มีคนเคยเปรียบเปรยไว้ว่า “ชีวิตคนเรา..น้ำเน่ายิ่งกว่าละคร” เมื่อก่อนดิฉันก็รู้สึกเฉยๆ กับคำพูดเหล่านี้ แต่ในตอนนี้ดิฉันรู้ซึ้งและเข้าใจเป็นอย่างดี..เพราะชีวิตของดิฉันในตอนนี้เป็นอย่างเพลงนี้เลย “เคยแต่งตัวสวย..ร่ำรวยกินอิ่มทุกวัน..ต้องกลายเป็นคนคลุกคลาน” เคยได้ยินบ่อยๆ แต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองก็จะตกอยู่ในสถานะแบบนี้เหมือนกัน
ดิฉันถูกสามีทิ้งไปตั้งแต่เริ่มตั้งท้องได้ประมาณ 2 เดือน แต่เหมือนเขายังไม่ตัดขาด..เขายังมาหาบ้างทุกเดือน..เดือนละครั้ง 2-3 ครั้ง..มีทะเลาะกันเพราะเรื่องการไม่กลับบ้านของเขาหลายครั้ง..โดยให้ข้ออ้างกับดิฉันว่าเขางานยุ่ง..เหนื่อยกับการทำงานเลยทำให้ไม่สามารถกลับบ้าน..ไปอยู่ห้องกับเพื่อนบ้างเขาให้เหตุผลแบบนี้กับดิฉันมาตลอด..จนท้องได้ประมาณ 7 เดือนสามีก็ไม่เคยกลับมาสนใจดิฉันกับลูกในท้องอีกเลย…ในขณะที่ดิฉันตั้งท้อง..มันมีเรื่องให้เครียดเยอะแยะไปหมด..แต่ดิฉันเลือกที่จะคิดบวก..เพราะคิดเสมอว่าถ้าเราเครียดหรือไปหมกหมุ่นอยู่กับความทุกข์..ลูกจะได้รับผลกระทบนี้ไปด้วย..ดิฉันเลือกที่จะไม่สนใจการกระทำของสามี..ในแต่ละวันดิฉันจะทำบุญใส่บาตร ไหว้พระ..และขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้ลูกดิฉันเป็นคนดี..มีแต่คนรักและเอ็นดูลูกของเรา..ดิฉันทำแบบนี้มาตลอดจนกระทั่งใกล้คลอด..แล้วก็มีเรื่องที่ทำให้สามีต้องกลับมาหาดิฉันอีกครั้ง..เนื่องจากเพราะพ่อของสามีเสีย ทำให้เขาต้องมารับดิฉันมางานศพพ่อของเขา..(ดิฉันแต่งงานกับสามีและจดทะเบียนกัน..และเรื่องที่เกิดขึ้นทางแม่สามีและญาติพี่น้องไม่ทราบเรื่องที่เขาทิ้งดิฉันไป..เขาบอกให้สามีพาดิฉันมางานศพพ่อของเขาด้วย) คงเป็นเพราะเรื่องนี้เลยทำให้ในใบเกิดของลูกดิฉันมีชื่อพ่อปรากฎอยู่..ไม่อย่างงั้นแล้ว..ลูกของดิฉันก็คงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเด็กไม่มีพ่อโดยสมบูรณ์แบบจริงๆ
พอหลังจากงานศพพ่อของสามีเสร็จสิ้น..วันรุ่งขึ้นดิฉันก็คลอดลูกชายพอดี..หลังจากที่เขาได้ทำเรื่องเอกสารใบเกิดของลูก..รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ เสร็จสิ้น (เงินค่าคลอดลูกก็เป็นเงินของดิฉันทั้งหมด) เขาขับรถมาส่งดิฉันกับลูกที่บ้าน..เขาพูดคุยกับดิฉันถึงเรื่องอนาคตต่างๆ นาๆ..เหมือนกับว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น..แล้วเขาก็บอกกับดิฉันว่า “เขาไปทำงานก่อนนะ..และถามว่าดิฉันต้องการอะไรหรือเปล่า..”ก่อนไปเขาก้มลงหอมลูกที่แก้มและหน้าผากหลายครั้ง..และขับรถออกไป..ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่กลับมาหาดิฉันกับลูกอีกเลย..ตอนนั้นดิฉันรู้ดีว่าเขาคงมีคนอื่น..เขาถึงได้ทำแบบนี้..ถามว่าร้องไห้เสียใจไหม..คนเรามันก็ต้องมีคะ..เพราะสิ่งที่สามีทำกับดิฉันมันมากมายจริงๆ นอกจากเขาจะทิ้งดิฉันกับลูกไปอย่างไม่ใยดีแล้ว..