(บทความ)เสรีไทย วีรกรรมของผู้รับใช้ชาติ

กระทู้คำถาม
เนื่องด้วยผมเขียนบทความเกี่ยวกับเสรีไทย ในแง่มุมความคิดเห็นของผม http://ppantip.com/topic/34169023
แต่เพื่อความครบถ้วนสมบูรณจึงขอหยิบยกบทความของ ธนาพล อิ๋วสกุล ซึ่งลงในวารสาร สารคดี 17, 202 (ธ.ค. 2544) มาลงให้ท่านผู้ที่สนใจได้รับทราบข้อมูลที่มากกว่าที่ผมได้นำเสนอในบทความของผม

บทนำ
     "การที่จะอนุญาตหรือไม่นั้นข้าพเจ้าไม่มีอำนาจแต่อย่างใด เพราะท่านก็ทราบดีแล้วว่า ข้าพเจ้าเป็นเพียงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อำนาจสั่งไม่ให้ต่อสู้นั้นคือนายกรัฐมนตรี ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดอีกตำแหน่ง ... ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ประกาศเป็นคำสั่งประจำไว้แล้วว่า ไม่ว่ากองทหารประเทศใด ถ้าเข้ามาแผ่นดินไทย ให้ต่อต้านอย่างเต็มที่ ฉะนั้นผู้ที่จะยกเลิกคำสั่งนี้คือผู้บัญชาการทหารสูงสุด"

นายดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ กล่าวภายหลังเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย ยื่นคำขาดขอให้กองทัพญี่ปุ่นเดินทางผ่านประเทศไทย เพื่อไปโจมตีพม่าและมลายู ซึ่งเป็นพื้นที่ยึดครองของอังกฤษ ในเวลา ๒๒.๓๐ น. ของวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๔๘๔ โดยขอให้รัฐบาลตอบภายใน ๔ ชั่วโมง
     แต่ขณะนั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารสูงสุด กำลังตรวจราชการอยู่ที่ชายแดนภาคตะวันออก ซึ่งถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่ง สงครามกับมหามิตรที่กลายเป็นผู้รุกรานเพียงข้ามคืน ก็มิอาจเลี่ยงได้
     ระหว่างรอยต่อของคืนวันที่ ๗ ถึง ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ ญี่ปุ่นเริ่มยุทธการสายฟ้าแลบ ด้วยการโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่เพิร์ล ฮาเบอร์ เกาะฮาวาย หลังจากนั้นจอมพล เคานท์ ฮิซะอิจิ เทราอูจิ แม่ทัพใหญ่ภาคใต้ที่มีกองบัญชาการอยู่ที่เมืองไซ่ง่อน ได้สั่งการให้กองทัพญี่ปุ่นทุกหน่วยเคลื่อนเข้าประเทศไทยตามจุดต่าง ๆ ที่กำหนดไว้
     การเคลื่อนทัพผ่านไทยผ่านมาทางพระตะบอง ไม่ปรากฏการต่อต้านจากกองทัพไทย เนื่องจากไม่แน่ใจว่ารัฐบาลอาจจะทำความตกลงกับกองทัพญี่ปุ่นไว้แล้ว เนื่องจากจอมพล ป. เพิ่งเดินทางออกจากพระตะบองเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า
     ขณะที่การยกพลขึ้นบกของญี่ปุ่นที่สมุทรปราการ ต้องพบกับการเตรียมการต่อต้านญี่ปุ่นอย่างรัดกุม ทำให้ทั้งสองฝ่ายทำได้เพียงการคุมเชิงกัน
     แต่การยกพลขึ้นบกที่ภาคใต้ตั้งแต่ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี ต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างแข็งขันทั้งจากเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ยุวชนทหาร ตลอดจนประชาชนทั่วไป มีทั้งการตอบโต้การโจมตีทางอากาศ การต่อสู้ระยะใกล้ จนถึงการรบที่มีลักษณะประชิดและถึงขั้นเข้าตะลุมบอนกันของทั้งสองฝ่าย
