เห็นหลายๆกระแสแล้วครับที่พูดถึงหนังเรื่องนี้ ทั้งที่ชอบมาก และเสียดายตังค์มาก ปนๆกันไป จริงๆเรื่องนี้มันเป็นหนังอีกเรื่องที่ผมตั้งตารอคอยเลยครับ เพราะผมชอบการเล่าเรื่องแบบ "เต๋อ นวพล" คือจะมีความเป็นหนังอินดี้อยู่ หมายถึงเป็นการทำหนังที่ไม่ได้อิงกระแสหลักอ่ะครับ ผมชอบที่เค้าใช้วิธีการเล่าแบบ "ตลกหน้าตาย" คือบางทีมันเป็นเรื่องที่เหมือนจะไม่ตลกหรอก แต่พอดูในหนังแล้วมันตลก อย่าง Mary นี่ผมหัวเราะหลายฉากมาก บวกกับการใช้กล้องของเค้ามันทำให้ผมรู้สึกไปจริงๆว่าผมยืนอยู่ตรงนั้น เหมือนเราได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์นั้นจริงๆ ยืนมองตัวละครด้วยตาของเราเอง เหมือนเค้าใช้กล้องแทนตาของเราอ่ะครับ(ซึ่งหลายๆคนบ่นว่าปวดหัวเพราะกล้องมันจะ Swing ไปมา) และหนังเค้ามันมักจะมีสัญญะอะไรบางอย่างซ่อนอยู่เสมอ แต่มันจะเป็นสัญญะที่ดูง่าย ไม่ได้ต้องตีลังกาม้วนเกลียวแปดรอบเพื่อตีความขนาดนั้น และอีกเหตุผลนึงคือผมเป็นแฟนหนังวัยทำงานของ GTH ด้วยครับ ผมว่าหนังของค่ายนี้พอพูดถึงเรื่องชีวิตวัยทำงานแล้วจะสื่อออกมาได้ค่อนข้างตรงกับสิ่งที่คนวัยทำงานจะได้เจอจริงๆ หรือเพราะผมอยู่วัยทำงานก็ไม่รู้นะครับ พอเป็นหนังวัยรุ่นใสๆมันเลยไม่ค่อยตรงกับจริตของผมเท่าไรแล้ว ฮ่าๆๆ
และพอรู้ว่านวพลมาทำหนังให้ GTH มันยิ่งทำให้ความอยากดูเพิ่มขึ้นไปอีก มันอยากดูว่านวพลจะเล่าเรื่องยังไงให้แมสที่สุด และ GTH จะอินดี้ได้แค่ไหน แค่คิดก็สนุกแล้วล่ะครับ
และที่สำคัญ ยุ่นมันอยู่ในวัยเดียวกันกับผม ทำงานในสายเดียวกันกับผม ก็เลยคิดว่า "เป็นเพื่อนกันละกันเน๊าะ" ...ไม่ใช่!!!! คิดว่าผมน่าจะชอบหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก
และเมื่อดูจบ ก็ได้คำตอบว่า "นวพลนี่มันนวพลจริงๆ" และ "GTH นี่มัน GTH จริงๆ" ฮ่าๆๆ ..คือมันมีทั้งความเป็น "เต๋อ นวพล" และความเป็น "GTH" แบบพอดิบพอดี มันได้ความรู้สึกที่หลากหลายมาก แต่ที่รู้สึกเยอะๆหน่อยก็คือ "กรูกลายเป็นไอ้ยุ่นไปรึยังวะ?" เพราะยุ่นมันทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ ชีวิตมีแต่งานกับงาน จนละเลยสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของมัน ทั้งเพื่อน ครอบครัว และสุขภาพ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้:: เพื่อน ::
เพื่อนสนิทของยุ่นไม่ใช่เพื่อนสมัยเด็ก ไม่ใช่เพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย แต่กลับกลายเป็น "เจ๋" ซึ่งมีหน้าที่คอยตามงานยุ่น และ "ไก่" พนักงานเซเว่นที่ยุ่นแวะไปบ่อยๆ จนกลายเป็นสนิทกันไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ แต่ "พงศธร" เพื่อนที่ยุ่นบอกว่าเป็น "เพื่อนสนิท" ยุ่นกลับจำได้แค่ชื่อจริงของเพื่อนคนนั้น ลองคิดดูนะครับ ว่าเพื่อนสนิทประเภทไหนกันที่เรียกชื่อกันด้วยชื่อจริง? ไม่เท่านั้น ความบ้างานของยุ่นยังลุกลามขนาดไปนั่งทำงานในงานศพพ่อของพงศธร!!