เขาทิ้งภาระหนี้สินให้ดิฉันรับผิดชอบคนเดียวเป็นแสนๆ แถมขับรถคันที่ดิฉันทั้งดาวน์และทั้งผ่อนเองหนีไป..หลังจากที่เขาทิ้งดิฉันไปได้ประมาณ 6 เดือน..ก็มีคนโทรมาบอกกับดิฉันว่ารู้ไหมว่าสามีของดิฉันไปแต่งงานใหม่และมีลูกใหม่แล้ว..ตอนนั้นดิฉันก็คิดไว้แล้วว่าเขามีคนอื่น..แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะไปแต่งงานใหม่และมีลูกด้วยกันเร็วขนาดนั้น..เพราะเขายังไม่ได้หย่าขาดกับดิฉันเลย..และไม่เคยคิดต่อมาด้วย..เหมือนเขาพยายามหนีดิฉัน..ดิฉันได้แต่ปลง..ทำอะไรไม่ได้นอกจากบอกตัวเองให้อดทนเพื่อลูก..ให้กำลังใจตัวเองและพยายามคิดบวก..อย่างน้อยลูกก็จะได้ไม่ต้องมาเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกัน หรือได้เห็นแบบอย่างที่ไม่ดี..อีกอย่างเราต้องเป็นเสาหลักให้กับลูก..จะมัวเศร้าเสียใจไม่กินไม่นอน..ไม่สนใจลูกได้อย่างไร..มีบ้างที่จะร้องไห้เสียใจ..และเคยกอดลูกร้องไห้หลายครั้ง..แต่ดิฉันไม่เคยย่อท้อกับสิ่งที่เกิดขึ้น..คิดเสมอว่า.. “ไม่เป็นไร..ไม่มีเขาเราก็อยู่ได้..และต้องอยู่ได้ดีกว่าตอนมีเขาด้วย”
ในขณะที่ดิฉันกำลังปรับทัศนคติกับการเป็น Single Mom และพยายามที่จะเข้มแข็งกับเรื่องที่สามีได้ทอดทิ้งดิฉันกับลูกไปนั้น..ต้องย้อนบอกทุกคนว่า..หลังจากคลอดลูกได้เพียง 2 สัปดาห์..คุณหมอก็นัดตรวจภายในเพื่อตรวจหามะเร็งปากมดลูก..ซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนที่คลอดลูกทุกคนต้องตรวจ..การตรวจครั้งนี้คุณหมอแจ้งว่าผลการตรวจภายในเบื้องต้นมีความผิดปกติ..คุณหมอจะส่งไปตรวจกับโรงพยาบาลที่มีความชำนาญ..ซึ่งกระบวนการตรวจนั้นมีหลายขั้นตอนพอสมควร..กว่าจะรู้ผลก็ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน..และผลสุดท้ายคุณหมอก็แจ้งว่าดิฉันเป็นมะเร็งปากมดลูก..ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเป็นระยะไหน..แต่มันก็ทำให้ดิฉันอึ้งและแทบไม่มีแรงจะเดินออกจากห้องตรวจเลยด้วยซ้ำ..ถามตัวเองว่าจะเอาอย่างไรหละทีนี้..หนทางการใช้ชีวิตของเราทำไมถึงมีอุปสรรคนัก..หลังจากที่คุณหมอได้แจ้งว่าผลเป็นมะเร็งก็ให้รอตรวจเพื่อทำการส่องกล้อง..ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจเพื่อยืนยันระยะของโรค..หลังจากผ่าตัดเสร็จคุณหมอก็แจ้งว่าอีก 2 อาทิตย์ให้มาฟังผลว่าเป็นระยะไหนและเดินทางกลับบ้าน..ดิฉันนั่งร้องไห้บนรถตู้ตลอดทางกลับบ้านจิตใจมันห่อเหี่ยวอ่อนล้าเกินทน..แต่พอมาเจอหน้าแม่และลูกชาย..ก็ต้องแอบซ่อนความเสียใจเอาไว้..ก้มลงจูบเท้าลูกน้ำตานี่อาบแก้มแต่ก็ต้องร้องแบบแอบๆ กลัวแม่เห็น..วินาทีนั้นคือสงสารแม่มาก..และดิฉันก็แอบเห็นแม่ร้องไห้เช่นกัน (ลูกชายเพ่งอายุแค่ 2 เดือนเอง) หลังจากที่ทุกคนในครอบครัวทราบเรื่อง..เราก็ทำได้แต่กอดกันร้องไห้..