมื่อญี่ปุ่นและเราแพ้ จอมพลท่านี้ ก็ตกเป็น อาชญากรสงคราม ต้องขึ้นศาลโลก
แต่ด้วยความที่เป็นประเทศแบบไทยๆ ก้อ้างแบบไทยๆว่า สงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้ยุติลง โดยที่ประเทศไทยไม่ต้องตกเป็นฝ่ายแพ้สงครามรัฐบาลไทยไม่ต้องยอมจำนนต่อผู้ใด กองทัพไทยไม่ต้องวางอาวุธ และประเทศไทยไม่ต้องถูกยึดครองโดยฝ่ายที่ชนะสงคราม(ที่ตอนนี้กลับไม่กล้าบอกว่าเป็นพวกเดียวกัน)
ยิ่งไปกว่านั้นยังบอกอีกว่า ฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งโดยนิตินัยเป็นคู่กรณีกับไทย ได้เป็นผู้แนะนำให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของไทยประกาศสันติภาพ ซึ่งลบล้างปฏิบัติการต่างๆ ของไทยนับตั้งแต่วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ซึ่งเป็นวันที่ญี่ปุ่นเปิดฉากสงครามเป็นต้นมาเสียทั้งหมด โดยให้ทุกสิ่งทุกอย่างคืนสู่สถานสภาพเมื่อก่อนวันดังกล่าว รวมทั้งประกาศสงครามที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของประชาชนชาวไทย
อ้างกันยาวยืดมาก็เพื่อบอกประชาชนของตัวเองว่า เราไม่ได้แพ้ แต่ประเด็นคืออย่างที่ผมบอก ประเทศไหนแพ้สงคราม ผู้นำของประเทศนั้นก็ต้องตกเป็น อาชญากรสงคราม ซึ่งในที่นี้ จอมพล ป. ก็ตกเป็นอาชญากรสงครามจริงๆ แต่สิ่งที่ทำให้ต่างชาติและชาวโลกรู้จักประเทศของเราดียิ่งขึ้น ก็คือ เราไม่ส่งตัวจอมพล ป. ไปขึ้นศาลอาชญากรสงคราม และให้ศาลไทยพิจารณาเห็นว่า กฎหมายย่อมไม่มีผลย้อนหลัง เล่นเอา พลเมืองของสมเด็จพระราชินีถึงกับอ้าปากหวอกันเลยที่เดียว(คนอังกฤษ เพราะอังกฤษเป็นตัวตัวตัวตีที่จะให้ไทยยอมส่งจอมพล ป.ขึ้นศาลอาชญากรให้ได้)
ซึ่งการกระทำครั้งนั้น เป้นครั้งแรกๆที่ให้ศาลไทย ใช้คำตัดสินกระทำผิดรัฐธรรมนูญของตัวเอง จนทุกวันนี้ กลายเป็นเรื่องปกติ ตามแบบไทยๆ
แล้วถามว่าทำไมอังกฤษถึงเป็นเดือดเป็นร้อนในเรื่องนี้นัก ก็เพราะหากไทยไม่ตกเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม อังกฤษก็ต้องไม่สามารถเรียกร้อง ค่า ปฏิกรรมสงครามจากไทยได้ ในฐานะที่ตัวเองเป็นผู้เสียหาย จาการเป็นเจ้าอาณานิคมพม่า แล้วโดนกองทหารผสมไทยญี่ปุ่นบุกโจมตี (จริงๆ เราร่วมกับญี่ปุ่น โจมตียาวไปถึงนานกิง เมืองจีนโน้นเลย)
แล้วเราต้องจ่ายค่า ปฏิกรรมสงครามให้อังกฤษไหม ซึ่งถ้าจ่ายจริง ก็เป็นหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งที่ระบุว่า ประเทศไทยเป็นผู้แพ้สงคราม คำตอบคือไม่ชัดเจนว่ามีการจ่ายจริง เพราะปรากฏแค่ว่า ไทยให้ข้าวสารกับอังกฤษไปหลายแสนกระสอบ พอมีคนตั้งข้อสงสัยกับรัฐบาลในช่วงนั้น ก็ได้รับคำตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มปากเต็มคำว่า ขายให้แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าขายได้เท่าไร จนสุดท้ายก็ออกมาอ้อมแอ้มอีกทีหนึ่ง ว่าให้เปล่า