     ขณะที่คณะรัฐมนตรีที่มีการประชุมตั้งแต่ ๒๓.๐๐ น. ของวันที่ ๗ ธันวาคม ทำได้แต่เพียงส่งตัวแทนไปเจรจากับญี่ปุ่นเพื่อยืดระยะเวลาเท่านั้น แต่ก็ไร้ผล    
เช้าวันที่ ๘ ธันวาคม เวลา ๐๖.๕๐ น. จอมพล ป. พิบูลสงคราม เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อได้รับฟังการประเมินศักยภาพทางการทหารแล้วว่ามิอาจต่อต้านญี่ปุ่นได้ ขณะเดียวกันความหวังที่จะได้รับความช่วยเหลือจากฝ่ายสัมพันธมิตรก็เป็นไปได้อย่างยากยิ่ง คำตอบที่ได้จากนายกรัฐมนตรีก็คือ
     ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต่อต้าน เพราะไทยไม่มีกำลัง ทางที่ดีที่สุดคือรักษาชีวิตของชาติและพลเมืองไว้ก่อน
     คณะรัฐมนตรีจึงมีมติในเวลา ๐๗.๓๐ น. ให้ยุติการสู้รบ และได้มีการลงนามในยินยอมให้ญี่ปุ่นเดินทัพผ่านประเทศไทยได้โดยมีเงื่อนไข คือ
     ๑. ญี่ปุ่นต้องไม่ปลดอาวุธฝ่ายไทย
     ๒. ญี่ปุ่นจะไม่พักอยู่ที่กรุงเทพฯ
     ๓. ให้มีข้อตกลงเฉพาะทางทหารเท่านั้น
     ๔. ข้อตกลงนี้เด็ดขาดจะไม่มีการขออะไรมากกว่านี้

รัฐบาลได้แถลงต่อประชาชนในเวลา ๑๒.๐๐ น. ว่า
     "จำเป็นต้องพิจารณาข้อเสนอของรัฐบาลญี่ปุ่นและผ่อนผันให้ทางเดินแก่กองทัพญี่ปุ่น โดยได้รับคำมั่นจากรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นลายลักษณ์อักษรว่า จะเคารพเอกราช อธิปไตย และเกียรติศักดิ์ของไทย ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงได้ตกลงให้ทางเดินทัพแก่ญี่ปุ่น การต่อสู้ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นก็ได้หยุดลง"
     แต่ความเป็นจริงแล้วการสู้รบหาได้ยุติลงเมื่อรัฐบาลแถลง เพราะในเวลานั้นการสื่อสารยังเป็นไปด้วยความล่าช้า ประกอบกับในเวลาสงครามข่าวสารที่ได้รับนั้นถ้ามีความไม่มั่นใจก็เป็นการยากที่จะยอมรับได้ ความเชื่อที่ว่ารัฐบาลจะสั่งยอมแพ้อย่างง่ายดายนั้น ไม่เคยมีอยู่ในความคิดของผู้ที่เสี่ยงชีวิตเข้าแลก เพื่อต่อสู้กับญี่ปุ่น
จุดสุดท้ายที่ยุติการสู้รบคือบริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในเวลา ๑๒.๐๐ น. ของวันที่ ๙ ธันวาคม
     หลังจากนั้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ก็ถลำลึกมากขึ้น ๑๑ ธันวาคม ๒๔๘๔ มีการทำสัญญาพันธมิตรร่วมรบ อีก ๑๐ วันต่อมาก็ทำสัญญาร่วมวงศ์ไพบูลย์ ในสงครามมหาเอเชียบูรพากับญี่ปุ่น
     สุดท้ายก็นำมาสู่การประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและอังกฤษในวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๔๘๕ ซึ่งก็เท่ากับการเข้าร่วมกับญี่ปุ่นและฝ่ายอักษะอย่างเต็มตัว
.............................................................

