.
คำว่า
เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง หมายถึง การที่ไม่ชอบใครสักคนหรือเกลียดอะไรสักอย่าง แต่ก็ยังอยากได้ผลประโยชน์จากคนๆนั้นหรือสิ่งนั้น คำๆนี้มีมาเนิ่นนานในแล้วในเมืองไทย มีมาตั้งแต่ครั้งชื่อประเทศของเรายังเป็นสยาม เป็นสุภาษิตที่มักถูกหยิบมาใช้ประชดประชันพฤติกรรมเอาแต่ผลประโยชน์โดยไม่สนใจที่มาของคนใดคนหนึ่ง
ถึงจะเป็นคำที่มีความหมายในทางร้าย แต่ในความเป็นจริงแล้วนี้คือความเป็นจริงในสังคมไทยที่เกิดจริงและเกิดขึ้นมาแล้วตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณ เห็นได้จากวรรณกรรมเก่าแก่หลายๆเรื่องที่แต่งให้ตัวละครในเรื่องมีพฤติกรรมในลักษณะ”เกลียดตัวกินไข่”อย่างเช่นเรื่อง”สังข์ทอง”ตอนที่ท้าวสามนต์ต้องไปขอร้องให้พระสังข์ในรูปเงาะป่ามาช่วยแข่งตีคีลชิงเมืองที่พระอินทร์ออกอุบายเพื่อหวังให้เจ้าเงาะป่ายอมถอดรูปเผยโฉมที่แท้จริง
หากใครเคยอ่านหรือเคยทราบต้นสายปลายเหตุเรื่องราวในวรรณกรรมเรื่องนี้มาก่อนก็จะรู้ว่าท้าวสามนต์นั้นเกลียดเจ้าเงาะอย่างมากถึงขั้นออกอุบายหวังลวงพระสังข์ไปให้หกเขยรุมฆ่าก็หลายหนแต่สุดท้ายเมื่อหาทางออกไม่ได้ก็มาขอร้องให้เจ้าเงาะช่วย ซึ่งนั้นแหละคือพฤติกรรม”เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินแกง”
ซึ่งหากมองให้ลึกแล้ว แท้ที่จริงของที่มาของการกระทำในลักษณะ”เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินแกง”นั้นเกิดมาจากปัจจัยหลักเพียงประการเดียวเลยคือความอาย และเมื่อวิเคราะห์ต่อไปก็จะเห็นได้ว่าความอายนี้แหละเป็นพื้นฐานนิสัยที่ฝั่งรากลึกอยู่ในคนไทยมาตั้งแต่โบราณ กลัวตัวเองจะอายหากเลี้ยงบุตรหลานขึ้นมาแล้วได้ดีไม่ได้ตอนโตขึ้น กลัวจะอายหากบุตรหลานที่โตขึ้นแล้วหาคู่ครองที่ดีพอที่คู่ควรไม่ได้ กลัวจะอายฯลฯไปต่างๆนานา
ความกลัวจะอายนี้แหละที่หล่อหลอมให้สังคมไทยพัฒนาและสืบทอดกันมาในลักษณะ”หน้าบาง”
และเมื่อมาตั้งกะทู้ในห้องการเมือง ก็ขอยกเหตุการณ์ทางการเมืองที่เข้าข่ายพฤติกรรม”เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินแกง”มาเป็นตัวอย่างกันให้เห็นกันสักหน่อย อย่างสมัยก่อนเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่2ที่ญี่ปุ่นเริ่มแผ่ขยายอำนาจครอบคลุมทั่วเอเชีย ผู้มีอำนาจในรัฐบาลไทยสมัยนั้นแตกความเห็นเป็นสองฝ่าย พวกหนึ่งเห็นว่าต้องไม่แข็งขืนกับญี่ปุ่นไม่เช่นนั้นประเทศชาติต้องเผชิญสงครามก่อนสงครามโลกแน่ๆ(แต่จริงๆพวกนี้อาจกลัวว่าตนเองจะเสียอำนาจในการบริหารประเทศก็ได้หากรบแพ้ให้กับญี่ปุ่น พวกนี้นำโดยจอมพลป.พิบูลสงคราม)