อังกฤษพอได้ส่วนที่ตัวเองเรียกร้องแล้ว ก็ไม่ได้โวยวายอะไร ประจวบกับไทยเรา เกาะแข้งขาพี่เบึ้มอย่างอเมริกาอยู่ ใช้อเมริกาบังหน้า จึงรอดจากคู่กรณีหลายๆประเทสมาได้ แต่เราก็สูญเสียอย่างหนักหนาให้กับเต็มใจยอมเป็นลูกกะจ็อกของอเมริกา ซึ่งไว้วันหลัง ผมจะมาเล่าให้ฟัง
ทำไมประเทศไทยไม่ยอมรับความจริงว่าเราแพ้สงคราม ภาวะแพ้สงคราม ไทยน่ากลัวหรือเลวร้ายกว่า ที่เราได้รับในขณะที่ยืนกระต่ายขาเดียวบอกว่าเราไม่แพ้ แต่ทั้งโลกเขารุมชี้หน้า บทความตอน2 ของผมไม่ได้เอ่ยถึงขบวนการเสรีไทยเลย เพราะว่าอะไร ก็เพราะว่า เสรีไทยเป็นเพียงหุ่นเชิด ที่ถูกคนบางกลุ่มสมอ้างมาเป็นพฤติกรรมของตัวเองนะสิครับ
ผมขอทวนคำถามอีกที เพื่อป้องกันมิให้ท่านทั้งหลายที่เข้ามาอ่านเข้าใจประเด็นผิดไป
เสรีไทย มีจริงไหม..? เป็นขบวนการลุกขึ้นต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่นใช่หรือไม่..?
ก็ตอบว่า มีจริง และวีรกรรมการลุกขึ้นต่อต้านอริศัตรูของพวกท่านวีรชนเหล่านั้น ควรค่าแก่การยกย่องสรรเสริญ
เสรีไทยช่วยให้เราไม่ตกเป็นฝ่ายแพ้สงครามจริงไหม..?
คำตอบคือ ไม่จริง การจะมีเสรีไทยหรือไม่นั้น ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสถานะของฝ่ายอักษะ ที่โลกจารึกว่าไทยเป็นในตอนนั้น การลงนามเข้าร่วมใน “กติกาสัญญาพันธะไมตรีระหว่างประเทศญี่ปุ่นกับประเทศไทย” เป็นการลงสัญญาในฐานะตัวแทนชาติ แม้วีรกรรมของเสรีไทยจะยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ไม่อาจเปลี่ยนความเป็นจริงได้ ว่าเราแพ้สงครามร่วมกับญี่ปุ่น แต่ถ้าไม่มีเสรีไทยแล้ว ความสูญเสียที่เราได้รับหลังสงคราม อาจหนักหนากว่านี้หลายเท่า
ไทยดำเนินนโยบายสองหน้าจริงหรือ...?
คำตอบคือ ไม่จริง เพราะในทางปฏิบัติแล้ว รัฐบาลจอมพล ป.เข้าร่วมกับญี่ปุ่นเต็มตัว ดูได้จากการส่งกำลังรบเข้าตีพม่าและนานกิงร่วมกับญี่ปุ่น เพื่อหวังครอบครองดินแดนสิบสองปันนา ตามข้อตกลงร่วมกัน หากเป็นผู้ชนะสงคราม (ตอนเขียนบทความนี้ครั้งแรก มีเนื้อหาในส่วนนี้ด้วย แต่ผมเห็นว่าถ้าใส่ลงมา บทความคงยืดยาวจนไม่เหลือใครอ่าน จึงตัดออก) ส่วน องค์การต่อต้านญี่ปุ่นที่ก่อตั้งโดยนายปรีดี มีวัตถุประสงค์เพื่อตอบโต้ญี่ปุ่น แล้วยังมีวัตถุประสงค์เพื่อขับไล่ จอมพล ป. ออกจากอำนาจร่วมอยู่ด้วย
ซึ่งแปลว่า แยกกันอย่างชัดเจน ไม่ได้มีการตีสองหน้าแต่อย่างใด นายปรีดีเอง เมื่อญี่ปุ่นยกพลเข้าไทยได้สำเร็จก็ออกจากคณะรัฐมนตรี ไปดำรงตำแหน่ง ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐบาลแต่อย่างใด
คำถามต่อมาน่าสนใจ และเป็นประเด็นของบทความชิ้นนี้
แล้วทำไม ถึงได้อ้างเสรีไทยในการบิดเบือนประวัติศาสตร์ชาติตัวเอง..?
