สวัสดี
29.07-02.08.58
ทริปนี้มีชื่อว่า น่านก็อยากไปนี่ก็อยากไป วันหยุด4วันไปไหนดี น่านงัย เฮ้ยน่านอ่ะถูกแล้ว น่านละนะ^^
...เราเริ่มต้นเดินทางด้วย รถไฟ รฟท. ปลายทางสถานีเด่นชัย(รู้แค่นั้นจริงๆ)
ตีตั๋วคู่ อ่ะ เเนะนำตัวก่อน เรากระเต็น (นามสมมุติ) กับน้อง ที่จะว่าไปก็เหมือนเพื่อนเเหละ ว-นา-ลี (ตั๋วอยู่ไหน)
กระเต็น+วลี = นกที่อยู่ในป่า ฮาได้อีก
ตีตั๋วชั้นสาม ตั๋วยืนไม่มีที่นั่ง อืม VIP มาก เลือกที่ยืนได้ตามใจชอบเลย
...รถเคลื่อนตัวออกจากหัวลำโพง
เราต่างค้นพบวิธีที่ ทำให้เรายืนได้นานขึ้น ตอนนี้ถึงอยุธยาแล้ว พื้นที่บนรถไฟเต็มทุกอนู เอางัยดี จากประโยคสนทนา กลายเป็นคำถามขึ้นมาทันที ลงรถแล้วนอนอยุธยาสักคืนมั้ยแล้วค่อยต่อรถไปพรุ่งนี้? จากตรงนี้กับ บขส.ใกล้กันมั้ย?
วลีไหวมั้ย? เจ้หนูไหว เออ เอาเป็นว่าเราจะสู้กับความทรมานนี้ เอาหว่ะ
ยืนมาร่วมสามชม. มองหน้ากัน นั่งมั้ย เออ นั่งดิ แล้วเราก็นั่งกันในพื้นที่1 ตารางเมตร (ระหว่างทางเดิน)
สบายตูดแล้วคราวนี้
...กิจกรรมผ่อนคลายก็เริ่มขึ้น วาดรูป อ่านหนังสือ ถ่ายรูปเล่น
ตั๋วยืน
. . .
ถึงแล้ว เด่นชัย มีชัย ไชโย
ปล.ขอบคุณการตัดสินใจที่ทำให้เราสอบผ่านวิชาความอดทน
ต่อไป...สองแถว---เด่นชัย-แพร่ (น่าจะใช่) ป่ะ
...ถึงแพร่ แล้วต่อรถไปน่าน ในเวลาต่อมา
...อ่าห่ะ น่านละนะ
ขอตัวไปหาที่พักก่อนนะ
...
ได้ที่พักแล้ว ปั่นจักรยานกัน
ไปไหนดี นี่มั้ย โน่นห่ะ น่านแล้วกัน
...
หอศิลป์ริมน่าน คือจุดหมายต่อไป
20 กม. กับจักรยานแม่บ้านที่เช่ามา ไหวมั้ยวลี ///ไหวเจ้ หนูไหว มันไหวตลอด แต่พี่ไม่ไหวหว่ะ ตายตั้งแต่ 2โลแรกละ
แวะร้านขายของชำข้างทาง กินน้ำเติมพลัง แล้วตัดสินใจฝากจักรยานไว้ร้านค้า
แล้วโบกรถเอา โบกสิ จะรออะไร
////// คันเเรก กระทันหันไป จอดไม่ทัน มั่ง555555
หันมาหัวเราะกัน... คันที่สอง ตามมาติดๆ จอดทั้งทั้งที่ยังไม่ได้โบก
เก๋งสีดำ ค่อยลดกระจกลง ,,,มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ ,,, ดีงามพระรามเก้า
เราเลยขอติดรถพี่เค้าไปด้วย ...แอร์เย็นดี
เริ่มแนะนำตัว แบบเบสิคๆเลย บอกชื่อ ที่มา ที่ไปว่าจะไปไหน
...ถามพี่เค้ากลับ ว่าทำมั้ยถึงจอดรับ พี่เค้าบอกไม่เด็กมหาลัยกรูก็ม.(นี้แหละมั้ง)
เลยเป็นคำถามต่อมา ว่าเรียนยุที่ไหน พอบอกมอปุ๊ป พี่เค้ารีบเอาบัตรที่สวมชุดครุยออกมา มันใช่เลยชุดที่คุ้นเคย
สวัสค่ะรุ่นพี่ร่วมมหาลัยเดียวกัน บทสนทนาเริ่มสนิทสนมขึ้น อันที่จริงพี่เค้าไปไม่ถึงหอศิลป์ แต่เค้าใจดีมากขับพาเราไปส่ง
ขอบคุณนะพี่(เอ็ม)นามสมมุติ ฝากบอกพี่เค้าด้วยว่า ที่ให้โทรกลับหาพี่ หนูโทรหาแล้วแต่โทรไม่ติด
อาจจะพิมพ์เบอร์ผิด แค่อยากบอกว่า พวกหนูถึงกรุงเทพอย่างปลอดภัยและสบายดีมาก
...
