หากถามว่า เสรีไทย คืออะไร
เมื่อยังเยาว์วัยคงตอบว่า เป็นขบวนการกู้ชาติที่ช่วยให้ไทยรอดพ้นจากพิษของสงครามโลกครั้งที่2 เพราะถูกพร่ำสอนมาแบบนั้น และรู้สึกชังญี่ปุ่นที่เข้ารุกรานชาติอันเป็นที่รักของตนเอง
เมื่อช่วงโตพอจะรู้ความเข้าเรียนระดับอุดมศึกษา สามารถพิจารณาตัดสินใจได้เองตามวิจารณญาณ ก็เริ่มสงสัย
ว่าที่ถูกสอนมามันใช่รึเปล่า แต่ก็ถูกกระแส โกโบริของพี่เบิร์ดในปี 2533 แม้จะมีเรื่องราวของเสรีไทยหนุ่ม อย่าง อรรณพ ที่ทุ่มเททำเพื่อชาติจนต้องผิดหวังกับความรัก และตาบัวผู้เสียสละตัวเพื่อชาติ โดนทหารญี่ปุ่นจับกรอกน้ำมัน แต่ประโยคที่ว่า “
ฮิเดโกะ ใครปิดไฟ” ประโยคสุดคลาสสิคจากละครเรื่องนี้ก็ยังจำได้อยู่ในหู และช่วยลดทอนความเกลียดชังญี่ปุ่นลงไปค่อนข้างเยอะ
แต่พอมีวัยวุฒิมากพอ(เริ่มขึ้นเลข 3) และศึกษาเรื่องนี้ด้วยตนเอง ภาพของเสรีไทยที่ร่ำเรียนมากลับเลอะเลือน และไม่แจ่มชัดเหมือนแต่ก่อน ว่านี้คือขบวนการกู้ชาติ จริงหรือไม่
หรือเป็นเพียงแค่ละครฉากใหญ่ ที่อาศัยเหตุการณ์ในช่วงนี้ หวังผลทางการเมือง
ทันทีที่คิดเช่นนี้ ก็มีเสียงแว่วๆมาว่า “
ไม่รักชาติ ก็ออกไป” ดังขึ้นมาจากฝากฝ่ายที่คิดว่าตนเองรักชาติมากว่าคนอื่น ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าสมองพวกเขาเหล่านั้น ทำงานกันเหมือนกับผมหรือไม่ ถึงได้แยกแยะไม่ออกว่า ความรักชาติ กับความสงสัยในเรื่องราวของเสรีไทย มันเป็นคนล่ะเรื่อง
ถ้าถามผมว่า เสรีไทย มีจริงไหม..? ผมก็ตอบโดยไม่ต้องคิดเลยว่า
มีจริง วีรกรรมของผู้รักชาติที่ต่อต้านทหารญี่ปุ่นนั่นควรค่าแก่การยกย่องสรรเสริญ แต่ทุกวีรกรรมในช่วงนั้น ไม่ใช่ว่าเป็นการกระทำของเสรีไทยทั้งหมด บางครั้งอาจเป็นชาวบ้าน หรือกลุ่มคนที่รักชาติรวมตัวกระทำกันเอง โดยที่ ขบวนการเสรีไทย ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
ยกตัวอย่างเช่น เรื่องราวของวันก่อตั้งเสรีไทย ในตำราที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเสรีไทย ล้วนบอกว่า ขบวนการเสรีไทยได้ก่อกำเนิดขึ้นในวันแรกที่ญี่ปุ่นบุกประเทศไทย คือวันที่ 8 ธันวาคม 2484 เมื่อญี่ปุ่นได้บุกโจมตีประเทศไทยแบบสายฟ้าแลบด้วยการยกพลขึ้นบกในเมืองชายทะเลอ่าวไทย โดยมีทหารและประชาชนในหลายจังหวัด เช่น ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร นครศรีธรรมราช สงขลาและปัตตานีได้ทำการต่อสู้อย่างกล้าหาญ( ซึ่งนี้คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง)