คำตอบที่ผมได้คือ เป็นการแบ่งปันผลประโยชน์โดยคน 2กลุ่ม ซึ่งถือครองอำนาจทางการเมืองไว้ในมือ
กลุ่มแรก ออกแรงสนับสนุนและโปรโมทเรื่องนี้อย่างออกนอกหน้า ก็เพื่อเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจซึ่งฝ่ายทหารโดยการนำของจอมพล ป.ถือครองมานาน ซึ่งต่อมาก็สืบทอดอำนาจนี้ไว้เอง อย่าง นายควง อภัยวงค์ และม.ร.ว เสนีย์ ปราโมท
กลุ่มที่สองคือกลุ่มเผด็จการทหารซึ่งเลือกข้างผิดนำพาชาติเข้าร่วมกับญี่ปุ่น แต่ไม่อยากร่วมรับกรรมไปกับการผ่ายแพ้สงครามครั้งนี้ จึงพยายามทุกวิธีใช้อำนาจที่ตนครอบครองอยู่ครั้งสุดท้ายเพื่อแลกกับทางรอดพ้น ซึ่งก็คือยอมยกอำนาจตัวเองให้อีกฝ่าย
แต่ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งผมไม่กล่าวถึงไม่ได้ คนกลุ่มนั้นก็คือ วีรชนผู้กล้าตัวจริง ที่ลุกขึ้นต่อต้านศัตรูเพื่อหวังให้ชาติดำรงความเป็นเอกราชไว้ คือกลุ่มนิสิตนักศึกษา ประชาชนผู้ลงมือปฏิบัติการในนามเสรีไทย ผู้เสียสละเลือดเนื้อ ชีวิต เพื่อบ้านเกิดเมืองนอน และผมจะขอตั้งกะทู้ขึ้นมาอีกกะทู้ เพื่อยกย่องวีรกรรมของท่านเหล่านั้น โดยเฉพาะ
http://ppantip.com/topic/34171380
และยิ่งลืมไม่ได้กับผู้นำความคิดอย่าง นายปรีดี พนมยงค์ ที่สุดท้ายกลับกลายเป็นบุคคลที่ถูกสมอ้าง และฮุบเอาความดีความชอบของ เสรีไทยไปอวดอ้างว่าตัวเองเป็นผู้กระทำอย่างไม่ละอาย
นายปรีดี พนมยงค์ ชายผู้ต่อสู้เพื่อชาติและประชาธิปไตยมาทั้งชีวิต แต่ก็ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาเป็นผู้ชนะ องค์การต่อต้านญี่ปุ่นหรือที่ถูกผู้อื่นแปลงชื่อแล้วพยายามกอดกุมความดีงามของ เจตนารมณ์การก่อตั้งองค์กรนี้ไว้กับตัวเองและพวกพ้อง ทั้งๆที่ตนเองเป็นคนลงมือลงแรง แต่คนบางจำพวกกับถือโอกาสนี้มาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์
ซึ่งบทความต่อไปของผม ก็จะเป็นเรื่องของบุคคลท่านี้แหละ และผมก็ตั้งชื่อเรกเรตติ้งของบทความไว้แล้วว่า
นายปรีดี พนมยงค์ ชายผู้ผ่ายแพ้ทั้งชีวิต ใครสนใจรอติดตามอ่านกันได้นะครับ
บทความของผมจบแล้ว แต่สิ่งที่ผมอยากสื่อออกไปยังไม่จบ ผมอยากชักชวนปราชญ์ผู้รู้ทั้งหลาย มาร่วมกันเขียนบทความที่น่าอ่านกันอีกครั้งเถอะครับ เชื่อว่ายังมีหลายๆคนรออ่านบทความดีๆที่ตั้งใจเขียนมาให้อ่านกันอยู่ ผมเองก็จะกลับมาเริ่มเขียนใหม่อีกครั้ง แม้จะมีคนอ่านน้อยก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงอย่างน้อยก็ได้ภาคภูมิใจในตัวเอง ที่ได้กระทำเรื่องดีๆให้สมกับความรู้และสติปัญญาของตนเอง
ขอบคุณครับ
นายพระรอง
ผมเขียนของผมจบแล้ว กำลังตั้งนะโม 3 จบ เพื่อหวังว่า
ข้อความของผมจะสามารถส่งผ่านไปให้คนที่ต้องการอ่านบทความได้อ่านกันนะครับ เพี้ยง..........
