พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
เพราะฉะนั้นให้พากันนึกถึง “กรรมของสัตว์”
นั่นแหละมันจึงยับยั้งใจได้ ผู้ใดทำชั่วพูดชั่วไป
ไม่สำรวมตนเช่นนั้นก็เป็นกรรมของเขา
เขาไม่เคยสำรวมตนมาแต่ก่อน เกิดมาชาตินี้
ก็นิสัยเก่ามันก็ติดมา ชอบพูดจาระรานคนอื่น
กระทบกระทั่งคนอื่นอย่างนี้นะ
ไอ้ผู้ที่เป็นคนดี ฝึกตนมาแล้ว รู้จักห้ามจิตของตนให้ได้มันก็ดีซิ..
ใครพูดกระทบกระทั่งมาแล้วก็ห้ามจิต สำรวมจิตของตนไว้ภายใน
อย่าไปรับรู้เอาคำกระทบกระทั่งจากคนอื่น
อย่างนี้แล้วตนก็เป็นคนดีเท่านั้นแหละ
คนอื่นชั่วช่างหัวใคร อย่างนี้แล้วเราก็อยู่กันได้โดยสันติสุข
ผู้ใดชั่ว เมื่อได้ฟังคำสั่งสอนแล้วหากว่ามันจะเป็นคนดีต่อไปได้
มันก็รู้สึกตัวเอง เมื่อรู้สึกตัวได้ก็สำรวมตนไปได้
ไม่ต้องมีใครไปตักเตือนว่ากล่าว
คนดีน่ะฟังธรรมะ
คำสั่งสอนพระพุทธเจ้าที่ท่านอธิบายชี้แจงให้ฟังแล้วก็ตื่นตัว
แล้วก็สำรวมตนไปได้ ถ้าคนนิสัยไม่ดีจริง เป็นบัวใต้น้ำ
พระพุทธเจ้าก็สอนไม่ได้ อย่างนั้นพระองค์ก็ปล่อยตามยถากรรมไป
ให้มันเสวยทุกขเวทนาเพราะการกระทำของตัวเองไปเสียก่อน
นานไปมันได้พบกับนักปราชญ์บัณฑิตเข้าไป
รู้ตัวเมื่อใดมันก็ละความชั่ว สำรวมตนเมื่อนั้น
มันก็ค่อยดีขึ้นไป นี่ล่ะบุคคลผู้มีอินทรีย์ยังอ่อนอยู่
แม้จะเคี่ยวเข็ญยังไงๆมันก็ไปไม่ได้ ก็ต้องปล่อยไปซะก่อน
เมื่ออินทรีย์มันแก่กล้าขึ้นไปมันก็ค่อยรู้ตัวไป
มันก็เป็นอย่างนี้แหละคนเรานะ แบบน้ำไหลไม่ทันกัน*
เพราะฉะนั้นเราอยู่ด้วยกันก็ต้องผ่อนผันหากัน
ถ้าไม่ทำผิดอย่างร้ายแรงก็อโหสิกรรมให้กันไป
ถ้ามันทำผิดร้ายแรงมันผิดวินัยจริงๆอย่างนี้ก็จำเป็นน่ะ
ต้องได้วินิจฉัยกัน ผิดจริงก็ต้องลงโทษกันไปตามโทษหนักโทษเบา
ถ้าไม่ผิดวินัย ผิดแต่ธรรมะเท่านั้นก็เอ้า..อะลุ้มอล่วยกันไป
...