:: ครอบครัว ::
ยุ่นสามารถอดหลับอดนอนทำงานได้หลายๆวันเพื่อส่งงานให้ทันกำหนดการของลูกค้า แต่รูปที่แม่ฝากให้ยุ่นรีทัช ยุ่นกลับไม่คิดแม้แต่จะเริ่มทำให้ แม้ว่าถึงวันที่ยุ่นไม่มีงานลูกค้าให้ทำแล้วก็ตาม และถ้าสังเกตดีๆนะครับ เราจะไม่เห็นหน้าแม่ของยุ่นแบบชัดๆเลยแม้แต่ซีนเดียว นวพลอาจจะกำลังบอกเราก็ได้ครับว่ายุ่นมันลืมหน้าแม่ไปแล้ว เริ่มตั้งแต่รูปที่แม่ฝากรีทัชก็เป็นรูปที่มีอะไรไม่รู้มาบังหน้า ส่วนในงานศพตอนสุดท้าย ทุกคนที่ยุ่นคิดจะเชิญมาในงานศพจะเห็นหน้าชัดหมด แม้แต่โบว์กับจ๊อยซ์ก็ชัด แต่คนเดียวที่เห็นจากด้านหลังคือ "แม่" กับอีกซีนนึงเป็นซีนรวมที่เห็นแม่นั่งอยู่ไกลๆ ซึ่งก็เห็นหน้าไม่ชัดอยู่ดี นี่แหละครับที่ผมบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ผมชอบในงานของนวพล เพราะมันจะมีอะไรแบบนี้ให้คิดต่อตลอด คือถ้าไม่คิดต่อก็ได้ มันไม่ได้มีผลกับเนื้อเรื่องหลักขนาดนั้น แต่พอคิดต่อ มันจะรู้สึกสนุกยังไงไม่รู้!!
:: สุขภาพ ::
แน่นอนว่าคนที่บ้างานขนาดนั้นมันต้องมีปัญหาด้านสุขภาพอยู่แล้ว จะกินยา ออกกำลังกาย หรือพักผ่อนตามที่หมอสั่งก็ไม่ได้ เพราะด้วยเวลาการทำงานมันไม่แน่นอน และเรื่องสุขภาพของยุ่นก็เป็นธีมหลักของหนัง เป็นสื่อกลางที่ทำให้ยุ่นได้รู้จัก "หมออิม" หมอที่พูด "แ_่ง" และ "ไส้กรอกเ_ี๊ยวหมา" ได้แบบไม่รู้สึกว่ามันเป็นคำหยาบ และพูดคำว่า "เน๊าะ" ได้เพราะที่สุดในโลก!! ซึ่งนวพลก็เล่นตลกกับคนดูโดยการให้งานชิ้นสุดท้ายที่ยุ่นทำก่อนจะน็อค เป็นงานที่ต้องรีทัชอะไรไม่รู้ลงไปบนหลังตัวแบบ แล้วก็เทียบกับแผ่นหลังของยุ่นที่มันเต็มไปด้วยบรรดาตุ่มแดงเต็มไปหมด ซีนนั้นนี่ผมได้ยินคำว่า "Ewwwww!!!" ดังมาก จากหลายๆคนในโรง (รวมทั้งตัวผมด้วย)
ซึ่งกว่ายุ่นมันจะสำนึกได้ว่าตัวเองปล่อยให้งานกลืนกินชีวิตไปเยอะขนาดไหน ก็วันที่ตัวเองถึงเวลาใกล้จะตายแล้วจริงๆ อยู่ๆคนที่เคยพูดอย่างไม่รู้สึกอะไรว่า "ทุกคนมันเกิดมาแล้วก็ต้องตายอยู่ดี สู้ทำทุกอย่างให้ตัวเองมีความสุขก่อนตายดีกว่า" ก็รู้สึกว่าตัวเองพลาดที่จะทำอะไรอีกตั้งหลายอย่าง และก็รู้สึกเสียดายขึ้นมาว่าคงไม่มีโอกาสได้ทำสิ่งเหล่านั้นอีกต่อไปแล้ว และมันยิ่งรู้สึกเศร้าเข้าไปอีกตอนที่ยุ่นมันนึกว่าจะเชิญใครมางานศพตัวเองบ้าง ซึ่งพอเห็นแต่ละคนที่ยุ่นมันคิดจะเชิญ มันก็คือคนที่วนเวียนอยู่ในชีวิตของยุ่นที่หนังนำเสนอนั่นแหละครับ ไม่มีกลุ่มเพื่อนสมัยเด็ก ไม่มีกลุ่มเพื่อนมหาลัย ไม่มีเพื่อนคนอื่นเลยนอกจาก เจ๋ ไก่ พงศธร และแม่(ที่ดูเลือนลางมาก) ..อ้อ มีหมออิมอีกคน!! มันเศร้านะครับที่พอคิดว่าเราปล่อยให้งานมาดึงเราออกห่างจากคนรอบข้างขนาดนี้ได้ยังไง ขนาดคนที่อยากเชิญมางานศพยังคิดไม่ออกเลยว่าจะเชิญใครนอกเหนือจากนี้มาได้อีกมั้ย!!