     กระแสความไม่พอใจต่อการตัดสินใจของรัฐบาล ได้พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะความไม่พอใจที่มีต่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ก่อนหน้านั้นมีท่าทีแข็งกร้าวในอันที่จะต่อต้านผู้รุกราน คณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้ที่ไม่พอใจนโยบายของจอมพล ป. เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กลุ่มคนไทยในต่างประเทศกรรมกร หรือแม้กระทั่งกลุ่มที่เคยสนับสนุนนโยบายชาตินิยม เมื่อคราวเรียกร้องดินแดนคืน แต่ละกลุ่มได้รวมตัวกันทำกิจกรรมที่ต่อต้านนโยบายรัฐบาล และการเข้ามารุกรานของญี่ปุ่น แต่รัฐบาลถือว่าตนเองมีความ "ชอบธรรม" อย่างยิ่งในการปราบปรามผู้ที่ไม่เห็นด้วย โดยใช้อำนาจตามกฎหมายที่ได้ตราไว้ก่อนหน้านั้น เช่น การกำหนดหน้าที่คนไทยในการรบ การจำกัดสิทธิคนไทยผู้กระทำการอันเป็นภัยต่อชาติ ฯลฯ โดยมีบทลงโทษมีตั้งแต่การจำคุก ไปจนถึงการประหารชีวิต อีกทั้งกองทัพญี่ปุ่นที่เข้ามาประจำการในประเทศ ก็ใช้ท่าทีที่แข็งกร้าวต่อผู้ที่ต้องสงสัยว่า ดำเนินกิจกรรมต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น    
ดังนั้นปฏิบัติการต่อต้านรัฐบาลและญี่ปุ่นผู้รุกราน จึงต้องเป็นงาน "ใต้ดิน" ที่ปิดลับ แม้แต่คนใกล้ชิดก็ให้รับทราบไม่ได้ ขณะเดียวกันก็ต้องจำกัดวงของผู้ปฏิบัติงานในแต่ละฝ่าย เป็นการรักษาความลับในกรณีที่ผู้หนึ่งผู้ใดถูกจับกุม เพื่อไม่ให้เป็นผลเสียต่อขบวนการโดยรวม
     จากจุดเริ่มต้นของแต่ละกลุ่ม ที่มีความหลากหลายทางความคิด หรือแม้กระทั่งเคยขัดแย้งทางการเมืองก่อนหน้านั้น แต่เมื่ออยู่ในภาวะวิกฤต และจุดหมายเฉพาะหน้าคือการรักษาเอกราชอธิปไตยและขับไล่ผู้รุกราน ส่งผลให้คนเหล่านี้เข้ามาทำงานร่วมกันจนกลายเป็นขบวนการเสรีไทย
     และเมื่อรำลึกถึงขบวนการเสรีไทย ก็ขอให้เป็นอย่างที่ "นายฉันทนา" ได้เขียนไว้ในหนังสือ XO GROUP เรื่องภายในขบวนการเสรีไทย ว่า
     "ขอให้เราอย่านึกถึงตัวตนของบุคคลซึ่งย่อมร่วงโรยไปตามกาลเวลา แต่ขอให้นึกถึงงานอันอมตะของเขา บุคคลอาจจะแตกต่างด้วยกำเนิด ด้วยฐานะและการศึกษา แต่การเสียสละเป็นยอดแห่งคุณธรรม ที่ยกให้มนุษย์อยู่ในระดับเดียวกัน"
     ธันวาคม ๒๕๔๔ ในโอกาสครบรอบ ๖๐ ปีการรุกรานของญี่ปุ่นและการก่อตั้งขบวนการเสรีไทย สารคดี ขอย้อนอดีตกลับไปรำลึกวีรกรรมของบุคคลที่รวมกันเป็น ขบวนการเสรีไทย ทั้งในด้านความเป็นมา ภารกิจ และผลสำเร็จที่ได้สร้างขึ้น
องค์การต่อต้านญี่ปุ่น