(บทความ)เสรีไทย ขบวนการกู้ชาติ หรือหน้ากากผู้ดีจอมปลอม ตอนจบ
เราไม่แพ้สงครามจริงหรือ..? คือคำถามทิ้งท้ายไว้ในเรื่องราวของ เสรีไทย ตอนแรกในบทความของผม
ถ้าตอบตามที่เราร่ำเรียนกันมาในตำราและสถาบันการศึกษา ก็คือ ถูกต้อง เราไม่ใช่ผู้แพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2
แหม..คำตอบมันช่างให้ความรู้สึก โก้หรู ควรค่าแก่การภาคภูมิใจว่า ชาติไทยนี้แหละเจ๋ง เข้มแข็งไม่น้อยหน้าชาติไหนในโลก
แต่ถ้าตอบแบบคนที่อ่านและศึกษาประวัติศาสตร์ช่วงนี้มาบ้าง คำตอบมันจะแตกต่างไปจากที่เคยถูกสอนมาอย่างสิ้นเชิง และต้องออกตัวว่า ผมไม่ใช่ปราชญ์ผู้รู้อันใดในสายประวัติศาสตร์นะครับ เป็นแค่ช่างซ่อมคอมฯกระจอกงอกง่อยคนหนึ่ง ที่บังเอิญชอบอ่านหนังสือ และเมื่ออ่านก็เกิดสงสัย จึงต้องอ่านต่อไปเพื่อค้นหาความกระจ่างก็เท่านั้นเอง
แล้วทำไมคนที่อ่านหนังสือมาอย่างผม ถึงบอกว่าที่เราถูกสอนกันมามันผิด ก็ขอตอบว่า มีแค่ประเทสไทยในโลกนี้เท่านั้น ที่บอกว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในฝ่ายแพ้สงคราม ขนาดพี่เบึ้มที่เราไปเลียแข้งเลียขาขอให้เขาช่วย เขายังบันทึกตราหน้าเราไว้เลย ว่าเราเป็นพวก อักษะ
หลักฐานที่ยังปรากฏอยู่ในประวัติสาตร์ไทย ที่เขียนกันเอง หลอกให้เชื่อกันเอง ก็ย้อนแยงคำกล่าวที่ว่า ไทยไม่ได้เป็นฝ่ายแพ้สงครามอยู่หลายชิ้น ซึ่งผมจะกล่าวถึงบางส่วนที่ผมค้นหามาได้ ดังนี้
1.ประเทศผู้สงคราม ผู้นำประเทศจะถูกตั้งข้อหา อาชญากรรสงครามโดยอัตโนมัติ รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงครามก็ประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกา จนท้ายที่สุดเมื่อญี่ปุ่นและเราแพ้ จอมพลท่านี้ ก็ตกเป็น อาชญากรสงคราม ต้องขึ้นศาลโลก
แต่ด้วยความที่เป็นประเทศแบบไทยๆ ก้อ้างแบบไทยๆว่า สงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้ยุติลง โดยที่ประเทศไทยไม่ต้องตกเป็นฝ่ายแพ้สงครามรัฐบาลไทยไม่ต้องยอมจำนนต่อผู้ใด กองทัพไทยไม่ต้องวางอาวุธ และประเทศไทยไม่ต้องถูกยึดครองโดยฝ่ายที่ชนะสงคราม(ที่ตอนนี้กลับไม่กล้าบอกว่าเป็นพวกเดียวกัน)
ยิ่งไปกว่านั้นยังบอกอีกว่า ฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งโดยนิตินัยเป็นคู่กรณีกับไทย ได้เป็นผู้แนะนำให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของไทยประกาศสันติภาพ ซึ่งลบล้างปฏิบัติการต่างๆ ของไทยนับตั้งแต่วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ซึ่งเป็นวันที่ญี่ปุ่นเปิดฉากสงครามเป็นต้นมาเสียทั้งหมด โดยให้ทุกสิ่งทุกอย่างคืนสู่สถานสภาพเมื่อก่อนวันดังกล่าว รวมทั้งประกาศสงครามที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของประชาชนชาวไทย
อ้างกันยาวยืดมาก็เพื่อบอกประชาชนของตัวเองว่า เราไม่ได้แพ้ แต่ประเด็นคืออย่างที่ผมบอก ประเทศไหนแพ้สงคราม ผู้นำของประเทศนั้นก็ต้องตกเป็น อาชญากรสงคราม ซึ่งในที่นี้ จอมพล ป. ก็ตกเป็นอาชญากรสงครามจริงๆ แต่สิ่งที่ทำให้ต่างชาติและชาวโลกรู้จักประเทศของเราดียิ่งขึ้น ก็คือ เราไม่ส่งตัวจอมพล ป. ไปขึ้นศาลอาชญากรสงคราม และให้ศาลไทยพิจารณาเห็นว่า กฎหมายย่อมไม่มีผลย้อนหลัง เล่นเอา พลเมืองของสมเด็จพระราชินีถึงกับอ้าปากหวอกันเลยที่เดียว(คนอังกฤษ เพราะอังกฤษเป็นตัวตัวตัวตีที่จะให้ไทยยอมส่งจอมพล ป.ขึ้นศาลอาชญากรให้ได้)
ซึ่งการกระทำครั้งนั้น เป้นครั้งแรกๆที่ให้ศาลไทย ใช้คำตัดสินกระทำผิดรัฐธรรมนูญของตัวเอง จนทุกวันนี้ กลายเป็นเรื่องปกติ ตามแบบไทยๆ
แล้วถามว่าทำไมอังกฤษถึงเป็นเดือดเป็นร้อนในเรื่องนี้นัก ก็เพราะหากไทยไม่ตกเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม อังกฤษก็ต้องไม่สามารถเรียกร้อง ค่า ปฏิกรรมสงครามจากไทยได้ ในฐานะที่ตัวเองเป็นผู้เสียหาย จาการเป็นเจ้าอาณานิคมพม่า แล้วโดนกองทหารผสมไทยญี่ปุ่นบุกโจมตี (จริงๆ เราร่วมกับญี่ปุ่น โจมตียาวไปถึงนานกิง เมืองจีนโน้นเลย)
แล้วเราต้องจ่ายค่า ปฏิกรรมสงครามให้อังกฤษไหม ซึ่งถ้าจ่ายจริง ก็เป็นหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งที่ระบุว่า ประเทศไทยเป็นผู้แพ้สงคราม คำตอบคือไม่ชัดเจนว่ามีการจ่ายจริง เพราะปรากฏแค่ว่า ไทยให้ข้าวสารกับอังกฤษไปหลายแสนกระสอบ พอมีคนตั้งข้อสงสัยกับรัฐบาลในช่วงนั้น ก็ได้รับคำตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มปากเต็มคำว่า ขายให้แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าขายได้เท่าไร จนสุดท้ายก็ออกมาอ้อมแอ้มอีกทีหนึ่ง ว่าให้เปล่า
อังกฤษพอได้ส่วนที่ตัวเองเรียกร้องแล้ว ก็ไม่ได้โวยวายอะไร ประจวบกับไทยเรา เกาะแข้งขาพี่เบึ้มอย่างอเมริกาอยู่ ใช้อเมริกาบังหน้า จึงรอดจากคู่กรณีหลายๆประเทสมาได้ แต่เราก็สูญเสียอย่างหนักหนาให้กับเต็มใจยอมเป็นลูกกะจ็อกของอเมริกา ซึ่งไว้วันหลัง ผมจะมาเล่าให้ฟัง
ทำไมประเทศไทยไม่ยอมรับความจริงว่าเราแพ้สงคราม ภาวะแพ้สงคราม ไทยน่ากลัวหรือเลวร้ายกว่า ที่เราได้รับในขณะที่ยืนกระต่ายขาเดียวบอกว่าเราไม่แพ้ แต่ทั้งโลกเขารุมชี้หน้า บทความตอน2 ของผมไม่ได้เอ่ยถึงขบวนการเสรีไทยเลย เพราะว่าอะไร ก็เพราะว่า เสรีไทยเป็นเพียงหุ่นเชิด ที่ถูกคนบางกลุ่มสมอ้างมาเป็นพฤติกรรมของตัวเองนะสิครับ
ผมขอทวนคำถามอีกที เพื่อป้องกันมิให้ท่านทั้งหลายที่เข้ามาอ่านเข้าใจประเด็นผิดไป
เสรีไทย มีจริงไหม..? เป็นขบวนการลุกขึ้นต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่นใช่หรือไม่..?