และจากกระแสสองขั้วที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างคนที่ชอบมากๆแบบผม และคนที่ไม่ชอบเลยถึงขนาดบอกว่าเสียดายตังค์!! ผมก็เข้าใจนะครับว่าทำไมคนถึงไม่ชอบเลย เพราะถ้าดูจากงานเก่าๆของนวพลก็จะเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ถ้ามันจะผิด ผมว่ามันผิดที่นวพลคิดอยากจะแมส และ GTH คิดอยากจะอินดี้นั่นแหละครับ แต่ถ้าเราไม่มองว่านั่นมันคือสิ่งที่ผิดล่ะ? ถ้าเรามองว่ามันคือการหลุดออกมาจากกรอบเดิมๆของทั้งนวพลและ GTH ..แฟนหนังนวพลก็จะได้เห็นการกำกับหนังรักในแบบนวพล ส่วนแฟน GTH ก็จะได้เห็นการเล่าเรื่องฟีลกู๊ดที่มันต่างจากเดิม!!
ผมเคยเขียนตอบไปในกระทู้นึงว่าหนังเรื่องนี้มันเหมาะกับแฟนหนังของนวพลมากกว่าแฟนหนังของ GTH คือถ้าคุณคิดว่าจะได้เห็นหนังรอมคอมวัยทำงานในแบบที่คุณเคยคิดว่า GTH ทำออกมาได้ดีนั้นคุณอาจจะผิดหวัง เพราะหนังเรื่องนี้มันมีความเป็นนวพลสูงมาก เนื้อความของ GTH ในแบบที่คุณคุ้นเคยจะมีอยู่ประมาณ 10 นาทีสุดท้ายที่มันโคตรจะ GTH แต่ก่อนหน้านั้นประมาณ 2 ชั่วโมง มันคือหนังของนวพลครับ แต่ก็อยากจะยืนยันเหมือนเดิมว่าหนังมันไม่ได้อินดี้ตีความยากขนาดต้องตีลังกาม้วนเกลียวแปดรอบขนาดนั้น ยิ่งพอมีโลโก้ GTH แปะหราอยู่แบบนี้ ผมว่ามันเป็นหนังอินดี้ที่ดูง่ายที่สุดในโลกแล้วล่ะ แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นหนังแมสที่มีลูกเล่นในการนำเสนอ เช่น การถ่าย Long Take การเล่นกับเสียง การเล่นกับสัญญะ การตัดต่อแบบแปลกๆ และที่สำคัญคือ มันคือการเล่าเรื่องแบบตลกหน้าตายได้อย่างตลก ปนกับรู้สึกเศร้าหน่อยๆไปด้วย
จริงๆผมก็อยากจะบอกว่าหนังเรื่องนี้มันเหมาะกับทุกคนนะครับ แต่ก็เกรงว่าจะกลายเป็นการโอ้อวดเกินจริงไปหน่อย เอาเป็นว่าอย่าตัดสินตัวหนังจากสิ่งที่คุณคิดว่ามันควรจะเป็นก็พอครับ อย่าพยายามตั้งความหวังว่าจะได้เห็นอะไรแบบไหนเพราะแค่คิดว่านี่มันคือ GTH หนัง GTH มันต้องเป็นแบบนี้ๆๆ การคาดหวังต่างๆเหล่านี้มันจะสร้างกรอบการดูหนังของคุณให้แคบลง ขนาด GTH เองเค้ายังอยากจะหลุดออกมาจากกรอบเดิมๆเหมือนที่มีกระทู้พูดถึงอยู่ตลอด แนวๆว่าเมื่อไร GTH จะมีหนังแบบอื่นนอกจากหนังรักวัยฮอร์โมนซักที ..