ตอนนั้นดิฉันก็ยังคิดเสมอว่า..ไม่ว่าฉันจะโชคร้ายแค่ไหน..แต่ดิฉันยังมีครอบครัวที่รักและคอยอยู่เคียงข้างฉันเสมอ..อย่างน้อยเราก็ยังโชคดีที่เรารู้เร็ว..และสามารถหาทางรักษาได้..ความคิดบวกก็กลับเข้ามาสู่ชีวิตอีกครั้ง..ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นดิฉันต้องเดินหน้าต่อไป..เพื่อลูกและคนในครอบครัว..คงเป็นเพราะการคิดบวกหรือความโชคดีของดิฉันมั้งคะ..วันที่ไปฟังผลคุณหมอก็แจ้งว่าดิฉันเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะแรกเริ่มเท่านั้น..แต่จะต้องมีการตรวจเป็นระยะๆ เพื่อติดตามฟิคแบ็คของโรคทุกๆ 4 เดือน..ได้ฟังแค่นี้ดิฉันก็มีแรงมากพอที่จะสู้กับทุกปัญหาที่เกิดขึ้น
หลังจากที่ดิฉันได้ต่อสู้กับปัญหาที่ได้กล่าวมาตลอดเป็นระยะเวลา 1 ปี ปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้นกับชีวิตดิฉันอีกจนได้..เช้าวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ดิฉันเพ่งจะใส่บาตรวันเกิดของตัวเองเสร็จแท้ๆ..ก็ได้ทราบว่าข่าวบริษัทฯ ที่ดิฉันทำงานอยู่นั้น..กำลังจะปิดตัวลง..และทยอยปลดพนักงานในสิ้นเดือนนั้นเลย..ส่วนตัวดิฉันมีกำหนดการออกในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2558 ทราบข่าวนี้แล้ว..ก็เสียความรู้สึกเหมือนกันแต่ยังไงซะดิฉันก็ยังต้องคิดบวก..อย่างน้อยๆ เขาก็ยังให้โอกาสดิฉันในการตั้งสติและหาทางจัดการชีวิตของตัวเอง
ถ้าถามว่าดิฉันเจอปัญหามากมายขนาดนี้..ดิฉันผ่านมันมาได้อย่างไร..สิ่งแรกคงต้องบอกว่าจิตใจของเรานั้นสำคัญนัก..เหมือนอย่างที่พระท่านบอกว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” นั้นถูกต้องอย่างแท้จริง..ต่อให้คนเป็นล้านๆ คนให้กำลังใจเราแค่ไหนแต่ถ้าใจของเรานั้นไม่สู้..เราก็จะไม่มีวันที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์นั้นได้เลย
อย่างที่สอง “ครอบครัว” ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีกำลังใจที่จะดำรงชีวิตต่อไป..เพราะมันทำให้เรารู้ว่าเราอยู่เพื่อใคร..และสู้เพื่อใคร..
Single Mom หลายคนถามดิฉันเสมอว่าเลี้ยงลูกอย่างไร จะตอบคำถามลูกอย่างไร หากลูกถามเรื่องพ่อ สิ่งหนึ่งที่ดิฉันคิดก็คือ เราจะต้องไม่สอนให้ลูกเกลียดพ่อ ต้องไม่ยัดเยียดความเกลียดชังให้กับลูก สอนให้ลูกเป็นคนมองโลกในแง่ดี ให้รักครอบครัว รู้จักแบ่งปัน ซึ่งแม้ลูกของดิฉันจะยังเล็ก ดิฉันก็สอนลูกแบบนี้ ดิฉันเชื่อว่าเรื่องแบบนี้เราสามารถปลูกฝังได้ตั้งแต่เค้ายังเล็ก และสอนลูกด้วยความรัก ให้ความรักเค้ามากๆ แต่อย่าตามใจจนเคยตัว ซึ่งลูกชายดิฉันก็ซึมซับได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าครอบครัวของเราจะทำกิจกรรมอะไร ลูกชายจะชวนให้ทุกคนในครอบครัวมาร่วมกิจกรรมด้วยกันเสมอ นี่เป็นนิสัยพื้นฐานที่ดิฉันสอนให้ลูกนั้นรักครอบครัว
