- 2 MONTHS IN JAPAN - ประสบการณ์เดินทางคนเดียวสู่ต่างแดน



- 2 MONTHS IN JAPAN -
ประสบการณ์ครั้งแรกในญี่ปุ่น
การอยู่ตัวคนเดียว 2 เดือนในต่างแดน

นี่เป็นครั้งแรกในการตั้งกระทู้ของเรา ก่อนหน้านี้เราพยายามจะเขียนกระทู้เกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้หลายรอบ
แต่ก็พิมพ์ๆลบๆ รู้สึกเขียนเป็นทางการไป แล้วก็ขี้เกียจขึ้นมาซะอย่างนั้น
จนวันนี้ครบ1เดือนพอดีที่เรากลับมาเมืองไทย นั่งดูรูปแล้วก็ยังคิดถึงชีวิตตอนอยู่ที่นู้นมากๆเลย
เลยคิดว่าเออ ตั้งกระทู้เก็บไว้อ่านดีกว่า และเผื่อเป็นประสบการณ์ให้คนอื่นๆด้วย
เราคงจะเล่าไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีหัวเรื่องชัดเจน เอาเป็นว่าใครอยากรู้อะไรเพิ่มเติมถามได้นะคะ
เราคงจะพูดถึงเรื่องราวต่างๆในชีวิตประจำวัน สิ่งที่เราได้เจอมาซะเป็นส่วนมาก อาจจะไม่ได้แนะนำที่เที่ยวอะไรมากมาย
และรูปภาพประกอบก็เป็นรูปที่เราถ่ายส่งให้ที่บ้านดูบ้าง ลงใน ig บ้าง เลยออกจะมั่วๆซักหน่อย
ถ้ามีอะไรไม่ถูกใจต้องขออภัยด้วยนะคะ

เราไปญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม เพื่อไปฝึกงาน ระยะเวลา2เดือน
ในการไปฝึกงานก็คือหาบริษัทเองเลยค่ะ ส่งอีเมล์ไปแนะนำตัวพร้อมพอร์ตโฟลิโอ สอบถามว่ารับเด็กฝึกงานต่างชาติมั้ย
ส่วนมากจะตอบกลับมาเร็วมากๆ รับไม่รับ มีเงื่อนไขอย่างไรก็ว่ากันไป โชคดีที่บริษัทที่เราส่งไปรับทันที แทบไม่ดูอะไรเลย
เราพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว (ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ 5555555555) ภาษาอังกฤษงูๆปลาๆ
อยากจะบอกสำหรับคนที่กลัวเรื่องภาษา ว่าสิ่งที่ทำให้คุณพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ก็คือความกลัวนี่ล่ะค่ะ
อย่าไปกลัว ของงี้มันต้องฝึกกันเยอะๆ เราไม่เก่ง แต่เราไม่คิดว่าเราจะสื่อสารไม่ได้ แอพเอิพแปลภาษาก็มีจะกลัวอะไร

นอกจากเรื่องภาษาแล้ว ก็ยังมีเรื่องเงินที่คนอื่นคิดว่าคงต้องใช้เงินเยอะ
การไปฝึกงานเมืองนอกนี่ก็ไม่ใช่อะไรที่เราเคยคิดไว้เลยค่ะ บ้านก็ไม่ได้รวยอ่ะนะ
เพราะฉะนั้นการหาบริษัทที่สามารถซัพพอร์ตสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆให้เราจะช่วยประหยัดได้มาก
บริษัทที่เราไปฝึกงานด้วย มีที่พักให้คือนอนที่บริษัทเลย มีอาหารกลางวันให้ จึงตัดค่าที่พัก ค่าเดินทาง ออกไปได้เลย
จึงช่วยเซฟเงินไปได้เยอะมากกกกกกกก และตั๋วเครื่องบินถูกๆดีๆมีเยอะค่ะ เราได้ตั๋วไป-กลับ+น้ำหนักกระเป๋า30โล รวมเป็น 10000บาทเท่านั้นน
สิ่งที่หนักใจที่สุดสำหรับเราคือวีซ่า 5555 โดนขู่มาเยอะตั้งแต่ก่อนไปทำ พอเอาเข้าจริงก็หินจริงๆจ้าาา
เจ้าหน้าที่โทรมาถามหลายรอบมาก มีทั้งดุ ทั้งใจดีปะปนกันไป คุยจนร้องไห้เลยก็มีกดดันมาก
มีเรียกให้ส่งเอกสารเพิ่มด้วย ทั้งๆที่เพื่อนผู้ชายที่ไปทำวีซ่าพร้อมๆกัน ส่งเอกสารชุดเดียวกัน กลับไม่มีปัญหาอะไร
พอผ่านด่านนี้มาได้โล่งใจมาก นึกว่าจะไม่ได้ไปซะแล้ว

