จาก ป.-สฤษดิ์-ถนอม&ประภาส จากปี 2494-2513 หรือสองทศวรรษ คือ ใช้ชื่อนายปรีดี พนมยงค์ เป็นปีศาจคอมมิวนิสต์สังกัดจีนแดงปักกิ่ง
ปรีดี พนมยงค์ (2443-2526) เข้าสู่สนามการเมืองไทยเมื่ออายุ 26 ปี ขณะที่กำลังศึกษาปริญญาเอกด้านกฎหมายที่ฝรั่งเศส โดยร่วมกับเพื่อนอีกรวม 7 คน ก่อตั้ง คณะราษฎร (the People’s party) เพื่อปฏิวัติเปลี่ยนระบอบการเมืองจาก the Absolute Monarchy เป็น Democracy และสร้างรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทยเมื่อปี 2475 ขณะอายุ 32 ปี
ปรีดีเป็นผู้นำฝ่ายพลเรือนของคณะราษฎรที่เป็นเป้าของการกำจัดออกจากเวทีทางการเมืองเป็นคนแรก จากฝ่ายระบอบเก่าและกลุ่มอนุรักษ์นิยม ด้วยข้อหาคอมมิวนิสต์ และรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดารัฐประหารครั้งแรกเมื่อ 1 เมษายน 2476 ได้ออกกฎหมาย “คอมมิวนิสต์” ด้วยอำนาจคณะรัฐมนตรีเพื่อกำจัดปรีดีคนเดียวโดยตรง
ปรีดีต้องลี้ภัยการเมืองไปต่างประเทศ แต่สถานการณ์พลิกกลับเมื่อคณะราษฎรสายทหารทำการรัฐประหารครั้งที่ 2 เมื่อ 20 มิถุนายน 2476 ล้มรัฐบาล “มโนเครซี” (Monocracy)
ปรีดีได้กลับประเทศ และสามารถทำงานเพื่อสร้างชาติไทยใหม่ตามแนวทางนโยบาย 6 ข้อของคณะราษฎร
แต่เพียง 5-6 ปีเท่านั้น สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เกิดขึ้น ทำให้แนวทางลัทธิทหารและลัทธิเชื่อผู้นำสามารถครอบครองอำนาจทางการเมืองและสร้างฐานเศรษฐกิจให้กับทหาร ส่วนฝ่ายพลเรือนและ ส.ส. เคลื่อนไหวใต้ดิน
รัฐบาลทหารของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เข้าร่วมสงครามกับฝ่ายอักษะญี่ปุ่น ทำให้สามารถเป็นรัฐบาลเผด็จการโดยกฎอัยการศึกทั้งประเทศ
ขณะที่ฝ่ายพลเรือนที่นำโดยนายปรีดี พยายามประสานกับฝ่ายสัมพันธมิตร ทั้งสหรัฐและจีน และสร้างขบวนการเสรีไทย
หลังสงครามโลกยุติ ปรีดีและเสรีไทยเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ไทยไม่แพ้สงคราม ฝ่ายพลเรือนมุ่งฟื้นระบอบประชาธิปไตยสากลขึ้นอีกครั้ง
แต่จุดอ่อนประการสำคัญคือการที่ไทยไม่ถูกลงโทษทำลายด้านการทหารกองทัพเหมือนเช่นญี่ปุ่นและเยอรมัน ที่ทำให้ไม่มีการเกณฑ์ทหารอีกต่อไป ไม่มีกองทัพ ไม่มีงบประมาณกลาโหมที่สิ้นเปลืองเปล่าประโยชน์ในโลกยุคใหม่ ทำให้ทั้งสองประเทศนั้นมุ่งไปสู่การพัฒนาประเทศและสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจให้กับประชาชน
เพียงสองปีต่อมา ทหารก็ทำรัฐประหารเพื่อล้มรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อต้นพฤศจิกายน 2490 นับตั้งแต่นี้มา รัฐทหารไทยก็สร้างตัวให้เข้มแข็งขึ้น
ปรีดีก็ต้องหนีตายลี้ภัยไปต่างประเทศ แม้จะพยายามกลับเข้ามาช่วงชิงอำนาจกับทหารไทยเพื่อสร้างประชาธิปไตยอีกครั้งในต้นปี 2492 แต่ก็พ่ายแพ้ และได้ลี้ภัยไปอยู่จีนสมัยรัฐบาลก๊กมินตั๋ง
จีนได้เปลี่ยนเป็นรัฐบาลคอมมิวนิสต์ของเหมาเจ๋อตงปลายปี 2493 ปรีดียังคงได้รับอนุญาตให้ลี้ภัยต่อไป
เมื่อสถานการณ์โลกเปลี่ยนเป็นการสู้กันระหว่างโลกเสรีที่นำโดยสหรัฐ กับโลกคอมมิวนิสต์ที่นำโดยโซเวียตและจีนแดง รัฐบาลทหารไทยก็กระโจนเข้าอยู่ข้างสหรัฐ