กับอีกพวกซึ่งนำโดยม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ที่ไม่เห็นด้วยกับการเข้าร่วมกับญี่ปุ่น(อาจเพราะตนเองเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกาในตอนนั้น จึงไม่หวั่นหากต้องเกิดสงครามบนพื้นแผ่นดินไทยแผ่นดินแม่)ก็ได้ก่อตั้งขบวนการตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้นที่นั่นในวันที่ 12 ธันวาคมโดยภายหลังมีสมาชิกคณะราษฎรฝ่ายพลเรือนหลายคน เช่น ปรีดี พนมยงค์ ทวี บุณยเกตุ ควง อภัยวงศ์ มาเข้าร่วมด้วยภายหลังเกิดสงครามโลกขึ้นแล้ว คนที่เคยศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองนับตั้งแต่ช่วงเปลี่ยนผ่านระบบการปกครอง2475 มาบ้างคงจะพอทราบว่า
กลุ่มของจอมพล ป. กับกลุ่มของนายปรีดี แตกกันแทบจะทันทีหลังเปลี่ยนผ่านระบอบการปกครองได้แล้ว
2 วรรคบนคือการเกริ่นนำมหากาพย์เรื่องราวประเทศหน้าบางที่ชื่อว่าประเทศไทยที่อาศัยชื่อ เสรีไทย เป็นทางรอดให้กับตัวเอง(ตัวเองในที่นี้หมายถึงบุคคลผู้ครองอำนาจในขณะนั้น มิได้หมายความถึงประเทศชาติ)
ทั้งสองกลุ่มที่ว่ามานี้ก็แสดงพฤติการณ์”เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินแกง” ผ่านขบวนการณ์ปาหี่ที่ชื่อว่าเสรีไทยเพื่อช่วงชิงทางรอดหรืออำนาจที่ตนเองหมายปองหลังสภาวะสงครามโลกครั้งที่2จบสิ้น
”เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินแกง”ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่2 พวกแรกคือฝ่ายของจอมพล ป.ที่จะตัดสินใจเองหรือโดนญี่ปุ่นบีบบังคับให้เข้าร่วมด้วยเหตุผลใดๆก็แล้วแต่ ก็ตั้งเงื่อนไข”เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินแกง”กับอีกพวกของม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมชว่าตนเองจะยอมลงจากอำนาจโดยมีข้อแม้ว่ารัฐบาลใหม่ต้องไม่ส่งตัวจอมพล ป. ไปขึ้น ศาลโลกในฐานะอาชญากรสงครรามซึ่งฝ่ายม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ก็ยอมรับแม้ว่าแกนนำสำคัญในกลุ่มอย่างนายปรีดีจะเป็นคู่กรณีจงเกลียดจลชังกับจอมพลป. อยู่ก็ตาม แต่ก็ยังยอมรับข้อเสนอเพราะอยากได้ครอบครองอำนาจซึ่งก็เข้าข่าย”เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินแกง”อีกเช่นเคย
*
ทำไม...? วรรคก่อนหน้าผมจึงใช้คำว่าขบวนการณ์ปาหี่ที่ชื่อว่าเสรีไทย ขอยกยอดมาอธิบายในตอนนี้ ซึ่งน่าจะบ่งบรรยายคามเป็นชนชาติที่หน้าบางโดยเฉพาะทางการเมืองของไทยได้เป็นอย่างดี
เพราะผมมองว่า เสรีไทยนั้น ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ของประเทศชาติดีขึ้นจริง ตามคำโฆษณาชวนเชื่อของผู้ครองอำนาจในขณะนั้น
อย่างที่บอกว่า ไทยไม่ได้อยู่ในฝ่ายแพ้สงครามก็คงมีแต่คนไทยชาติเดียวในโลกล่ะมั้งที่เชื่อเช่นนี้ เพราะในตำเรียนหรือสารานุกรมเกี่ยวกับความรู้ประวัติศาสตร์เรื่องนี้จากทั่วโลก ต่างก็บันทึกว่าประเทศไทยเป็นฝ่ายอักษะ หรือเป็นเพราะว่าคำว่าแพ้สงครามหรืออยู่ฝ่ายอักษะ เป็นตราบาปที่ร้ายแรงเกินกว่าที่กลุ่มคนผู้มีอำนาจในฐานะผู้นำประเทศขณะนั้นจะแบกรับไว้ได้ จึงได้บ่ายเบี่ยงและปิดกั้นการรับรู้ของคนในชาติด้วยการโกหกและบิดเบือนความเป็นจริงไว้ในตำราเรียนของเยาวชนของชาติ
แพ้สงครามแล้วยังไง..? เยอรมัน ญี่ปุ่นวันนี้ เขาตกต่ำจากคำว่าเป็นประเทศแพ้สงครามไหม..?