สุดท้ายนี้อยากจะบอกทุกคนว่า ปัญหาทุกอย่างมีทางออกเสมอ เพียงแค่เรามีสติ คิดอย่างรอบคอบ สร้างกำลังใจให้ตัวเราเอง แล้วเราจะสามารถผ่านอุปสรรค และปัญหาทุกอย่างไปได้เสมอ
จากวันนั้นถึงวันนี้..ชีวิตที่มีแต่การคิดบวกของ “Single Mom ฉันทำได้”
ดิฉันถูกสามีทิ้งไปตั้งแต่เริ่มตั้งท้องได้ประมาณ 2 เดือน แต่เหมือนเขายังไม่ตัดขาด..เขายังมาหาบ้างทุกเดือน..เดือนละครั้ง 2-3 ครั้ง..มีทะเลาะกันเพราะเรื่องการไม่กลับบ้านของเขาหลายครั้ง..โดยให้ข้ออ้างกับดิฉันว่าเขางานยุ่ง..เหนื่อยกับการทำงานเลยทำให้ไม่สามารถกลับบ้าน..ไปอยู่ห้องกับเพื่อนบ้างเขาให้เหตุผลแบบนี้กับดิฉันมาตลอด..จนท้องได้ประมาณ 7 เดือนสามีก็ไม่เคยกลับมาสนใจดิฉันกับลูกในท้องอีกเลย…ในขณะที่ดิฉันตั้งท้อง..มันมีเรื่องให้เครียดเยอะแยะไปหมด..แต่ดิฉันเลือกที่จะคิดบวก..เพราะคิดเสมอว่าถ้าเราเครียดหรือไปหมกหมุ่นอยู่กับความทุกข์..ลูกจะได้รับผลกระทบนี้ไปด้วย..ดิฉันเลือกที่จะไม่สนใจการกระทำของสามี..ในแต่ละวันดิฉันจะทำบุญใส่บาตร ไหว้พระ..และขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้ลูกดิฉันเป็นคนดี..มีแต่คนรักและเอ็นดูลูกของเรา..ดิฉันทำแบบนี้มาตลอดจนกระทั่งใกล้คลอด..แล้วก็มีเรื่องที่ทำให้สามีต้องกลับมาหาดิฉันอีกครั้ง..เนื่องจากเพราะพ่อของสามีเสีย ทำให้เขาต้องมารับดิฉันมางานศพพ่อของเขา..(ดิฉันแต่งงานกับสามีและจดทะเบียนกัน..และเรื่องที่เกิดขึ้นทางแม่สามีและญาติพี่น้องไม่ทราบเรื่องที่เขาทิ้งดิฉันไป..เขาบอกให้สามีพาดิฉันมางานศพพ่อของเขาด้วย) คงเป็นเพราะเรื่องนี้เลยทำให้ในใบเกิดของลูกดิฉันมีชื่อพ่อปรากฎอยู่..ไม่อย่างงั้นแล้ว..ลูกของดิฉันก็คงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเด็กไม่มีพ่อโดยสมบูรณ์แบบจริงๆ
พอหลังจากงานศพพ่อของสามีเสร็จสิ้น..วันรุ่งขึ้นดิฉันก็คลอดลูกชายพอดี..หลังจากที่เขาได้ทำเรื่องเอกสารใบเกิดของลูก..รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ เสร็จสิ้น (เงินค่าคลอดลูกก็เป็นเงินของดิฉันทั้งหมด) เขาขับรถมาส่งดิฉันกับลูกที่บ้าน..เขาพูดคุยกับดิฉันถึงเรื่องอนาคตต่างๆ นาๆ..เหมือนกับว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น..แล้วเขาก็บอกกับดิฉันว่า “เขาไปทำงานก่อนนะ..และถามว่าดิฉันต้องการอะไรหรือเปล่า..”ก่อนไปเขาก้มลงหอมลูกที่แก้มและหน้าผากหลายครั้ง..และขับรถออกไป..ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่กลับมาหาดิฉันกับลูกอีกเลย..ตอนนั้นดิฉันรู้ดีว่าเขาคงมีคนอื่น..เขาถึงได้ทำแบบนี้..ถามว่าร้องไห้เสียใจไหม..คนเรามันก็ต้องมีคะ..เพราะสิ่งที่สามีทำกับดิฉันมันมากมายจริงๆ นอกจากเขาจะทิ้งดิฉันกับลูกไปอย่างไม่ใยดีแล้ว..เขาทิ้งภาระหนี้สินให้ดิฉันรับผิดชอบคนเดียวเป็นแสนๆ แถมขับรถคันที่ดิฉันทั้งดาวน์และทั้งผ่อนเองหนีไป..