ถึงหอศิลป์ เริ่มเล่าเรื่องผ่านม้วนฟิล์ม บาย กระเต็น
ฝนตกปรอยๆ ลมพัดเย็น มีเพลงเหนือเปิดคลอเบาเบา
หัวฟิล์ม หัววลี
ฝนเพิ่งหยุดตกเลย
ภัณฑารักษ์ คุณป้าน่ารักมาก
คอยให้ความรู้อยู่ตลอด สรุปคือ เราอยู่ที่นี้ทั้งวัน อยากดื่มด่ำบรรยากาศแบบนี้ไว้นานๆ
รับรู้ได้ถึงความรู้สึกอะไรบางอย่าง อิ่มอกอิ่มใจ กับภาพเขียน ที่จัดเป็นภาพถ่าย
ก่อนจะกลับ
ขอลั่นภาพนี้ก่อน
เธอบอกเขา แต่เรากลับเป็นคนอยากได้ยิน
แคปชั่นหรือชีวิตจริง เอาน๊า เลิกดราม่าๆ55555
กำลังจะกลับ ก็พี่น่ารักคนนึง เดินเข้ามาถามว่า มายังไง บอก โบกรถมา พี่รีบพูดขึ้นมาเลย งั้นรอกลับกับพี่เดี๋ยวพี่ไปส่ง
ตอนนั้น คือ ยิ้ม พูดรัยไม่ออก ได้เเต่บอกว่าขอบคุณ
ระหว่างทางนั่งรถกลับ พี่ก็ชวนคุย เริ่มจากเล่าเรื่องตัวเอง เล่าจนรู้ความเป็นไปของพี่ทุกอย่าง การเปิดเผย ทำให้เราคุยกันอย่างเปิดใจมากขึ้น พี่คอยสอนพวกเราตลอดทาง นอกจากเป็นผู้หญิงเก่ง เป็นแม่ที่ดี พี่ยังมีจิตวิญญาณความเป็นครูสูงมาก
... ถ้าเราคิดดี ทำดี เราจะได้เจอแต่สิ่งดีดี และพบเจอแต่คนดีดี ...พี่นุ้ยบอกมา(นามสมมุติ)นะ
ขอเก็บภาพพี่ไว้เป็นที่ระลึก
พี่งามมาก งามทั้งกายและใจ
ถ้าผ่านมาอ่าน นี้คือรูปที่ขอถ่ายพี่แบบไม่ทันปรับแสง ฟิล์มลั่น
ย้อนกลับไปที่หอศิลป์ริมน่าน ด้วยภาพดิจิตอล
ด้านในสู่ด้านนอก
ดูงาน
ด้านข้างเป็นสีชาเย็น
ที่มาของรูปหยดน้ำ
ความร่มรื่นมาจากไหน มองขึ้นไปข้างบน
ห้องน้ำแบบใกล้ชิดธรรมชาติมาก
..
.