พอได้วีซ่ามา พี่สาวเราก็จัดการทุกอย่างให้ภายในเวลา 3 วัน ทุกอย่างเร่งด่วนมากๆ
ทั้งจองตั๋วเครื่องบิน จองรถไปส่งที่ออฟฟิส เตรียมของจำเป็นต่างๆเช่น ยา น้ำพริก 555
หลายคนบอกมาว่าเสื้อผ้าไม่ต้องเอาไปเยอะหรอก ไปซื้อที่นู้นเอา เราไม่เชื่อค่ะ คิดว่าอู้ยแพง เตรียมไปเนี่ยแหละ
พอเอาเข้าจริงๆ อยากบอกว่าถ้าจะมาคือเตรียมเสื้อผ้ามาให้น้อยที่สุดเลยค่า ของที่นี่ดีและถูกกกกก
และสันดานผู้หญิงเรื่องช้อปนี่มันห้ามกันไม่ได้จริงจริงงงงง
ผลของการไม่เชื่อฟังของเรา ขากลับคือกระเป๋างอก 5555 ขนกลับไม่หมด ต้องทิ้งของใช้ไปหลายอย่างเสียดายมาก
ของที่จำเป็นจริงๆที่ควรเตรียมมาคือยา เพราะถ้ามาหาซื้อที่นี่จะอ่านไม่ออกและค่อนข้างยุ่งยาก
อ้อแล้วก็พวกปลั๊กสามตาอย่าลืมค่ะ ถ้าใครติดอาหารรสไทยๆเหมือนเราก็อย่าลืมมาม่า น้ำพริก

อาจจะเปลืองที่ในกระเป๋าหน่อยแต่มาม่าแบบเผ็ดๆที่นี่รสชาติค่อนข้างแย่
และจริงๆเราเป็นคนชอบทานอาหารญี่ปุ่นมากกกก คือกินกิมจิกับข้าวทุกมื้อได้เป็นเวลาหลายวันติดต่อกัน
แต่นี่มันสองเดือนเลยนะคู้นนน ผ่านไปอาทิตย์เดียวก็โหยหาน้ำพริกแล้วค่าา
น้ำจิ้มซีฟู้ดเตรียมมาก็ดีนะ เพราะเราไม่ได้เอามา จะซื้อก็เสียดาย เลยอดกินยำปลาดิบแซ่บๆเลย

กระเป๋าพร้อม กายพร้อม ใจพร้อม!
ก่อนออกเดินทางเราไม่กลัวเลย หรือมันไม่เคยเจอเลยไม่รู้จะกลัวอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน
เราไม่เคยไปญี่ปุ่นมาก่อน ไม่ได้อยู่ในลิสต์ประเทศที่อยากไปด้วยนะ ตอนนี้ก็ยังรู้สึกเหมือนฝันๆอยู่เลย
เราขึ้นเครื่องของแอร์เอเชีย ที่สนามบินดอนเมือง ข้อดีคือใกล้บ้านมากๆ ข้อเสียคือไกลคนมาส่ง 5555555
แต่เพื่อนๆก็ยังอุตส่ามาส่งกันขอบคุณมากๆ ทุกคนพยายามบิ๊วให้ร้องไห้ แต่ไม่ร้องโว้ยย
พึ่งเข้าใจความรู้สึกของการเป็นคนที่เดินเข้า gate มันต่างจากคนที่มองอยู่นอก gate
ปกติเวลาไปส่งใครไม่เคยกลั้นน้ำตาได้เลย แต่ตอนนี้พอต้องไปเองกลับรู้สึกเฉยๆแฮะ

เครื่องบินออกได้ไม่นานเราก็หลับ อยู่ดีๆก็หลับไป ตื่นมาอีกทีก็อยู่บนฟ้าละ
แอร์เอาใบตม.มาให้เขียน เอาใบภาษาญี่ปุ่นมาให้ เราก็งงเลยถามว่าไม่มีภาษาอังกฤษหรอคะ
แอร์ตกใจขอโทษใหญ่บอกนึกว่าเราเป็นคนญี่ปุ่น เอาใบใหม่มาให้เป็นภาษาไทยก็งงอยู่ดี เกร็งมากกลัวเขียนผิด
ดันโง่อีกไม่รู้ว่าเค้ามีตัวอย่างอยู่ในคู่มือที่สอดอยู่หลังเบาะ เขียนเสร็จแล้วถึงพึ่งเปิดเจอ
หลับๆตื่นๆไปสักพักก็ถึงญี่ปุ่น ถึงนู้นตอนเที่ยงคืน เราเลยต้องอยู่สนามบินจนถึงเช้ารถถึงจะมารับไปออฟฟิส
ก็ยังชิวๆเหมือนเดิม ออกไปเจอตม. เค้าก็กวักมือเรียกเลย พอเราเข็นรถเข้าไปก็เอาเชือกแดงมากั้น
เจ้าหน้าที่มารุมกัน4-5คน แต่ละคนหล่อมากกกกเป็นนายแบบได้เลย แล้วเค้าก็ไล่คนไปช่องอื่น
เค้าก็ถามๆว่าเรามาทำอะไร มาคนเดียวหรอ ฝึกงานเกี่ยวกับอะไร ก็ตอบๆไปพร้อมโชว์เอกสาร ตั๋วเครื่องบินขากลับสำคัญมาก
เค้าก็ขออนุญาตค้นกระเป๋า ค้นไปก็บอก sorry ไป เปิดเจอตุ๊กตาเน่าที่เราพามาด้วยก็บอกคาวาอิ
แล้วก็ผ่านมาได้ ใจนี่เต้นตึกตักมาก ตอนนั้นห่วงกลัวโดนยึดน้ำพริกอย่างเดียวเลย
ไม่รู้ว่าตม.มีอำนาจในการส่งเรากลับประเทศได้ คือโง่มาก แต่ดีที่รู้ทีหลังไม่งั้นตอนนั้นคงกลัวฉี่ราดไปแล้ว