หลังจากที่เขาทิ้งดิฉันไปได้ประมาณ 6 เดือน..ก็มีคนโทรมาบอกกับดิฉันว่ารู้ไหมว่าสามีของดิฉันไปแต่งงานใหม่และมีลูกใหม่แล้ว..ตอนนั้นดิฉันก็คิดไว้แล้วว่าเขามีคนอื่น..แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะไปแต่งงานใหม่และมีลูกด้วยกันเร็วขนาดนั้น..เพราะเขายังไม่ได้หย่าขาดกับดิฉันเลย..และไม่เคยคิดต่อมาด้วย..เหมือนเขาพยายามหนีดิฉัน..ดิฉันได้แต่ปลง..ทำอะไรไม่ได้นอกจากบอกตัวเองให้อดทนเพื่อลูก..ให้กำลังใจตัวเองและพยายามคิดบวก..อย่างน้อยลูกก็จะได้ไม่ต้องมาเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกัน หรือได้เห็นแบบอย่างที่ไม่ดี..อีกอย่างเราต้องเป็นเสาหลักให้กับลูก..จะมัวเศร้าเสียใจไม่กินไม่นอน..ไม่สนใจลูกได้อย่างไร..มีบ้างที่จะร้องไห้เสียใจ..และเคยกอดลูกร้องไห้หลายครั้ง..แต่ดิฉันไม่เคยย่อท้อกับสิ่งที่เกิดขึ้น..คิดเสมอว่า.. “ไม่เป็นไร..ไม่มีเขาเราก็อยู่ได้..และต้องอยู่ได้ดีกว่าตอนมีเขาด้วย”
ในขณะที่ดิฉันกำลังปรับทัศนคติกับการเป็น Single Mom และพยายามที่จะเข้มแข็งกับเรื่องที่สามีได้ทอดทิ้งดิฉันกับลูกไปนั้น..ต้องย้อนบอกทุกคนว่า..หลังจากคลอดลูกได้เพียง 2 สัปดาห์..คุณหมอก็นัดตรวจภายในเพื่อตรวจหามะเร็งปากมดลูก..ซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนที่คลอดลูกทุกคนต้องตรวจ..การตรวจครั้งนี้คุณหมอแจ้งว่าผลการตรวจภายในเบื้องต้นมีความผิดปกติ..คุณหมอจะส่งไปตรวจกับโรงพยาบาลที่มีความชำนาญ..ซึ่งกระบวนการตรวจนั้นมีหลายขั้นตอนพอสมควร..กว่าจะรู้ผลก็ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน..และผลสุดท้ายคุณหมอก็แจ้งว่าดิฉันเป็นมะเร็งปากมดลูก..ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเป็นระยะไหน..แต่มันก็ทำให้ดิฉันอึ้งและแทบไม่มีแรงจะเดินออกจากห้องตรวจเลยด้วยซ้ำ..ถามตัวเองว่าจะเอาอย่างไรหละทีนี้..หนทางการใช้ชีวิตของเราทำไมถึงมีอุปสรรคนัก..หลังจากที่คุณหมอได้แจ้งว่าผลเป็นมะเร็งก็ให้รอตรวจเพื่อทำการส่องกล้อง..ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจเพื่อยืนยันระยะของโรค..หลังจากผ่าตัดเสร็จคุณหมอก็แจ้งว่าอีก 2 อาทิตย์ให้มาฟังผลว่าเป็นระยะไหนและเดินทางกลับบ้าน..ดิฉันนั่งร้องไห้บนรถตู้ตลอดทางกลับบ้านจิตใจมันห่อเหี่ยวอ่อนล้าเกินทน..แต่พอมาเจอหน้าแม่และลูกชาย..ก็ต้องแอบซ่อนความเสียใจเอาไว้..ก้มลงจูบเท้าลูกน้ำตานี่อาบแก้มแต่ก็ต้องร้องแบบแอบๆ กลัวแม่เห็น..วินาทีนั้นคือสงสารแม่มาก..และดิฉันก็แอบเห็นแม่ร้องไห้เช่นกัน (ลูกชายเพ่งอายุแค่ 2 เดือนเอง) หลังจากที่ทุกคนในครอบครัวทราบเรื่อง..เราก็ทำได้แต่กอดกันร้องไห้..ตอนนั้นดิฉันก็ยังคิดเสมอว่า..ไม่ว่าฉันจะโชคร้ายแค่ไหน..แต่ดิฉันยังมีครอบครัวที่รักและคอยอยู่เคียงข้างฉันเสมอ..อย่างน้อยเราก็ยังโชคดีที่เรารู้เร็ว..