ไทยเราเป็นอย่างไร..? ได้ประโยชน์อะไรกับการหลอกตัวเองว่าไม่ใช่ เราไม่ได้เป็นประเทศแพ้สงคราม..?
แล้วพวกเราประชาชนคนธรรมดาล่ะ..เคยลองคิดกันบ้างหรือเปล่า...? หรือที่เชื่อๆกันไปแม้รู้ว่าเป็นเรื่องโกหก เพราะตนเองก็”หน้าบาง”เกินกว่าจะยอมรับความเป็นจริงได้
หยิบเกร็ดประวัติศาสตร์มาเล่าให้ฟังถึงพฤติกรรมหน้าบางในสังคมไทย และในสังคมผู้มีอำนาจในการเมือง ที่อายในเรื่องที่ไม่สมควรต้องอาย แต่ผมคงไม่ต้องยกพฤติกรรม”
หน้าหนา”ที่ชนชั้นผู้มีอำนาจทางการเมืองไทยทำไว้มาแสดงให้ดูหรอกนะเพราะพฤติกรรมเหล่านั้นผมว่าทุกท่านคงเห็นกันจนชาชินแล้วจากทุกยุคทุกสมัย
แปลกบ้านเมืองนี้อายในเรื่องที่ไม่สมควรต้องอาย แต่กลับไม่อายในเรื่องที่สมควรจะอาย
ท่านที่เข้ามาอ่านว่าจริงไหมครับ..?
*แก้ไขคำผิด 13.35
(บทความ)เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง นิยามดั้งเดิมของสังคม”หน้าบาง”อายกับบางเรื่องที่ไม่สมควรอาย
คำว่า เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง หมายถึง การที่ไม่ชอบใครสักคนหรือเกลียดอะไรสักอย่าง แต่ก็ยังอยากได้ผลประโยชน์จากคนๆนั้นหรือสิ่งนั้น คำๆนี้มีมาเนิ่นนานในแล้วในเมืองไทย มีมาตั้งแต่ครั้งชื่อประเทศของเรายังเป็นสยาม เป็นสุภาษิตที่มักถูกหยิบมาใช้ประชดประชันพฤติกรรมเอาแต่ผลประโยชน์โดยไม่สนใจที่มาของคนใดคนหนึ่ง
ถึงจะเป็นคำที่มีความหมายในทางร้าย แต่ในความเป็นจริงแล้วนี้คือความเป็นจริงในสังคมไทยที่เกิดจริงและเกิดขึ้นมาแล้วตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณ เห็นได้จากวรรณกรรมเก่าแก่หลายๆเรื่องที่แต่งให้ตัวละครในเรื่องมีพฤติกรรมในลักษณะ”เกลียดตัวกินไข่”อย่างเช่นเรื่อง”สังข์ทอง”ตอนที่ท้าวสามนต์ต้องไปขอร้องให้พระสังข์ในรูปเงาะป่ามาช่วยแข่งตีคีลชิงเมืองที่พระอินทร์ออกอุบายเพื่อหวังให้เจ้าเงาะป่ายอมถอดรูปเผยโฉมที่แท้จริง
หากใครเคยอ่านหรือเคยทราบต้นสายปลายเหตุเรื่องราวในวรรณกรรมเรื่องนี้มาก่อนก็จะรู้ว่าท้าวสามนต์นั้นเกลียดเจ้าเงาะอย่างมากถึงขั้นออกอุบายหวังลวงพระสังข์ไปให้หกเขยรุมฆ่าก็หลายหนแต่สุดท้ายเมื่อหาทางออกไม่ได้ก็มาขอร้องให้เจ้าเงาะช่วย ซึ่งนั้นแหละคือพฤติกรรม”เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินแกง”
ซึ่งหากมองให้ลึกแล้ว แท้ที่จริงของที่มาของการกระทำในลักษณะ”เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินแกง”นั้นเกิดมาจากปัจจัยหลักเพียงประการเดียวเลยคือความอาย และเมื่อวิเคราะห์ต่อไปก็จะเห็นได้ว่าความอายนี้แหละเป็นพื้นฐานนิสัยที่ฝั่งรากลึกอยู่ในคนไทยมาตั้งแต่โบราณ กลัวตัวเองจะอายหากเลี้ยงบุตรหลานขึ้นมาแล้วได้ดีไม่ได้ตอนโตขึ้น กลัวจะอายหากบุตรหลานที่โตขึ้นแล้วหาคู่ครองที่ดีพอที่คู่ควรไม่ได้ กลัวจะอายฯลฯไปต่างๆนานา