พอออกมาได้เราก็ลากกระเป๋าไปหาที่นั่ง ร้านรวงๆต่างๆปิดหมดแล้ว มีมินิมาร์ทกับแมคที่เปิด 24 ชม.
เราก็ไปนั่งกินแมค นั่นคือมื้อแรกที่ญี่ปุ่นค่ะ



เสร็จก็เข็นรถไปนั่งหน้าเค้าเตอร์บริษัทรถที่เราจองไว้ กลัวเช้าแล้วหาไม่เจอ
เราก็ใช้ไวไฟฟรีรายงานตัวกับคนที่บ้าน เล่นเน็ตไป อ่านหนังสือไป ไม่กล้านอนกลัวไม่ตื่นแล้วตกรถ จะไปฉี่ก็ไม่กล้าทิ้งรถเข็นไว้
ระหว่างนั้นมีคนเข็นรถมาไว้เบาะแถวข้างๆเรา แล้วเจ้าตัวก็หายไปเลย เราเลยทำบ้าง 55555
แปปๆก็เช้า เค้าเตอร์เปิด มีป้ายชื่อเราติดอยู่หน้าเค้าเตอร์ เราก็ไปแจ้งพร้อมกับเอาอีเมล์ที่ print out ออกมาให้เค้าดู
เค้าก็พาไปขึ้นรถ มีผู้ร่วมคันรถเป็นชาวไทยอีก 2 คน

จากสนามบินคันไซ โอซาก้า ไปถึงออฟฟิสเราที่เกียวโต ประมาณ 2-3 ชม.
ตลอดทางเราก็.....หลับ ตื่นมาอีกทีก็ต้องลงจากรถตู้ ไปต่อแท็กซี่คันเล็กที่จะพาเราไปสู่ออฟฟิสอีกที
ตอนนี้เริ่มตื่นเต้นแล้วแหละ หลายอย่างพรั่งพรูเข้ามาในหัวตั้งแต่อยู่สนามบิน
เริ่มคิดว่านี่เราคิดดีแล้วหรอ หาเรื่องใส่ตัวปะวะ ตั้งสองเดือนเลยนะ อยู่บ้านดีดีไม่ชอบอยากมาอยู่คนเดียว
ที่บริษัทจะเป็นยังไง เค้าจะโอเคกับเรามั้ย เราจะไหวจริงๆหรอ
ระหว่างทางคุณลุงแท็กซี่ก็พูดกับเราไปตลอดทาง แม้ว่าเราจะบอกว่า I can't understand japanese.



นี่คือวิวระหว่างทาง คุณลุงเริ่มเข้าซอยซับไป..ซ้อนมา.. จน หลง..
แล้วคุณลุงก็ไปจอดที่บ้านหลังนึง พร้อมบอกว่า ถึงและ เย้ (แปลเอง)
เราดูจากรูปหาสิ่งที่คล้ายออฟฟิสของเราไม่เจอ และดูจากตำแหน่งแผนที่ก็ไม่น่าใช่ แต่คุณลุงก็ยืนยันว่าที่นี่แหละๆ
เราก็เลยพยายามโทรหาเมเนเจอร์ที่ออฟฟิส ชื่อเอมมี ซึ่งเป็นที่คุยกับเราทางอีเมล์มาตลอด
โชคดีมากๆที่ตัดสินใจซื้อซิมสำหรับโทรต่างประเทศจากไทยไป เราก็หยิบคู่มือมาโทรหาเอมมี
กลัวโทรผิดมากกกเพราะถ้าติดต่อเอมมีไม่ได้ก็ไม่รู้จะทำไงต่อแล้วอ่ะ
พอมีคนรับสาย เราก็ถามว่า Is that Emmy? นางก็ตอบมาเสียงสดใสมากกกว่า Yessssss!
เหมือนเสียงสวรรค์ หัวโล่งแบบกูรอดแล้ววววว เกือบจะร้องไห้แล้วตอนนั้น เลยบอกเอมมีว่าฉันน่าจะหลง ยูช่วยคุยกับคนขับรถให้ทีนะ
หลังจากคุยกับเอมมีคุณลุงก็ดูจะเข้าใจถึงจุดหมายปลายทาง หันมาบอกโกเมนนาไซใส่เราใหญ่ เราก็ขับพาเราไปถูกที่

ในที่สุดเราก็มาถึงออฟฟิสซะที!
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่