ก็ตอบว่า มีจริง และวีรกรรมการลุกขึ้นต่อต้านอริศัตรูของพวกท่านวีรชนเหล่านั้น ควรค่าแก่การยกย่องสรรเสริญ
เสรีไทยช่วยให้เราไม่ตกเป็นฝ่ายแพ้สงครามจริงไหม..?
คำตอบคือ ไม่จริง การจะมีเสรีไทยหรือไม่นั้น ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสถานะของฝ่ายอักษะ ที่โลกจารึกว่าไทยเป็นในตอนนั้น การลงนามเข้าร่วมใน “กติกาสัญญาพันธะไมตรีระหว่างประเทศญี่ปุ่นกับประเทศไทย” เป็นการลงสัญญาในฐานะตัวแทนชาติ แม้วีรกรรมของเสรีไทยจะยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ไม่อาจเปลี่ยนความเป็นจริงได้ ว่าเราแพ้สงครามร่วมกับญี่ปุ่น แต่ถ้าไม่มีเสรีไทยแล้ว ความสูญเสียที่เราได้รับหลังสงคราม อาจหนักหนากว่านี้หลายเท่า
ไทยดำเนินนโยบายสองหน้าจริงหรือ...?
คำตอบคือ ไม่จริง เพราะในทางปฏิบัติแล้ว รัฐบาลจอมพล ป.เข้าร่วมกับญี่ปุ่นเต็มตัว ดูได้จากการส่งกำลังรบเข้าตีพม่าและนานกิงร่วมกับญี่ปุ่น เพื่อหวังครอบครองดินแดนสิบสองปันนา ตามข้อตกลงร่วมกัน หากเป็นผู้ชนะสงคราม (ตอนเขียนบทความนี้ครั้งแรก มีเนื้อหาในส่วนนี้ด้วย แต่ผมเห็นว่าถ้าใส่ลงมา บทความคงยืดยาวจนไม่เหลือใครอ่าน จึงตัดออก) ส่วน องค์การต่อต้านญี่ปุ่นที่ก่อตั้งโดยนายปรีดี มีวัตถุประสงค์เพื่อตอบโต้ญี่ปุ่น แล้วยังมีวัตถุประสงค์เพื่อขับไล่ จอมพล ป. ออกจากอำนาจร่วมอยู่ด้วย
ซึ่งแปลว่า แยกกันอย่างชัดเจน ไม่ได้มีการตีสองหน้าแต่อย่างใด นายปรีดีเอง เมื่อญี่ปุ่นยกพลเข้าไทยได้สำเร็จก็ออกจากคณะรัฐมนตรี ไปดำรงตำแหน่ง ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐบาลแต่อย่างใด
คำถามต่อมาน่าสนใจ และเป็นประเด็นของบทความชิ้นนี้
แล้วทำไม ถึงได้อ้างเสรีไทยในการบิดเบือนประวัติศาสตร์ชาติตัวเอง..?