หลังจากพี่เค้ามาส่งเราที่ร้านขายของชำ เราก็เข็นจักรยานออกอย่างรวดเร็ว ฟ้าจะมืดแล้ว
จิ้มแผนที่เอาเลย
ปั่นไป ดูแผนที่ไป ถ้าเริ่มสงสัยว่าจะหลงทาง จอดถามชาวบ้านเอา
^^ แสงสุดท้ายของวันเริ่มจะหมด
ระหว่างที่ปั่นมาเรื่อยๆ ฟ้าสวยมาก สีพาสเทลจาง เห็นวัดพระธาตุเขาน้อยไกลๆ
เราเลยชวนกันปั่นขึ้นไปบนเนิน ระหว่างกำลังถ่ายรูปท้องฟ้า กล้องเบี่ยงลงมาระดับต่ำลง
หมาน้อยราว4-5 ตัวล้อมรอบพวกเราอยู่ มันจ้องแบบไม่ละสายตา
วลีหันมาถาม เจ้ๆ มีขนมมั้ย ...มือนี่สั่นเลย เเล้วพวกมันก็ประสานเสียงกันเห่ารั่ว ใจเย็นนะ หาขนมก่อน จำได้ว่าในกระเป๋ามีขนมอยู่ชิ้นนึง
ที่ได้จากรถทัวร์ที่นั่งจากแพร่มาน่าน ขนมชิ้นน้อยถูกแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ พร้อมส่งให้อย่างใจเย็น ลาก่อน เนินมาเห่า (ชื่อเนินตั้งตามสถานการณ์ตอนนั้น) จักรยานสองคนค่อยๆ ปั่นลงมาอย่างช้าๆ รอดตาย ...
เราเริ่มเข้าสู่ถนนในตัวเมืองอีกครั้ง ตอนแรกตั้งใจจะไปวัดพระธาตุเขาน้อย แต่มืดขนาดนี้ น่าจะขึ้นไปไม่ไหว
และวันนี้ก็เป็นวันเข้าพรรษา งั้นไปวัดกันดีกว่า
วัดภูมินทร์
เวียนเทียนกัน
ฟ้าเริ่มมืด
ทองตัดดำน่าจะสวย
(วัดศรีพันต้น)
ผ่านไปอีกวัน นันนี้ขอเสนอทริป ปั่นน่องปูด
ถ่ายรูปเล่น หาของอร่อยๆกิน
ปั่นมั่วๆ
มาโผล่ที่สะพานข้ามแม่น้ำน่าน
มีเราในรูปฟิล์มที่วลีลั่นด้วยเเหละ
ใต้สะพาน
บังเอิญปั่นมาเจอ ขอบภาพนี้มาก
ขอนั่งเล่นสักพัก
ระหว่างทาง
ปั่นต่อเลย จุดหมายวัดพระธาตุเขาน้อย ด้วยจักรยานแม่บ้าน
... ยางเริ่มจะเรียบเข้ากับพื้นถนนแล้ว ตะเวนหาร้านเติมลม แป๊ปปปปปป
จนได้จนเจอ ไปต่อเลย
20 กิโลมันตามมาหลอกหลอน
ถึงทางขึ้น มองขึ้นไป ขาเริ่มสั่น 300กว่าเอง เองเนอะ55555
ยิ้มสู้เข้าไว้
รูปคู่มาแล้ว
ก่อนขึ้น ....ถึงแล้ว
ระหว่างรอเสื้อแห้ง (พอดีเพิ่งอาบเหงื่อมา)
นานพอจะวาดรูปเสร็จไป1รูป
วลีมองมา
เติมพลังก่อนจะออกไปสู้ศึกต่อ
หลังจากลงจากวัดพระธาตุเขาน้อย เราชวนกันแวะวัดพญาวัด เป็นวัดที่เงียบมากในบรรดาวัดที่ไปมา
เราเดินเข้าไปในโบสถ์ และเดินดูรอบๆ ด้านหลังมีองค์เจดีย์ด้วย รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในอยุธยาเลย
ฟ้าเริ่มมืด ไม่ใช่เวลาเย็น เพราะตอนนี้ก็บ่ายแก่ๆอยู่เลย แต่เพราะฝนเริ่มริน เราเลยรีบเดินมาที่จักรยาน
กำลังไขกุญแจ... วลี: เจ้ไม่ออกหว่ะ พี่ :ขอลองบ้าง เออไขไม่ออก วลี :ไหนหนูขอลองใหม่
...