     ปรีดี พนมยงค์ ได้เล่าความรู้สึกของคนไทยในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ เมื่อทราบข่าวการยกพลขึ้นบกของญี่ปุ่น ผ่านข้อเขียน "การก่อตั้งขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นและเสรีไทย" ว่า

     "ความรู้สึกของราษฎรส่วนมาก ที่ได้ประสบและเห็นภาพที่กองทัพญี่ปุ่นที่เป็นทหารต่างด้าว เข้ามารุกรานประเทศไทย และการที่ราษฎรหลั่งน้ำตานั้นมิใช่ด้วยความขลาดหรือกลัวตาย หากหลั่งเพราะ 'เจ็บใจ' และ 'แค้นใจ' ที่ว่า 'เจ็บใจ' นั้นเพราะถูกต่างชาติรุกราน ที่ว่า 'แค้นใจ' นั้นเพราะรัฐบาลไม่ทำตามที่ได้โฆษณา เรียกร้องทั้งทางหนังสือพิมพ์ และวิทยุกระจายเสียง ให้ราษฎรเสียสละและต่อสู้ผู้รุกราน ถ้าสู้ด้วยอาวุธไม่ได้ ก็ให้เผาอาคารบ้านเรือน ยุ้งฉาง ก่อนที่ศัตรูจะเข้ามารุก ให้เหลือแผ่นดินเท่านั้นที่ศัตรูจะยึดเอาไปได้ ดังที่รัฐบาลได้ตั้งคำขวัญว่า 'ให้ศัตรูยึดได้แต่ปฐพี' อีกทั้งโฆษกของรัฐบาลได้โฆษณาให้ใช้อาวุธทุกชนิดที่พลเมืองมีอยู่ เช่น ปืน, ดาบ, หอก, หลาว รวมทั้งสัตว์และพืชที่มีพิษ เช่น งู, ตะขาบ, แมลงป่อง, หมามุ่ย
     แต่เมื่อคราวญี่ปุ่นรุกรานเข้ามาจริง ๆ ทหาร ตำรวจ และราษฎรที่ชายแดน ก็ได้พร้อมกันเสียสละชีวิตกันต่อสู้ แต่รัฐบาลก็ทำตามรัฐบาลญี่ปุ่น โดยไม่ทำตามที่ตนชักชวนเรียกร้องให้ราษฎรต่อสู้"
     ในฐานะผู้ที่ยืนยันความเห็นในการรักษาความเป็นกลางของประเทศไว้ให้ได้มากที่สุด และเป็นผู้ที่พอจะมีบารมีทางการเมืองทัดเทียมกับจอมพล ป. ปรีดี พนมยงค์ จึงเป็นเป้าหมายที่ผู้มีความต้องการก่อตั้งขบวนต่อต้านญี่ปุ่นยึดถือเป็นที่พึ่ง
     "เมื่อข้าพเจ้ากลับถึงบ้านพัก (ถนนสีลม ตอนค่ำ) แล้วพบเพื่อนหลายคนที่มาคอยอยู่ อาทิ หลวงบรรณกรโกวิท (เปา จักกะพาก) หลวงเดชาติวงศ์วราวัฒน์ (ม.ล. กรี เดชาติวงศ์) นายสงวน ตุลารักษ์ นายวิจิตร ลุลิตานนท์ ... เพื่อนที่มาพบก็ได้ชี้แจงถึงความรู้สึกของตนเอง และความรู้สึกของราษฎร
เพื่อนที่ร่วมปรึกษาหารือในขณะนั้น เห็นว่าราษฎรไทยไม่อาจหวังพึ่งรัฐบาล ว่าจะรักษาเอกราชอธิปไตยของชาติไทยให้สมบูรณ์อยู่ได้ คือต้องยอมทำตามข้อเรียกร้องของญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น
จนกระทั่งนำประเทศชาติเข้าไปผูกพันกับญี่ปุ่นอย่างเต็มตัว
     เมื่อได้ปรึกษาหารือพอสมควรแล้ว ผู้ที่มาประชุมวันนั้นได้ตกลงพลีชีพเพื่อชาติ เพื่อกอบกู้เอกราชสมบูรณ์ของชาติ เพื่อการนั้นจึงตกลงจัดตั้ง 'องค์การต่อต้านญี่ปุ่น' ประกอบด้วยคนไทยทุกชั้นวรรณะ ทั้งที่อยู่ในประเทศและอยู่ต่างประเทศ ที่ประชุมได้มอบหมายให้ข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าและกำหนดแผนปฏิบัติการต่อไป"