ผมว่าเรื่องนี้แหละครับคือสิ่งที่ GTH ทำออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการของกระทู้เหล่านั้น ที่เหลือก็อยู่ที่การเปิดใจของคนดูแล้วล่ะว่าพอเค้าออกจากกรอบเดิมๆแล้ว คนดูพร้อมจะออกมาจากกรอบด้วยมั้ย!!
..เอาจริงแค่ไปดูใหม่ ดาวิกา หน้าสดพูด "เน๊าะ" ก็คุ้มค่าตั๋วแล้วนะผมว่า ฮ่าๆๆ ..คนอะไร พูด "เน๊าะ" ได้น่าฟังเป็นบ้า!!
[CR] ฟรีแลนซ์ฯ ..จัดเป็นหนังแมสที่โคตรอินดี้ แต่เป็นหนังอินดี้ที่โคตรแมส และแน่นอน มันฟีลกู๊ดด้วย!! (ถ้าสปอยล์เดี๋ยวจะบอก)
และพอรู้ว่านวพลมาทำหนังให้ GTH มันยิ่งทำให้ความอยากดูเพิ่มขึ้นไปอีก มันอยากดูว่านวพลจะเล่าเรื่องยังไงให้แมสที่สุด และ GTH จะอินดี้ได้แค่ไหน แค่คิดก็สนุกแล้วล่ะครับ
และที่สำคัญ ยุ่นมันอยู่ในวัยเดียวกันกับผม ทำงานในสายเดียวกันกับผม ก็เลยคิดว่า "เป็นเพื่อนกันละกันเน๊าะ" ...ไม่ใช่!!!! คิดว่าผมน่าจะชอบหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก
และเมื่อดูจบ ก็ได้คำตอบว่า "นวพลนี่มันนวพลจริงๆ" และ "GTH นี่มัน GTH จริงๆ" ฮ่าๆๆ ..คือมันมีทั้งความเป็น "เต๋อ นวพล" และความเป็น "GTH" แบบพอดิบพอดี มันได้ความรู้สึกที่หลากหลายมาก แต่ที่รู้สึกเยอะๆหน่อยก็คือ "กรูกลายเป็นไอ้ยุ่นไปรึยังวะ?" เพราะยุ่นมันทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ ชีวิตมีแต่งานกับงาน จนละเลยสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของมัน ทั้งเพื่อน ครอบครัว และสุขภาพ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
และจากกระแสสองขั้วที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างคนที่ชอบมากๆแบบผม และคนที่ไม่ชอบเลยถึงขนาดบอกว่าเสียดายตังค์!! ผมก็เข้าใจนะครับว่าทำไมคนถึงไม่ชอบเลย เพราะถ้าดูจากงานเก่าๆของนวพลก็จะเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ถ้ามันจะผิด ผมว่ามันผิดที่นวพลคิดอยากจะแมส และ GTH คิดอยากจะอินดี้นั่นแหละครับ แต่ถ้าเราไม่มองว่านั่นมันคือสิ่งที่ผิดล่ะ? ถ้าเรามองว่ามันคือการหลุดออกมาจากกรอบเดิมๆของทั้งนวพลและ GTH ..แฟนหนังนวพลก็จะได้เห็นการกำกับหนังรักในแบบนวพล ส่วนแฟน GTH ก็จะได้เห็นการเล่าเรื่องฟีลกู๊ดที่มันต่างจากเดิม!!