ความกลัวจะอายนี้แหละที่หล่อหลอมให้สังคมไทยพัฒนาและสืบทอดกันมาในลักษณะ”หน้าบาง”
และเมื่อมาตั้งกะทู้ในห้องการเมือง ก็ขอยกเหตุการณ์ทางการเมืองที่เข้าข่ายพฤติกรรม”เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินแกง”มาเป็นตัวอย่างกันให้เห็นกันสักหน่อย อย่างสมัยก่อนเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่2ที่ญี่ปุ่นเริ่มแผ่ขยายอำนาจครอบคลุมทั่วเอเชีย ผู้มีอำนาจในรัฐบาลไทยสมัยนั้นแตกความเห็นเป็นสองฝ่าย พวกหนึ่งเห็นว่าต้องไม่แข็งขืนกับญี่ปุ่นไม่เช่นนั้นประเทศชาติต้องเผชิญสงครามก่อนสงครามโลกแน่ๆ(แต่จริงๆพวกนี้อาจกลัวว่าตนเองจะเสียอำนาจในการบริหารประเทศก็ได้หากรบแพ้ให้กับญี่ปุ่น พวกนี้นำโดยจอมพลป.พิบูลสงคราม)
กับอีกพวกซึ่งนำโดยม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ที่ไม่เห็นด้วยกับการเข้าร่วมกับญี่ปุ่น(อาจเพราะตนเองเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกาในตอนนั้น จึงไม่หวั่นหากต้องเกิดสงครามบนพื้นแผ่นดินไทยแผ่นดินแม่)ก็ได้ก่อตั้งขบวนการตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้นที่นั่นในวันที่ 12 ธันวาคมโดยภายหลังมีสมาชิกคณะราษฎรฝ่ายพลเรือนหลายคน เช่น ปรีดี พนมยงค์ ทวี บุณยเกตุ ควง อภัยวงศ์ มาเข้าร่วมด้วยภายหลังเกิดสงครามโลกขึ้นแล้ว คนที่เคยศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองนับตั้งแต่ช่วงเปลี่ยนผ่านระบบการปกครอง2475 มาบ้างคงจะพอทราบว่า กลุ่มของจอมพล ป. กับกลุ่มของนายปรีดี แตกกันแทบจะทันทีหลังเปลี่ยนผ่านระบอบการปกครองได้แล้ว
2 วรรคบนคือการเกริ่นนำมหากาพย์เรื่องราวประเทศหน้าบางที่ชื่อว่าประเทศไทยที่อาศัยชื่อ เสรีไทย เป็นทางรอดให้กับตัวเอง(ตัวเองในที่นี้หมายถึงบุคคลผู้ครองอำนาจในขณะนั้น มิได้หมายความถึงประเทศชาติ) ทั้งสองกลุ่มที่ว่ามานี้ก็แสดงพฤติการณ์”เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินแกง” ผ่านขบวนการณ์ปาหี่ที่ชื่อว่าเสรีไทยเพื่อช่วงชิงทางรอดหรืออำนาจที่ตนเองหมายปองหลังสภาวะสงครามโลกครั้งที่2จบสิ้น
”เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินแกง”ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่2 พวกแรกคือฝ่ายของจอมพล ป.ที่จะตัดสินใจเองหรือโดนญี่ปุ่นบีบบังคับให้เข้าร่วมด้วยเหตุผลใดๆก็แล้วแต่ ก็ตั้งเงื่อนไข”เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินแกง”กับอีกพวกของม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมชว่าตนเองจะยอมลงจากอำนาจโดยมีข้อแม้ว่ารัฐบาลใหม่ต้องไม่ส่งตัวจอมพล ป. ไปขึ้น ศาลโลกในฐานะอาชญากรสงครรามซึ่งฝ่ายม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ก็ยอมรับแม้ว่าแกนนำสำคัญในกลุ่มอย่างนายปรีดีจะเป็นคู่กรณีจงเกลียดจลชังกับจอมพลป. อยู่ก็ตาม แต่ก็ยังยอมรับข้อเสนอเพราะอยากได้ครอบครองอำนาจซึ่งก็เข้าข่าย”เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินแกง”อีกเช่นเคย
*ทำไม...? วรรคก่อนหน้าผมจึงใช้คำว่าขบวนการณ์ปาหี่ที่ชื่อว่าเสรีไทย ขอยกยอดมาอธิบายในตอนนี้ ซึ่งน่าจะบ่งบรรยายคามเป็นชนชาติที่หน้าบางโดยเฉพาะทางการเมืองของไทยได้เป็นอย่างดี
เพราะผมมองว่า เสรีไทยนั้น ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ของประเทศชาติดีขึ้นจริง ตามคำโฆษณาชวนเชื่อของผู้ครองอำนาจในขณะนั้น อย่างที่บอกว่า ไทยไม่ได้อยู่ในฝ่ายแพ้สงครามก็คงมีแต่คนไทยชาติเดียวในโลกล่ะมั้งที่เชื่อเช่นนี้ เพราะในตำเรียนหรือสารานุกรมเกี่ยวกับความรู้ประวัติศาสตร์เรื่องนี้จากทั่วโลก ต่างก็บันทึกว่าประเทศไทยเป็นฝ่ายอักษะ หรือเป็นเพราะว่าคำว่าแพ้สงครามหรืออยู่ฝ่ายอักษะ เป็นตราบาปที่ร้ายแรงเกินกว่าที่กลุ่มคนผู้มีอำนาจในฐานะผู้นำประเทศขณะนั้นจะแบกรับไว้ได้ จึงได้บ่ายเบี่ยงและปิดกั้นการรับรู้ของคนในชาติด้วยการโกหกและบิดเบือนความเป็นจริงไว้ในตำราเรียนของเยาวชนของชาติ
แพ้สงครามแล้วยังไง..? เยอรมัน ญี่ปุ่นวันนี้ เขาตกต่ำจากคำว่าเป็นประเทศแพ้สงครามไหม..?
ไทยเราเป็นอย่างไร..? ได้ประโยชน์อะไรกับการหลอกตัวเองว่าไม่ใช่ เราไม่ได้เป็นประเทศแพ้สงคราม..?
แล้วพวกเราประชาชนคนธรรมดาล่ะ..เคยลองคิดกันบ้างหรือเปล่า...? หรือที่เชื่อๆกันไปแม้รู้ว่าเป็นเรื่องโกหก เพราะตนเองก็”หน้าบาง”เกินกว่าจะยอมรับความเป็นจริงได้
หยิบเกร็ดประวัติศาสตร์มาเล่าให้ฟังถึงพฤติกรรมหน้าบางในสังคมไทย และในสังคมผู้มีอำนาจในการเมือง ที่อายในเรื่องที่ไม่สมควรต้องอาย แต่ผมคงไม่ต้องยกพฤติกรรม”หน้าหนา”ที่ชนชั้นผู้มีอำนาจทางการเมืองไทยทำไว้มาแสดงให้ดูหรอกนะเพราะพฤติกรรมเหล่านั้นผมว่าทุกท่านคงเห็นกันจนชาชินแล้วจากทุกยุคทุกสมัย
แปลกบ้านเมืองนี้อายในเรื่องที่ไม่สมควรต้องอาย แต่กลับไม่อายในเรื่องที่สมควรจะอาย
ท่านที่เข้ามาอ่านว่าจริงไหมครับ..?
*แก้ไขคำผิด 13.35