จนกระทั่งรัฐบาลได้ประกาศให้หยุดยิงและเข้าร่วมเป็นมิตรในสงครามกับญี่ปุ่น จนส่งผลให้ไทยต้องพัวพันกับสงครามไปตลอดจนจบสงคราม
แต่เรื่องราวของเสรีไทยนั้น เป็นคำบอกเล่าหลังจากที่จบสงครามแล้ว ที่บอกว่าในค่ำวันเดียวกันนั้น(วันลงนาม )จึงปรากฏคนไทยผู้รักชาติจำนวนหนึ่งได้เข้าพบนายปรีดี พนมยงค์ในฐานะผู้ที่เคยยืนยันความเห็นในการรักษาความเป็นกลางของประเทศไว้ให้ได้มากที่สุด และเป็นผู้ที่พอจะมีบารมีทางการเมืองทัดเทียมกับจอมพล ป. จึงตกเป็นเป้าหมายของผู้มีความต้องการก่อตั้งขบวนต่อต้านญี่ปุ่นให้เป็นผู้นำ
คำถามคือ ขบวนต่อต้านญี่ปุ่นหรือเสรีไทยในเวลาต่อมาที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นในการประชุมหารือกับนายปรีดี เป็นผู้ เกณฑ์ประชาชนขึ้นต่อการการยกพลขึ้นบกของญี่ปุ่นหรือ..? ถ้าหากอ่านในย่อหน้าด้านบนของผมซึ่งเหมือนกันทุกตำราที่บันทึกเรื่องเสรีไทยเอาไว้ ก็จะเห็นว่า มันไม่เกี่ยวข้องกันเลย แล้วทำไมนับรวมวีรกรรมของผู้ลุกขึ้นสู้กองทัพญี่ปุ่นเป็นเสรีไทยด้วย ซึ่งอันนี้ ผมก็ยังงงกับตำราทุกเล่มที่เขียนเรื่องราวของเสรีไทย
และคำบอกเล่าหลังสงครามอีกเช่นกัน บอกว่า ขณะเดียวกัน ในต่างประเทศ มีผู้ที่ไม่อาจยอมรับต่อการตัดสินใจของรัฐบาล หนึ่งในนั้น คือ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศขบวนการเสรีไทยขึ้นเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2485 เนื่องจากท่านมีความเห็นว่าสหรัฐอเมริกามีขีดความสามารถทางอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสูงกว่า ทางด้านในประเทศเองก็มีบุคคลจากคณะราษฎรภายในประเทศไทยที่ดำเนินการต่อต้านญี่ปุ่นในทางลับ เช่น นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งต่อมาได้เกิดเป็นขบวนการเสรีไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ถามผมว่าเชื่อไหม ผมก็บอกว่า ไม่แน่ใจ เพราะการประกาศของ ท่านเอกอัครราชทูตไทยในตอนนั้น เป็นจุดกำเนิดเสรีไทยอย่างแท้จริง แต่ที่ทำให้ผมไม่แน่ใจก็คือ ทำไมประกาศหลังการยกพลขึ้นบกของญี่ปุ่นตั้ง 1 ปี และภายหลังการประกาศสงครามของ กับอังกฤษและสหรัฐในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2485 ของรัฐบาลไทยของจอมพล ป.แล้วท่าน เสนีย์ จะอยู่ในตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา ประจำการต่ออยู่ที่นั้นได้อย่างไร สหรัฐเขาไม่ขับไล่ทูตของประเทศข้าศึกออกตามธรรมเนียมปฏิบัติหรือ..?