และสามารถหาทางรักษาได้..ความคิดบวกก็กลับเข้ามาสู่ชีวิตอีกครั้ง..ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นดิฉันต้องเดินหน้าต่อไป..เพื่อลูกและคนในครอบครัว..คงเป็นเพราะการคิดบวกหรือความโชคดีของดิฉันมั้งคะ..วันที่ไปฟังผลคุณหมอก็แจ้งว่าดิฉันเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะแรกเริ่มเท่านั้น..แต่จะต้องมีการตรวจเป็นระยะๆ เพื่อติดตามฟิคแบ็คของโรคทุกๆ 4 เดือน..ได้ฟังแค่นี้ดิฉันก็มีแรงมากพอที่จะสู้กับทุกปัญหาที่เกิดขึ้น
หลังจากที่ดิฉันได้ต่อสู้กับปัญหาที่ได้กล่าวมาตลอดเป็นระยะเวลา 1 ปี ปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้นกับชีวิตดิฉันอีกจนได้..เช้าวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ดิฉันเพ่งจะใส่บาตรวันเกิดของตัวเองเสร็จแท้ๆ..ก็ได้ทราบว่าข่าวบริษัทฯ ที่ดิฉันทำงานอยู่นั้น..กำลังจะปิดตัวลง..และทยอยปลดพนักงานในสิ้นเดือนนั้นเลย..ส่วนตัวดิฉันมีกำหนดการออกในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2558 ทราบข่าวนี้แล้ว..ก็เสียความรู้สึกเหมือนกันแต่ยังไงซะดิฉันก็ยังต้องคิดบวก..อย่างน้อยๆ เขาก็ยังให้โอกาสดิฉันในการตั้งสติและหาทางจัดการชีวิตของตัวเอง
ถ้าถามว่าดิฉันเจอปัญหามากมายขนาดนี้..ดิฉันผ่านมันมาได้อย่างไร..สิ่งแรกคงต้องบอกว่าจิตใจของเรานั้นสำคัญนัก..เหมือนอย่างที่พระท่านบอกว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” นั้นถูกต้องอย่างแท้จริง..ต่อให้คนเป็นล้านๆ คนให้กำลังใจเราแค่ไหนแต่ถ้าใจของเรานั้นไม่สู้..เราก็จะไม่มีวันที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์นั้นได้เลย
อย่างที่สอง “ครอบครัว” ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีกำลังใจที่จะดำรงชีวิตต่อไป..เพราะมันทำให้เรารู้ว่าเราอยู่เพื่อใคร..และสู้เพื่อใคร..
Single Mom หลายคนถามดิฉันเสมอว่าเลี้ยงลูกอย่างไร จะตอบคำถามลูกอย่างไร หากลูกถามเรื่องพ่อ สิ่งหนึ่งที่ดิฉันคิดก็คือ เราจะต้องไม่สอนให้ลูกเกลียดพ่อ ต้องไม่ยัดเยียดความเกลียดชังให้กับลูก สอนให้ลูกเป็นคนมองโลกในแง่ดี ให้รักครอบครัว รู้จักแบ่งปัน ซึ่งแม้ลูกของดิฉันจะยังเล็ก ดิฉันก็สอนลูกแบบนี้ ดิฉันเชื่อว่าเรื่องแบบนี้เราสามารถปลูกฝังได้ตั้งแต่เค้ายังเล็ก และสอนลูกด้วยความรัก ให้ความรักเค้ามากๆ แต่อย่าตามใจจนเคยตัว ซึ่งลูกชายดิฉันก็ซึมซับได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าครอบครัวของเราจะทำกิจกรรมอะไร ลูกชายจะชวนให้ทุกคนในครอบครัวมาร่วมกิจกรรมด้วยกันเสมอ นี่เป็นนิสัยพื้นฐานที่ดิฉันสอนให้ลูกนั้นรักครอบครัว
สุดท้ายนี้อยากจะบอกทุกคนว่า ปัญหาทุกอย่างมีทางออกเสมอ เพียงแค่เรามีสติ คิดอย่างรอบคอบ สร้างกำลังใจให้ตัวเราเอง แล้วเราจะสามารถผ่านอุปสรรค และปัญหาทุกอย่างไปได้เสมอ