หยิบกุญเเจจากมือวลีมา ยกมือขึ้นไหว้หนึ่งที ในใจแค่คิดว่าขอให้คุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครองลูกช้างด้วย
...ไขไปทีนึง เสียงดังเก็ก!!! มันคือเสียงปลดล็อคกุญเเจ เราต่างมองหน้ากัน พยักหน้าหนึ่งที (เป็นการเข้าใจตรงกันว่า เราไปกันเถอะ)
ออกจากวัดมา เราคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้
มันรู้สึกดีนะ ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แค่คิดว่าเค้าอาจจะกำลังช่วยเราอยู่ก็ได้ เพราะถ้าเราออกไปเร็วเราอาจเจอเหตุการณ์อะไรที่ไม่ดีก็ได้
พอรู้สึกโล่ง ความรู้สึกดีก็ตามมา
>>>>และนี้คือที่มาของการลั่นฟิล์มภาพนี้
ว๊าปปปมาที่นี้เลยแล้วกัน เย็นๆช่วยเติมพลังได้ มอคค่า กับลาเต้ สั่งเหมือนเดิมทุกร้าน55555
ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ที่บ้านเลย เป็นร้านติดริมถนน เเต่รู้สึกเงียบมาก พี่เจ้าของร้านน่ารัก เลยวาดรูปให้พี่เค้ารูปนึง
เย็นวันนี้ มีตลาดถนนคนเดิน ถนนข้างๆวัดภูมินทร์ เราเลยวางแผนกันจะไปวาดสด และขายโปสการ์ดที่นั่งวาดมาสองวันก่อน
ตามสถานที่ต่างๆที่ไปมา
เริ่มตั้งร้าน อย่าเรียกว่าตั้งร้านเลย5555 แค่ปูเสื่อปูผ้า แบกะดินแล้วเริ่มนั่ง ลูกค้าคนแรกของเรามาแล้ว มีคนมาสั่งให้วาดรูปแม่
กำลังเริ่มวาดเลย ฝนก็ค่อยๆรินลงมา และหนักขึ้นเรื่อยๆเราเลยเก็บของ เเล้วติดต่อลูกค้า เปลี่ยนเป็นส่งไปรษณีย์ให้แทน
ตอนนั้นรู้สึกเลยว่า ถึงฝนจะตก แต่คนที่นี้เค้าปรับตัวได้สบายมากแม่ค้าทุกคนมีอุปกรณ์กันฝนชั้นดี เราจากไปด้วยรอยยิ้ม ถึงขายไม่ได้ แต่โคตรมันส์เลย อิ่มอกอิ่มใจ อย่างน้อยก็ได้เจอกับคนหลายคนที่เข้ามานั่งคุยด้วย ชอบงานศิลปะเหมือนกัน
หนึ่งในคนเหล่านั้น...คือ พี่น้องคู่นี้ ขอบคุณกำลังใจ และรอยยิ้มนะ
วลีถ่ายใว้
เช้ามาอีกวัน เราต้องกลับกันแล้ว