เอ...หรือว่ามันเป็นคำบอกเล่า จะไปสงสัยอะไรมากกว่าไม่ได้
แต่นั้นก็เริ่มทำให้ผมสงสัยแล้วว่า เสรีไทย เป็นส่วนสำคัญในการต่อต้านญี่ปุ่นจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียง กุศโลบายทางการทูตของม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช กับนายควง อภัยวงค์ โดยเชิดนาย ปรีดี พนมยงค์ ขึ้นมาเพราะภาพลักษณ์ที่แสดงตัวชัดเจนว่าไม่เอาด้วยกับญี่ปุ่น มาเพื่อหวังประโยชน์ทางการเมือง ภายหลังสงคราม
หลายคนอาจจะถามว่า ชื่อนาย ควง อภัยวงค์ มาเกี่ยวข้องได้อย่างไรกับเรื่องนี้ ผมก็คงต้องชี้แจงให้ทราบว่า นาย ควง อภัยวงค์ เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองเก่าแก่พรรคหนึ่งเป็นคนแรก และเป็นคนรับสืบช่วงต่อจาก รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภ่ยหลังสงครามจบสิ้น และรัฐบาลชุดนี้ของนาย ควง ในครั้งนั้น ก็ได้รับการขนานนามว่า รัฐบาลเสรีไทย
ร่ายมายาวแล้ว แต่ยังไม่จบเนื้อหาของบทความ ไว้มาต่อพรุ่งนี้นะครับ เพราะหากลงหมดคงยาวจนไม่มีคนอ่าน และก็หยั่งท่าทีด้วย ว่ากะทู้นี้ จะปลิวอีกไหม ใครอยากอ่านต่อรอติดตามพรุ่งนี้ครับ
บทความของผมยังไม่จบแล้ว ไว้ต่อพรุ่งนี้อีกครึ่งที่เหลือ แต่สิ่งที่ผมอยากสื่อออกไปยังไม่จบ ผมอยากชักชวนปราชญ์ผู้รู้ทั้งหลาย มาร่วมกันเขียนบทความที่น่าอ่านกันอีกครั้งเถอะครับ เชื่อว่ายังมีหลายๆคนรออ่านบทความดีๆที่ตั้งใจเขียนมาให้อ่านกันอยู่ ผมเองก็จะกลับมาเริ่มเขียนใหม่อีกครั้ง แม้จะมีคนอ่านน้อยก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงอย่างน้อยก็ได้ภาคภูมิใจในตัวเอง ที่ได้กระทำเรื่องดีๆให้สมกับความรู้และสติปัญญาของตนเอง
ขอบคุณครับ
นายพระรอง
ผมเขียนของผมจบแล้ว กำลังตั้งนะโม 3 จบ เพื่อหวังว่า
ข้อความของผมจะสามารถส่งผ่านไปให้คนที่ต้องการอ่านบทความได้อ่านกันนะครับ เพี้ยง..........
*แก้ไขคำผิด จัดหน้าให้อ่านง่ายขึ้น
(บทความ)เสรีไทย ขบวนการกู้ชาติ หรือหน้ากากผู้ดีจอมปลอม
เมื่อยังเยาว์วัยคงตอบว่า เป็นขบวนการกู้ชาติที่ช่วยให้ไทยรอดพ้นจากพิษของสงครามโลกครั้งที่2 เพราะถูกพร่ำสอนมาแบบนั้น และรู้สึกชังญี่ปุ่นที่เข้ารุกรานชาติอันเป็นที่รักของตนเอง
เมื่อช่วงโตพอจะรู้ความเข้าเรียนระดับอุดมศึกษา สามารถพิจารณาตัดสินใจได้เองตามวิจารณญาณ ก็เริ่มสงสัย ว่าที่ถูกสอนมามันใช่รึเปล่า แต่ก็ถูกกระแส โกโบริของพี่เบิร์ดในปี 2533 แม้จะมีเรื่องราวของเสรีไทยหนุ่ม อย่าง อรรณพ ที่ทุ่มเททำเพื่อชาติจนต้องผิดหวังกับความรัก และตาบัวผู้เสียสละตัวเพื่อชาติ โดนทหารญี่ปุ่นจับกรอกน้ำมัน แต่ประโยคที่ว่า “ฮิเดโกะ ใครปิดไฟ” ประโยคสุดคลาสสิคจากละครเรื่องนี้ก็ยังจำได้อยู่ในหู และช่วยลดทอนความเกลียดชังญี่ปุ่นลงไปค่อนข้างเยอะ
แต่พอมีวัยวุฒิมากพอ(เริ่มขึ้นเลข 3) และศึกษาเรื่องนี้ด้วยตนเอง ภาพของเสรีไทยที่ร่ำเรียนมากลับเลอะเลือน และไม่แจ่มชัดเหมือนแต่ก่อน ว่านี้คือขบวนการกู้ชาติ จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่ละครฉากใหญ่ ที่อาศัยเหตุการณ์ในช่วงนี้ หวังผลทางการเมือง
ทันทีที่คิดเช่นนี้ ก็มีเสียงแว่วๆมาว่า “ไม่รักชาติ ก็ออกไป” ดังขึ้นมาจากฝากฝ่ายที่คิดว่าตนเองรักชาติมากว่าคนอื่น ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าสมองพวกเขาเหล่านั้น ทำงานกันเหมือนกับผมหรือไม่ ถึงได้แยกแยะไม่ออกว่า ความรักชาติ กับความสงสัยในเรื่องราวของเสรีไทย มันเป็นคนล่ะเรื่อง