หนึ่งในวิธีการรักษาอำนาจการเมืองของรัฐทหารในช่วงสมัย 3 จอมพล - ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์
ปรีดี พนมยงค์ (2443-2526) เข้าสู่สนามการเมืองไทยเมื่ออายุ 26 ปี ขณะที่กำลังศึกษาปริญญาเอกด้านกฎหมายที่ฝรั่งเศส โดยร่วมกับเพื่อนอีกรวม 7 คน ก่อตั้ง คณะราษฎร (the People’s party) เพื่อปฏิวัติเปลี่ยนระบอบการเมืองจาก the Absolute Monarchy เป็น Democracy และสร้างรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทยเมื่อปี 2475 ขณะอายุ 32 ปี
ปรีดีเป็นผู้นำฝ่ายพลเรือนของคณะราษฎรที่เป็นเป้าของการกำจัดออกจากเวทีทางการเมืองเป็นคนแรก จากฝ่ายระบอบเก่าและกลุ่มอนุรักษ์นิยม ด้วยข้อหาคอมมิวนิสต์ และรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดารัฐประหารครั้งแรกเมื่อ 1 เมษายน 2476 ได้ออกกฎหมาย “คอมมิวนิสต์” ด้วยอำนาจคณะรัฐมนตรีเพื่อกำจัดปรีดีคนเดียวโดยตรง
ปรีดีต้องลี้ภัยการเมืองไปต่างประเทศ แต่สถานการณ์พลิกกลับเมื่อคณะราษฎรสายทหารทำการรัฐประหารครั้งที่ 2 เมื่อ 20 มิถุนายน 2476 ล้มรัฐบาล “มโนเครซี” (Monocracy)
ปรีดีได้กลับประเทศ และสามารถทำงานเพื่อสร้างชาติไทยใหม่ตามแนวทางนโยบาย 6 ข้อของคณะราษฎร
แต่เพียง 5-6 ปีเท่านั้น สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เกิดขึ้น ทำให้แนวทางลัทธิทหารและลัทธิเชื่อผู้นำสามารถครอบครองอำนาจทางการเมืองและสร้างฐานเศรษฐกิจให้กับทหาร ส่วนฝ่ายพลเรือนและ ส.ส. เคลื่อนไหวใต้ดิน
รัฐบาลทหารของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เข้าร่วมสงครามกับฝ่ายอักษะญี่ปุ่น ทำให้สามารถเป็นรัฐบาลเผด็จการโดยกฎอัยการศึกทั้งประเทศ
ขณะที่ฝ่ายพลเรือนที่นำโดยนายปรีดี พยายามประสานกับฝ่ายสัมพันธมิตร ทั้งสหรัฐและจีน และสร้างขบวนการเสรีไทย
หลังสงครามโลกยุติ ปรีดีและเสรีไทยเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ไทยไม่แพ้สงคราม ฝ่ายพลเรือนมุ่งฟื้นระบอบประชาธิปไตยสากลขึ้นอีกครั้ง
แต่จุดอ่อนประการสำคัญคือการที่ไทยไม่ถูกลงโทษทำลายด้านการทหารกองทัพเหมือนเช่นญี่ปุ่นและเยอรมัน ที่ทำให้ไม่มีการเกณฑ์ทหารอีกต่อไป ไม่มีกองทัพ ไม่มีงบประมาณกลาโหมที่สิ้นเปลืองเปล่าประโยชน์ในโลกยุคใหม่ ทำให้ทั้งสองประเทศนั้นมุ่งไปสู่การพัฒนาประเทศและสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจให้กับประชาชน
เพียงสองปีต่อมา ทหารก็ทำรัฐประหารเพื่อล้มรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อต้นพฤศจิกายน 2490 นับตั้งแต่นี้มา รัฐทหารไทยก็สร้างตัวให้เข้มแข็งขึ้น
ปรีดีก็ต้องหนีตายลี้ภัยไปต่างประเทศ แม้จะพยายามกลับเข้ามาช่วงชิงอำนาจกับทหารไทยเพื่อสร้างประชาธิปไตยอีกครั้งในต้นปี 2492 แต่ก็พ่ายแพ้ และได้ลี้ภัยไปอยู่จีนสมัยรัฐบาลก๊กมินตั๋ง
จีนได้เปลี่ยนเป็นรัฐบาลคอมมิวนิสต์ของเหมาเจ๋อตงปลายปี 2493 ปรีดียังคงได้รับอนุญาตให้ลี้ภัยต่อไป
เมื่อสถานการณ์โลกเปลี่ยนเป็นการสู้กันระหว่างโลกเสรีที่นำโดยสหรัฐ กับโลกคอมมิวนิสต์ที่นำโดยโซเวียตและจีนแดง รัฐบาลทหารไทยก็กระโจนเข้าอยู่ข้างสหรัฐ