นี้เป็นภาพก่อนที่จะสลบไปบนรถทัวร์ น่องปูดมาก ทริปแข็งแรง555555
ฟิล์มภาพสุดท้าย
ความคิดถึงจะทำให้ได้เจอกันใหม่นะน่าน
ขอบคุณที่ผ่านมาอ่านนะ
..กระเต็น
https://www.facebook.com/18katen
มาพูดมาคุยกันนะ
[SR] น่านก็น่ารัก นี้ก็น่ารัก (น่านนะเหรอ อยากไปก็เลยไป ไม่ศึกษาเส้นทาง ชะตาฟ้าลิขิตใว้แล้ว ฟังใจชัดกว่าความคิด)
29.07-02.08.58
ทริปนี้มีชื่อว่า น่านก็อยากไปนี่ก็อยากไป วันหยุด4วันไปไหนดี น่านงัย เฮ้ยน่านอ่ะถูกแล้ว น่านละนะ^^
...เราเริ่มต้นเดินทางด้วย รถไฟ รฟท. ปลายทางสถานีเด่นชัย(รู้แค่นั้นจริงๆ)
ตีตั๋วคู่ อ่ะ เเนะนำตัวก่อน เรากระเต็น (นามสมมุติ) กับน้อง ที่จะว่าไปก็เหมือนเพื่อนเเหละ ว-นา-ลี (ตั๋วอยู่ไหน)
กระเต็น+วลี = นกที่อยู่ในป่า ฮาได้อีก
ตีตั๋วชั้นสาม ตั๋วยืนไม่มีที่นั่ง อืม VIP มาก เลือกที่ยืนได้ตามใจชอบเลย
...รถเคลื่อนตัวออกจากหัวลำโพง
เราต่างค้นพบวิธีที่ ทำให้เรายืนได้นานขึ้น ตอนนี้ถึงอยุธยาแล้ว พื้นที่บนรถไฟเต็มทุกอนู เอางัยดี จากประโยคสนทนา กลายเป็นคำถามขึ้นมาทันที ลงรถแล้วนอนอยุธยาสักคืนมั้ยแล้วค่อยต่อรถไปพรุ่งนี้? จากตรงนี้กับ บขส.ใกล้กันมั้ย?
วลีไหวมั้ย? เจ้หนูไหว เออ เอาเป็นว่าเราจะสู้กับความทรมานนี้ เอาหว่ะ
ยืนมาร่วมสามชม. มองหน้ากัน นั่งมั้ย เออ นั่งดิ แล้วเราก็นั่งกันในพื้นที่1 ตารางเมตร (ระหว่างทางเดิน)
สบายตูดแล้วคราวนี้
...กิจกรรมผ่อนคลายก็เริ่มขึ้น วาดรูป อ่านหนังสือ ถ่ายรูปเล่น
ตั๋วยืน
. . .
ถึงแล้ว เด่นชัย มีชัย ไชโย
ปล.ขอบคุณการตัดสินใจที่ทำให้เราสอบผ่านวิชาความอดทน
ต่อไป...สองแถว---เด่นชัย-แพร่ (น่าจะใช่) ป่ะ
...ถึงแพร่ แล้วต่อรถไปน่าน ในเวลาต่อมา
...อ่าห่ะ น่านละนะ
ขอตัวไปหาที่พักก่อนนะ
...
ได้ที่พักแล้ว ปั่นจักรยานกัน
ไปไหนดี นี่มั้ย โน่นห่ะ น่านแล้วกัน
...