ถ้าถามผมว่า เสรีไทย มีจริงไหม..? ผมก็ตอบโดยไม่ต้องคิดเลยว่า มีจริง วีรกรรมของผู้รักชาติที่ต่อต้านทหารญี่ปุ่นนั่นควรค่าแก่การยกย่องสรรเสริญ แต่ทุกวีรกรรมในช่วงนั้น ไม่ใช่ว่าเป็นการกระทำของเสรีไทยทั้งหมด บางครั้งอาจเป็นชาวบ้าน หรือกลุ่มคนที่รักชาติรวมตัวกระทำกันเอง โดยที่ ขบวนการเสรีไทย ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
ยกตัวอย่างเช่น เรื่องราวของวันก่อตั้งเสรีไทย ในตำราที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเสรีไทย ล้วนบอกว่า ขบวนการเสรีไทยได้ก่อกำเนิดขึ้นในวันแรกที่ญี่ปุ่นบุกประเทศไทย คือวันที่ 8 ธันวาคม 2484 เมื่อญี่ปุ่นได้บุกโจมตีประเทศไทยแบบสายฟ้าแลบด้วยการยกพลขึ้นบกในเมืองชายทะเลอ่าวไทย โดยมีทหารและประชาชนในหลายจังหวัด เช่น ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร นครศรีธรรมราช สงขลาและปัตตานีได้ทำการต่อสู้อย่างกล้าหาญ( ซึ่งนี้คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง)
จนกระทั่งรัฐบาลได้ประกาศให้หยุดยิงและเข้าร่วมเป็นมิตรในสงครามกับญี่ปุ่น จนส่งผลให้ไทยต้องพัวพันกับสงครามไปตลอดจนจบสงคราม
แต่เรื่องราวของเสรีไทยนั้น เป็นคำบอกเล่าหลังจากที่จบสงครามแล้ว ที่บอกว่าในค่ำวันเดียวกันนั้น(วันลงนาม )จึงปรากฏคนไทยผู้รักชาติจำนวนหนึ่งได้เข้าพบนายปรีดี พนมยงค์ในฐานะผู้ที่เคยยืนยันความเห็นในการรักษาความเป็นกลางของประเทศไว้ให้ได้มากที่สุด และเป็นผู้ที่พอจะมีบารมีทางการเมืองทัดเทียมกับจอมพล ป. จึงตกเป็นเป้าหมายของผู้มีความต้องการก่อตั้งขบวนต่อต้านญี่ปุ่นให้เป็นผู้นำ
คำถามคือ ขบวนต่อต้านญี่ปุ่นหรือเสรีไทยในเวลาต่อมาที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นในการประชุมหารือกับนายปรีดี เป็นผู้ เกณฑ์ประชาชนขึ้นต่อการการยกพลขึ้นบกของญี่ปุ่นหรือ..? ถ้าหากอ่านในย่อหน้าด้านบนของผมซึ่งเหมือนกันทุกตำราที่บันทึกเรื่องเสรีไทยเอาไว้ ก็จะเห็นว่า มันไม่เกี่ยวข้องกันเลย แล้วทำไมนับรวมวีรกรรมของผู้ลุกขึ้นสู้กองทัพญี่ปุ่นเป็นเสรีไทยด้วย ซึ่งอันนี้ ผมก็ยังงงกับตำราทุกเล่มที่เขียนเรื่องราวของเสรีไทย
และคำบอกเล่าหลังสงครามอีกเช่นกัน บอกว่า ขณะเดียวกัน ในต่างประเทศ มีผู้ที่ไม่อาจยอมรับต่อการตัดสินใจของรัฐบาล หนึ่งในนั้น คือ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศขบวนการเสรีไทยขึ้นเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2485 เนื่องจากท่านมีความเห็นว่าสหรัฐอเมริกามีขีดความสามารถทางอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสูงกว่า ทางด้านในประเทศเองก็มีบุคคลจากคณะราษฎรภายในประเทศไทยที่ดำเนินการต่อต้านญี่ปุ่นในทางลับ เช่น นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งต่อมาได้เกิดเป็นขบวนการเสรีไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ถามผมว่าเชื่อไหม ผมก็บอกว่า ไม่แน่ใจ เพราะการประกาศของ ท่านเอกอัครราชทูตไทยในตอนนั้น เป็นจุดกำเนิดเสรีไทยอย่างแท้จริง แต่ที่ทำให้ผมไม่แน่ใจก็คือ ทำไมประกาศหลังการยกพลขึ้นบกของญี่ปุ่นตั้ง 1 ปี และภายหลังการประกาศสงครามของ กับอังกฤษและสหรัฐในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2485 ของรัฐบาลไทยของจอมพล ป.แล้วท่าน เสนีย์ จะอยู่ในตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา ประจำการต่ออยู่ที่นั้นได้อย่างไร สหรัฐเขาไม่ขับไล่ทูตของประเทศข้าศึกออกตามธรรมเนียมปฏิบัติหรือ..?