     ดังนั้นขบวนการเสรีไทยที่เรารับรู้กันในปัจจุบัน ก็ริเริ่มขึ้นในวันเดียวกันนั้นเอง ในนาม "องค์การต่อต้านญี่ปุ่น" ซึ่งมีภารกิจสำคัญคือ
     ๑. ต่อสู้ญี่ปุ่นผู้รุกราน โดยพลังของคนไทยผู้รักชาติและร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร
     ๒. ปฏิบัติการให้ฝ่ายสัมพันธมิตรรับรองว่าเจตนารมณ์ที่แท้จริงของราษฎรไทย มิได้เป็นศัตรูต่อสัมพันธมิตร
     ต่อมาเมื่อรัฐบาลได้ประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกาแล้วได้เพิ่มภารกิจสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การปฏิบัติการให้สัมพันธมิตรรับรองว่า ประเทศไทยไม่ตกเป็นฝ่ายแพ้สงครามร่วมกับญี่ปุ่น

ขบวนการกู้ชาติ
จำกัด พลางกูร อักษรศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ดแกนนำคนหนึ่งของขบวนการกู้ชาติ ได้เล่าไว้ในหนังสือ การกู้ชาติ ว่า
     "เมื่อข้าพเจ้ายังเรียนอยู่ที่ประเทศอังกฤษข้าพเจ้ารวบรวมสมัครพรรคพวกได้เป็นอันมาก เพื่อจะมาตั้งคณะต่อสู้กับจอมพลแปลกเพื่อส่งเสริมประชาธิปไตยอย่างแท้จริงขึ้นทางลับ ๆ ในประเทศไทยแต่ครั้นข้าพเจ้าถูกไล่ออกจากทางราชการ เพราะข้าพเจ้าไม่ไปประกาศทางวิทยุกระจายเสียง เกี่ยวกับประชาธิปไตยของข้าพเจ้าเพื่อนฝูงก็เริ่มเหินห่างออกไป"
แต่เมื่อทราบข่าวญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกและท่าทีของรัฐบาลที่ไม่ยอมต่อต้านญี่ปุ่น ความพยายามในการก่อตั้งขบวนการกู้ชาติก็กลับมาอีกครั้ง
     "ตอนบ่ายวันที่ ๙ ธันวาคม (๒๔๘๔) ...ข้าพเจ้าได้ปรึกษานายเตียง หาทางออกไปนอกอาณาจักรไทยไปยังพม่า ทราบว่ามีทางออกอยู่ทางแม่สอดและกาญจนบุรี แต่ต่อมาอีกสองวันก็ได้ข่าวว่าญี่ปุ่นได้ยึดสองทางนั้นเสียแล้ว เป็นอันว่าการเตรียมตัวของเราต้องล้มเหลวไปข้าพเจ้าจึงรวบรวมเพื่อนพ้องเพื่อตั้งขบวนการกู้ชาติ ... หลักการของข้าพเจ้ามีอยู่ว่า จะรวบรวมพรรคพวกเท่าที่จะหาได้ แบ่งออกเป็น ๓ ชั้น คือ ชั้นที่ ๑ พวกที่รู้แผนการของข้าพเจ้า ชั้นที่ ๒ คือพวกที่รู้เลา ๆ ว่าข้าพเจ้าทำอะไร และชั้นที่ ๓ คือพวกที่มีความเลื่อมใสและนิยมในตัวข้าพเจ้า พวกเหล่านี้ให้ล่วงรู้อะไรโดยตรงไม่ได้ และถึงเวลาจำเป็นก็คงใช้บริการได้ พวกนี้ได้แก่ศิษย์ข้าพเจ้าโดยมาก
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่