หอศิลป์ริมน่าน คือจุดหมายต่อไป
20 กม. กับจักรยานแม่บ้านที่เช่ามา ไหวมั้ยวลี ///ไหวเจ้ หนูไหว มันไหวตลอด แต่พี่ไม่ไหวหว่ะ ตายตั้งแต่ 2โลแรกละ
แวะร้านขายของชำข้างทาง กินน้ำเติมพลัง แล้วตัดสินใจฝากจักรยานไว้ร้านค้า
แล้วโบกรถเอา โบกสิ จะรออะไร
////// คันเเรก กระทันหันไป จอดไม่ทัน มั่ง555555
หันมาหัวเราะกัน... คันที่สอง ตามมาติดๆ จอดทั้งทั้งที่ยังไม่ได้โบก
เก๋งสีดำ ค่อยลดกระจกลง ,,,มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ ,,, ดีงามพระรามเก้า
เราเลยขอติดรถพี่เค้าไปด้วย ...แอร์เย็นดี
เริ่มแนะนำตัว แบบเบสิคๆเลย บอกชื่อ ที่มา ที่ไปว่าจะไปไหน
...ถามพี่เค้ากลับ ว่าทำมั้ยถึงจอดรับ พี่เค้าบอกไม่เด็กมหาลัยกรูก็ม.(นี้แหละมั้ง)
เลยเป็นคำถามต่อมา ว่าเรียนยุที่ไหน พอบอกมอปุ๊ป พี่เค้ารีบเอาบัตรที่สวมชุดครุยออกมา มันใช่เลยชุดที่คุ้นเคย
สวัสค่ะรุ่นพี่ร่วมมหาลัยเดียวกัน บทสนทนาเริ่มสนิทสนมขึ้น อันที่จริงพี่เค้าไปไม่ถึงหอศิลป์ แต่เค้าใจดีมากขับพาเราไปส่ง
ขอบคุณนะพี่(เอ็ม)นามสมมุติ ฝากบอกพี่เค้าด้วยว่า ที่ให้โทรกลับหาพี่ หนูโทรหาแล้วแต่โทรไม่ติด
อาจจะพิมพ์เบอร์ผิด แค่อยากบอกว่า พวกหนูถึงกรุงเทพอย่างปลอดภัยและสบายดีมาก
...
ถึงหอศิลป์ เริ่มเล่าเรื่องผ่านม้วนฟิล์ม บาย กระเต็น
ฝนตกปรอยๆ ลมพัดเย็น มีเพลงเหนือเปิดคลอเบาเบา
หัวฟิล์ม หัววลี
ฝนเพิ่งหยุดตกเลย
ภัณฑารักษ์ คุณป้าน่ารักมาก
คอยให้ความรู้อยู่ตลอด สรุปคือ เราอยู่ที่นี้ทั้งวัน อยากดื่มด่ำบรรยากาศแบบนี้ไว้นานๆ
รับรู้ได้ถึงความรู้สึกอะไรบางอย่าง อิ่มอกอิ่มใจ กับภาพเขียน ที่จัดเป็นภาพถ่าย
ก่อนจะกลับ
ขอลั่นภาพนี้ก่อน
เธอบอกเขา แต่เรากลับเป็นคนอยากได้ยิน
แคปชั่นหรือชีวิตจริง เอาน๊า เลิกดราม่าๆ55555
กำลังจะกลับ ก็พี่น่ารักคนนึง เดินเข้ามาถามว่า มายังไง บอก โบกรถมา พี่รีบพูดขึ้นมาเลย งั้นรอกลับกับพี่เดี๋ยวพี่ไปส่ง
ตอนนั้น คือ ยิ้ม พูดรัยไม่ออก ได้เเต่บอกว่าขอบคุณ
ระหว่างทางนั่งรถกลับ พี่ก็ชวนคุย เริ่มจากเล่าเรื่องตัวเอง เล่าจนรู้ความเป็นไปของพี่ทุกอย่าง การเปิดเผย ทำให้เราคุยกันอย่างเปิดใจมากขึ้น พี่คอยสอนพวกเราตลอดทาง นอกจากเป็นผู้หญิงเก่ง เป็นแม่ที่ดี พี่ยังมีจิตวิญญาณความเป็นครูสูงมาก
... ถ้าเราคิดดี ทำดี เราจะได้เจอแต่สิ่งดีดี และพบเจอแต่คนดีดี ...พี่นุ้ยบอกมา(นามสมมุติ)นะ
ขอเก็บภาพพี่ไว้เป็นที่ระลึกพี่งามมาก งามทั้งกายและใจ
ถ้าผ่านมาอ่าน นี้คือรูปที่ขอถ่ายพี่แบบไม่ทันปรับแสง ฟิล์มลั่น
ย้อนกลับไปที่หอศิลป์ริมน่าน ด้วยภาพดิจิตอล
ด้านในสู่ด้านนอก
ดูงาน
ด้านข้างเป็นสีชาเย็น
ที่มาของรูปหยดน้ำ
ความร่มรื่นมาจากไหน มองขึ้นไปข้างบน
ห้องน้ำแบบใกล้ชิดธรรมชาติมาก
..