เอ...หรือว่ามันเป็นคำบอกเล่า จะไปสงสัยอะไรมากกว่าไม่ได้
แต่นั้นก็เริ่มทำให้ผมสงสัยแล้วว่า เสรีไทย เป็นส่วนสำคัญในการต่อต้านญี่ปุ่นจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียง กุศโลบายทางการทูตของม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช กับนายควง อภัยวงค์ โดยเชิดนาย ปรีดี พนมยงค์ ขึ้นมาเพราะภาพลักษณ์ที่แสดงตัวชัดเจนว่าไม่เอาด้วยกับญี่ปุ่น มาเพื่อหวังประโยชน์ทางการเมือง ภายหลังสงคราม
หลายคนอาจจะถามว่า ชื่อนาย ควง อภัยวงค์ มาเกี่ยวข้องได้อย่างไรกับเรื่องนี้ ผมก็คงต้องชี้แจงให้ทราบว่า นาย ควง อภัยวงค์ เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองเก่าแก่พรรคหนึ่งเป็นคนแรก และเป็นคนรับสืบช่วงต่อจาก รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภ่ยหลังสงครามจบสิ้น และรัฐบาลชุดนี้ของนาย ควง ในครั้งนั้น ก็ได้รับการขนานนามว่า รัฐบาลเสรีไทย
ร่ายมายาวแล้ว แต่ยังไม่จบเนื้อหาของบทความ ไว้มาต่อพรุ่งนี้นะครับ เพราะหากลงหมดคงยาวจนไม่มีคนอ่าน และก็หยั่งท่าทีด้วย ว่ากะทู้นี้ จะปลิวอีกไหม ใครอยากอ่านต่อรอติดตามพรุ่งนี้ครับ
บทความของผมยังไม่จบแล้ว ไว้ต่อพรุ่งนี้อีกครึ่งที่เหลือ แต่สิ่งที่ผมอยากสื่อออกไปยังไม่จบ ผมอยากชักชวนปราชญ์ผู้รู้ทั้งหลาย มาร่วมกันเขียนบทความที่น่าอ่านกันอีกครั้งเถอะครับ เชื่อว่ายังมีหลายๆคนรออ่านบทความดีๆที่ตั้งใจเขียนมาให้อ่านกันอยู่ ผมเองก็จะกลับมาเริ่มเขียนใหม่อีกครั้ง แม้จะมีคนอ่านน้อยก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงอย่างน้อยก็ได้ภาคภูมิใจในตัวเอง ที่ได้กระทำเรื่องดีๆให้สมกับความรู้และสติปัญญาของตนเอง
ขอบคุณครับ
นายพระรอง
ผมเขียนของผมจบแล้ว กำลังตั้งนะโม 3 จบ เพื่อหวังว่า
ข้อความของผมจะสามารถส่งผ่านไปให้คนที่ต้องการอ่านบทความได้อ่านกันนะครับ เพี้ยง..........
*แก้ไขคำผิด จัดหน้าให้อ่านง่ายขึ้น