ผมเคยเขียนตอบไปในกระทู้นึงว่าหนังเรื่องนี้มันเหมาะกับแฟนหนังของนวพลมากกว่าแฟนหนังของ GTH คือถ้าคุณคิดว่าจะได้เห็นหนังรอมคอมวัยทำงานในแบบที่คุณเคยคิดว่า GTH ทำออกมาได้ดีนั้นคุณอาจจะผิดหวัง เพราะหนังเรื่องนี้มันมีความเป็นนวพลสูงมาก เนื้อความของ GTH ในแบบที่คุณคุ้นเคยจะมีอยู่ประมาณ 10 นาทีสุดท้ายที่มันโคตรจะ GTH แต่ก่อนหน้านั้นประมาณ 2 ชั่วโมง มันคือหนังของนวพลครับ แต่ก็อยากจะยืนยันเหมือนเดิมว่าหนังมันไม่ได้อินดี้ตีความยากขนาดต้องตีลังกาม้วนเกลียวแปดรอบขนาดนั้น ยิ่งพอมีโลโก้ GTH แปะหราอยู่แบบนี้ ผมว่ามันเป็นหนังอินดี้ที่ดูง่ายที่สุดในโลกแล้วล่ะ แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นหนังแมสที่มีลูกเล่นในการนำเสนอ เช่น การถ่าย Long Take การเล่นกับเสียง การเล่นกับสัญญะ การตัดต่อแบบแปลกๆ และที่สำคัญคือ มันคือการเล่าเรื่องแบบตลกหน้าตายได้อย่างตลก ปนกับรู้สึกเศร้าหน่อยๆไปด้วย
จริงๆผมก็อยากจะบอกว่าหนังเรื่องนี้มันเหมาะกับทุกคนนะครับ แต่ก็เกรงว่าจะกลายเป็นการโอ้อวดเกินจริงไปหน่อย เอาเป็นว่าอย่าตัดสินตัวหนังจากสิ่งที่คุณคิดว่ามันควรจะเป็นก็พอครับ อย่าพยายามตั้งความหวังว่าจะได้เห็นอะไรแบบไหนเพราะแค่คิดว่านี่มันคือ GTH หนัง GTH มันต้องเป็นแบบนี้ๆๆ การคาดหวังต่างๆเหล่านี้มันจะสร้างกรอบการดูหนังของคุณให้แคบลง ขนาด GTH เองเค้ายังอยากจะหลุดออกมาจากกรอบเดิมๆเหมือนที่มีกระทู้พูดถึงอยู่ตลอด แนวๆว่าเมื่อไร GTH จะมีหนังแบบอื่นนอกจากหนังรักวัยฮอร์โมนซักที ..ผมว่าเรื่องนี้แหละครับคือสิ่งที่ GTH ทำออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการของกระทู้เหล่านั้น ที่เหลือก็อยู่ที่การเปิดใจของคนดูแล้วล่ะว่าพอเค้าออกจากกรอบเดิมๆแล้ว คนดูพร้อมจะออกมาจากกรอบด้วยมั้ย!!
..เอาจริงแค่ไปดูใหม่ ดาวิกา หน้าสดพูด "เน๊าะ" ก็คุ้มค่าตั๋วแล้วนะผมว่า ฮ่าๆๆ ..คนอะไร พูด "เน๊าะ" ได้น่าฟังเป็นบ้า!!