.
หลังจากพี่เค้ามาส่งเราที่ร้านขายของชำ เราก็เข็นจักรยานออกอย่างรวดเร็ว ฟ้าจะมืดแล้ว
จิ้มแผนที่เอาเลย
ปั่นไป ดูแผนที่ไป ถ้าเริ่มสงสัยว่าจะหลงทาง จอดถามชาวบ้านเอา
^^ แสงสุดท้ายของวันเริ่มจะหมด
ระหว่างที่ปั่นมาเรื่อยๆ ฟ้าสวยมาก สีพาสเทลจาง เห็นวัดพระธาตุเขาน้อยไกลๆ
เราเลยชวนกันปั่นขึ้นไปบนเนิน ระหว่างกำลังถ่ายรูปท้องฟ้า กล้องเบี่ยงลงมาระดับต่ำลง
หมาน้อยราว4-5 ตัวล้อมรอบพวกเราอยู่ มันจ้องแบบไม่ละสายตา
วลีหันมาถาม เจ้ๆ มีขนมมั้ย ...มือนี่สั่นเลย เเล้วพวกมันก็ประสานเสียงกันเห่ารั่ว ใจเย็นนะ หาขนมก่อน จำได้ว่าในกระเป๋ามีขนมอยู่ชิ้นนึง
ที่ได้จากรถทัวร์ที่นั่งจากแพร่มาน่าน ขนมชิ้นน้อยถูกแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ พร้อมส่งให้อย่างใจเย็น ลาก่อน เนินมาเห่า (ชื่อเนินตั้งตามสถานการณ์ตอนนั้น) จักรยานสองคนค่อยๆ ปั่นลงมาอย่างช้าๆ รอดตาย ...
เราเริ่มเข้าสู่ถนนในตัวเมืองอีกครั้ง ตอนแรกตั้งใจจะไปวัดพระธาตุเขาน้อย แต่มืดขนาดนี้ น่าจะขึ้นไปไม่ไหว
และวันนี้ก็เป็นวันเข้าพรรษา งั้นไปวัดกันดีกว่า
วัดภูมินทร์
เวียนเทียนกัน
ฟ้าเริ่มมืด
ทองตัดดำน่าจะสวย
(วัดศรีพันต้น)
ผ่านไปอีกวัน นันนี้ขอเสนอทริป ปั่นน่องปูด
ถ่ายรูปเล่น หาของอร่อยๆกิน
ปั่นมั่วๆ
มาโผล่ที่สะพานข้ามแม่น้ำน่าน
มีเราในรูปฟิล์มที่วลีลั่นด้วยเเหละ
ใต้สะพาน
บังเอิญปั่นมาเจอ ขอบภาพนี้มาก
ขอนั่งเล่นสักพัก
ระหว่างทาง
ปั่นต่อเลย จุดหมายวัดพระธาตุเขาน้อย ด้วยจักรยานแม่บ้าน
... ยางเริ่มจะเรียบเข้ากับพื้นถนนแล้ว ตะเวนหาร้านเติมลม แป๊ปปปปปป
จนได้จนเจอ ไปต่อเลย
20 กิโลมันตามมาหลอกหลอน
ถึงทางขึ้น มองขึ้นไป ขาเริ่มสั่น 300กว่าเอง เองเนอะ55555
ยิ้มสู้เข้าไว้
รูปคู่มาแล้วก่อนขึ้น ....ถึงแล้ว
ระหว่างรอเสื้อแห้ง (พอดีเพิ่งอาบเหงื่อมา)
นานพอจะวาดรูปเสร็จไป1รูป
วลีมองมา
เติมพลังก่อนจะออกไปสู้ศึกต่อ
หลังจากลงจากวัดพระธาตุเขาน้อย เราชวนกันแวะวัดพญาวัด เป็นวัดที่เงียบมากในบรรดาวัดที่ไปมา
เราเดินเข้าไปในโบสถ์ และเดินดูรอบๆ ด้านหลังมีองค์เจดีย์ด้วย รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในอยุธยาเลย
ฟ้าเริ่มมืด ไม่ใช่เวลาเย็น เพราะตอนนี้ก็บ่ายแก่ๆอยู่เลย แต่เพราะฝนเริ่มริน เราเลยรีบเดินมาที่จักรยาน
กำลังไขกุญแจ... วลี: เจ้ไม่ออกหว่ะ พี่ :ขอลองบ้าง เออไขไม่ออก วลี :ไหนหนูขอลองใหม่
...