*น้ำไหลไม่ทันกัน : หลวงปู่ท่านเคยใช้เปรียบเทียบในการแสดงพระธรรมเทศนาหลายบท
ว่าหมายถึง บุคคลต่างฝึกฝนตนมาไม่เท่ากัน ผู้ฝึกมาก่อนเหมือนน้ำไหลไปก่อนก็ถึงก่อน
น้ำที่ไหลตามไปทีหลังย่อมไม่ทันกระแสน้ำที่ไหลไปก่อนแล้ว (เพิ่มเติมโดยผู้ถอดเทป)
ต่างคนต่างกรรม : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
เพราะฉะนั้นให้พากันนึกถึง “กรรมของสัตว์”
นั่นแหละมันจึงยับยั้งใจได้ ผู้ใดทำชั่วพูดชั่วไป
ไม่สำรวมตนเช่นนั้นก็เป็นกรรมของเขา
เขาไม่เคยสำรวมตนมาแต่ก่อน เกิดมาชาตินี้
ก็นิสัยเก่ามันก็ติดมา ชอบพูดจาระรานคนอื่น
กระทบกระทั่งคนอื่นอย่างนี้นะ
ไอ้ผู้ที่เป็นคนดี ฝึกตนมาแล้ว รู้จักห้ามจิตของตนให้ได้มันก็ดีซิ..
ใครพูดกระทบกระทั่งมาแล้วก็ห้ามจิต สำรวมจิตของตนไว้ภายใน
อย่าไปรับรู้เอาคำกระทบกระทั่งจากคนอื่น
อย่างนี้แล้วตนก็เป็นคนดีเท่านั้นแหละ
คนอื่นชั่วช่างหัวใคร อย่างนี้แล้วเราก็อยู่กันได้โดยสันติสุข
ผู้ใดชั่ว เมื่อได้ฟังคำสั่งสอนแล้วหากว่ามันจะเป็นคนดีต่อไปได้
มันก็รู้สึกตัวเอง เมื่อรู้สึกตัวได้ก็สำรวมตนไปได้
ไม่ต้องมีใครไปตักเตือนว่ากล่าว คนดีน่ะฟังธรรมะ
คำสั่งสอนพระพุทธเจ้าที่ท่านอธิบายชี้แจงให้ฟังแล้วก็ตื่นตัว
แล้วก็สำรวมตนไปได้ ถ้าคนนิสัยไม่ดีจริง เป็นบัวใต้น้ำ
พระพุทธเจ้าก็สอนไม่ได้ อย่างนั้นพระองค์ก็ปล่อยตามยถากรรมไป
ให้มันเสวยทุกขเวทนาเพราะการกระทำของตัวเองไปเสียก่อน
นานไปมันได้พบกับนักปราชญ์บัณฑิตเข้าไป
รู้ตัวเมื่อใดมันก็ละความชั่ว สำรวมตนเมื่อนั้น
มันก็ค่อยดีขึ้นไป นี่ล่ะบุคคลผู้มีอินทรีย์ยังอ่อนอยู่
แม้จะเคี่ยวเข็ญยังไงๆมันก็ไปไม่ได้ ก็ต้องปล่อยไปซะก่อน
เมื่ออินทรีย์มันแก่กล้าขึ้นไปมันก็ค่อยรู้ตัวไป
มันก็เป็นอย่างนี้แหละคนเรานะ แบบน้ำไหลไม่ทันกัน*
เพราะฉะนั้นเราอยู่ด้วยกันก็ต้องผ่อนผันหากัน
ถ้าไม่ทำผิดอย่างร้ายแรงก็อโหสิกรรมให้กันไป
ถ้ามันทำผิดร้ายแรงมันผิดวินัยจริงๆอย่างนี้ก็จำเป็นน่ะ
ต้องได้วินิจฉัยกัน ผิดจริงก็ต้องลงโทษกันไปตามโทษหนักโทษเบา
ถ้าไม่ผิดวินัย ผิดแต่ธรรมะเท่านั้นก็เอ้า..อะลุ้มอล่วยกันไป
...
*น้ำไหลไม่ทันกัน : หลวงปู่ท่านเคยใช้เปรียบเทียบในการแสดงพระธรรมเทศนาหลายบท
ว่าหมายถึง บุคคลต่างฝึกฝนตนมาไม่เท่ากัน ผู้ฝึกมาก่อนเหมือนน้ำไหลไปก่อนก็ถึงก่อน
น้ำที่ไหลตามไปทีหลังย่อมไม่ทันกระแสน้ำที่ไหลไปก่อนแล้ว (เพิ่มเติมโดยผู้ถอดเทป)