คำตอบที่ผมได้คือ เป็นการแบ่งปันผลประโยชน์โดยคน 2กลุ่ม ซึ่งถือครองอำนาจทางการเมืองไว้ในมือ
กลุ่มแรก ออกแรงสนับสนุนและโปรโมทเรื่องนี้อย่างออกนอกหน้า ก็เพื่อเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจซึ่งฝ่ายทหารโดยการนำของจอมพล ป.ถือครองมานาน ซึ่งต่อมาก็สืบทอดอำนาจนี้ไว้เอง อย่าง นายควง อภัยวงค์ และม.ร.ว เสนีย์ ปราโมท
กลุ่มที่สองคือกลุ่มเผด็จการทหารซึ่งเลือกข้างผิดนำพาชาติเข้าร่วมกับญี่ปุ่น แต่ไม่อยากร่วมรับกรรมไปกับการผ่ายแพ้สงครามครั้งนี้ จึงพยายามทุกวิธีใช้อำนาจที่ตนครอบครองอยู่ครั้งสุดท้ายเพื่อแลกกับทางรอดพ้น ซึ่งก็คือยอมยกอำนาจตัวเองให้อีกฝ่าย
แต่ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งผมไม่กล่าวถึงไม่ได้ คนกลุ่มนั้นก็คือ วีรชนผู้กล้าตัวจริง ที่ลุกขึ้นต่อต้านศัตรูเพื่อหวังให้ชาติดำรงความเป็นเอกราชไว้ คือกลุ่มนิสิตนักศึกษา ประชาชนผู้ลงมือปฏิบัติการในนามเสรีไทย ผู้เสียสละเลือดเนื้อ ชีวิต เพื่อบ้านเกิดเมืองนอน และผมจะขอตั้งกะทู้ขึ้นมาอีกกะทู้ เพื่อยกย่องวีรกรรมของท่านเหล่านั้น โดยเฉพาะ http://ppantip.com/topic/34171380
และยิ่งลืมไม่ได้กับผู้นำความคิดอย่าง นายปรีดี พนมยงค์ ที่สุดท้ายกลับกลายเป็นบุคคลที่ถูกสมอ้าง และฮุบเอาความดีความชอบของ เสรีไทยไปอวดอ้างว่าตัวเองเป็นผู้กระทำอย่างไม่ละอาย
นายปรีดี พนมยงค์ ชายผู้ต่อสู้เพื่อชาติและประชาธิปไตยมาทั้งชีวิต แต่ก็ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาเป็นผู้ชนะ องค์การต่อต้านญี่ปุ่นหรือที่ถูกผู้อื่นแปลงชื่อแล้วพยายามกอดกุมความดีงามของ เจตนารมณ์การก่อตั้งองค์กรนี้ไว้กับตัวเองและพวกพ้อง ทั้งๆที่ตนเองเป็นคนลงมือลงแรง แต่คนบางจำพวกกับถือโอกาสนี้มาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์
ซึ่งบทความต่อไปของผม ก็จะเป็นเรื่องของบุคคลท่านี้แหละ และผมก็ตั้งชื่อเรกเรตติ้งของบทความไว้แล้วว่า
นายปรีดี พนมยงค์ ชายผู้ผ่ายแพ้ทั้งชีวิต ใครสนใจรอติดตามอ่านกันได้นะครับ
บทความของผมจบแล้ว แต่สิ่งที่ผมอยากสื่อออกไปยังไม่จบ ผมอยากชักชวนปราชญ์ผู้รู้ทั้งหลาย มาร่วมกันเขียนบทความที่น่าอ่านกันอีกครั้งเถอะครับ เชื่อว่ายังมีหลายๆคนรออ่านบทความดีๆที่ตั้งใจเขียนมาให้อ่านกันอยู่ ผมเองก็จะกลับมาเริ่มเขียนใหม่อีกครั้ง แม้จะมีคนอ่านน้อยก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงอย่างน้อยก็ได้ภาคภูมิใจในตัวเอง ที่ได้กระทำเรื่องดีๆให้สมกับความรู้และสติปัญญาของตนเอง
ขอบคุณครับ
นายพระรอง
ผมเขียนของผมจบแล้ว กำลังตั้งนะโม 3 จบ เพื่อหวังว่า
ข้อความของผมจะสามารถส่งผ่านไปให้คนที่ต้องการอ่านบทความได้อ่านกันนะครับ เพี้ยง..........