หยิบกุญเเจจากมือวลีมา ยกมือขึ้นไหว้หนึ่งที ในใจแค่คิดว่าขอให้คุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครองลูกช้างด้วย
...ไขไปทีนึง เสียงดังเก็ก!!! มันคือเสียงปลดล็อคกุญเเจ เราต่างมองหน้ากัน พยักหน้าหนึ่งที (เป็นการเข้าใจตรงกันว่า เราไปกันเถอะ)
ออกจากวัดมา เราคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้
มันรู้สึกดีนะ ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แค่คิดว่าเค้าอาจจะกำลังช่วยเราอยู่ก็ได้ เพราะถ้าเราออกไปเร็วเราอาจเจอเหตุการณ์อะไรที่ไม่ดีก็ได้
พอรู้สึกโล่ง ความรู้สึกดีก็ตามมา
>>>>และนี้คือที่มาของการลั่นฟิล์มภาพนี้
ว๊าปปปมาที่นี้เลยแล้วกัน เย็นๆช่วยเติมพลังได้ มอคค่า กับลาเต้ สั่งเหมือนเดิมทุกร้าน55555
ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ที่บ้านเลย เป็นร้านติดริมถนน เเต่รู้สึกเงียบมาก พี่เจ้าของร้านน่ารัก เลยวาดรูปให้พี่เค้ารูปนึง
เย็นวันนี้ มีตลาดถนนคนเดิน ถนนข้างๆวัดภูมินทร์ เราเลยวางแผนกันจะไปวาดสด และขายโปสการ์ดที่นั่งวาดมาสองวันก่อน
ตามสถานที่ต่างๆที่ไปมา
เริ่มตั้งร้าน อย่าเรียกว่าตั้งร้านเลย5555 แค่ปูเสื่อปูผ้า แบกะดินแล้วเริ่มนั่ง ลูกค้าคนแรกของเรามาแล้ว มีคนมาสั่งให้วาดรูปแม่
กำลังเริ่มวาดเลย ฝนก็ค่อยๆรินลงมา และหนักขึ้นเรื่อยๆเราเลยเก็บของ เเล้วติดต่อลูกค้า เปลี่ยนเป็นส่งไปรษณีย์ให้แทน
ตอนนั้นรู้สึกเลยว่า ถึงฝนจะตก แต่คนที่นี้เค้าปรับตัวได้สบายมากแม่ค้าทุกคนมีอุปกรณ์กันฝนชั้นดี เราจากไปด้วยรอยยิ้ม ถึงขายไม่ได้ แต่โคตรมันส์เลย อิ่มอกอิ่มใจ อย่างน้อยก็ได้เจอกับคนหลายคนที่เข้ามานั่งคุยด้วย ชอบงานศิลปะเหมือนกัน
หนึ่งในคนเหล่านั้น...คือ พี่น้องคู่นี้ ขอบคุณกำลังใจ และรอยยิ้มนะ
วลีถ่ายใว้
เช้ามาอีกวัน เราต้องกลับกันแล้ว
นี้เป็นภาพก่อนที่จะสลบไปบนรถทัวร์ น่องปูดมาก ทริปแข็งแรง555555
ฟิล์มภาพสุดท้าย
ความคิดถึงจะทำให้ได้เจอกันใหม่นะน่าน
ขอบคุณที่ผ่านมาอ่านนะ
..กระเต็น https://www.facebook.com/18katen
มาพูดมาคุยกันนะ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น