นับตั้งแต่วันที่ฉันรักเธอ [ตอนที่ 30]

กระทู้สนทนา
30



    คืนนี้...

    เป็นอีกคืนที่ฉันตั้งใจสวดมนต์อย่างมาก และคอยภาวนาว่าขอให้ได้เจอพี่บริงค์อีกสักครั้ง ถ้าเป็นไปได้...ฉันจะขอบคุณทุกสรรพสิ่ง โดยเฉพาะหลวงพ่อที่ทำให้คำอธิษฐานของฉันสัมฤทธิ์ผล

    ฉันเริ่มตาปรือหลังจากที่กินยานอนหลับเข้าไปเกือบห้านาที อือ...ยาคงออกฤทธิ์แล้วสินะ

    คร่อกกก ก ZzZ




    
    กริ๊ก แกร็ก กิ้งๆ

    เสียงโลหะที่คาดว่าน่าจะเป็นกุญแจกระทบกันดังกุ๊งกิ๊งๆ เสียงไขประตูด้วยกุญแจที่เปลี่ยนไปทีละดอกทำให้ฉันเริ่มตาสว่าง ก่อนจะกวาดสายตามองไปทั่วห้องแล้วก็ต้องเบิกตากว้าง หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง

    นี่...นี่มันห้อง...

    แกร็ก แอ๊ดดดด~    

    “พี่บริงค์!!!...เฮือก!”

    “เหอออ?!” ฉันใจหายวาบเมื่อคนที่เปิดประตูเข้ามาไม่ใช่พี่บริงค์ แต่กลับเป็นป๊าของพี่บริงค์! ตายล่ะ!!!

    “นี่...นี่หนูเข้ามาในนี้ได้ยังไง?” ป๊าพี่บริงค์ถามเสียงดังพลางชี้มาทางฉันอย่างตกใจ ชิบเป๋งแล้วไงล่ะนิกิม ทำไงดีๆ เออใช่! หลับ! ฉันฉวยโอกาสตอนที่ป๊าแกกำลังตกตะลึงพรึ่งเพริด ค้นยานอนหลับในลิ้นชักหัวเตียงอย่างร้อนรน เอ๊ะ! อยู่ไหนนะ ก็ตอนนั้นฉันว่าฉันเคยเห็นอยู่แผงหนึ่งนะ แล้วตอนนี้มันหายไปไหนแล้ว?

    “อ๊ะ เจอแล้ว” ฉันรีบหยอดเม็ดยาเข้าปากแล้วกลืนสดๆ โดยไม่มีน้ำหล่อเลี้ยง ก่อนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีใครอีกคนยืนอยู่จึงหันไปมองป๊าพี่บริงค์ที่ยังคงยืนค้างแข็งเป็นหิน ดวงตาตี่ๆ ที่เบิกกว้างสุดแล้วเพราะความตกใจสุดขีด คนแปลกหน้าอย่างฉันที่อยู่ดีๆ ก็เข้ามาอยู่ในห้องของลูกชายแกได้ คงทำให้แกไม่สามารถตั้งสติได้ทัน แล้วค่อยเข้ามาขย้ำคอฉันอย่างที่ฉันคิดไว้ตั้งแต่แรก ป๊าพี่บริงค์กระพริบตาปริบๆ แล้วทิ้งมือที่ชี้หน้าฉันลงแนบตัวอย่างหมดแรง

    “หนูชื่อนิกิมใช่มั้ย?” เสียงใหญ่ถามฉัน ในน้ำเสียงนั้นไม่มีวี่แววว่าจะโกรธหรือจะอะไรเลย ฉันมองป๊าแปลกๆ ก่อนจะพยักหน้าแล้วตอบไปตามความจริง

    “เอ่อ...ค่ะ ทะ...ทำไมเหรอคะ?”

    “นิกิม หนูรู้รึยังว่าบริงค์เขา...”

    คร่อกกก ZZz





    ฉันขยับตัวเปลี่ยนท่านอนก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาท่ามกลางความมืดและบรรยากาศเงียบๆ ของห้อง อืม...นี่มันห้องนอนของฉันสินะ ว่าแต่...เมื่อกี้ป๊ากำลังจะพูดว่าอะไร? พี่บริงค์...พี่บริงค์ทำไมนะ? ฉันยันตัวให้ลุกขึ้นนั่งแล้วแหงนหน้ามองนาฬิกาบนฝาผนัง...ตีสี่กว่า

    “ฮื่อ” ฉันถอนใจเบาๆ ก่อนจะลุกไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าแปรงฟัน ฉันนอนไม่หลับแล้วล่ะ แต่ว่าตื่นขึ้นมาแล้วจะทำอะไรดีนี่ไว้ค่อยคิดทีหลัง ตอนนี้ฉันยังเบลอๆ อยู่เพราะพิษง่วงแรกตื่น

    ฉันออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้าที่แช่มชื่นขึ้นหน่อย อา...ตาสว่างแล้วล่ะ ว่าแต่...แหกขี้ตาตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตีสี่นี่จะหาอะไรทำแก้เบื่อดีนะ ว่าแล้วสายตาฉันก็เหลือบไปเห็นตลับเทปของวง x’s-Q ที่หลายวันก่อนบัสเอามาให้ เขาบอกว่าสักวันฉันคงต้องการมัน ฉันเดินเข้าไปหามันแล้วหยิบมันขึ้นมาดู มองไล่ตั้งแต่ชื่ออัลบั้มตัวเบ้อเริ่มสีน้ำเงิน ชื่อวงตัวเล็กๆ ที่แม้จะเล็กแต่ก็สะดุดตามากเหลือเกิน ฉันไล่สายตาต่ำลงมาที่ใครคนหนึ่ง ท่านั่งสบายๆ ของเขา รอยยิ้มน่ารักที่ติดตาตรึงใจฉันจนถึงวินาทีนี้ ทำให้น้ำตาเม็ดแรกหยดแหมะโดนหน้าเขาอย่างจัง ฉันรีบปาดมันออก แล้วเช็ดๆๆ ให้สะอาด ก่อนจะจ้องมองใบหน้าของเขาอีกครั้งด้วยความคิดถึง

    “พี่บริงค์...” ทันทีที่ฉันอ้าปากครางเรียกชื่อเขาอย่างโหยหา ลมหายใจก็ติดขัดขึ้นมาทันที เสียงสะอื้นฮักๆ ที่ฉันพยายามแล้วว่าจะไม่ร้องไห้ ฉันไม่อยากให้เขารู้ว่าฉันอ่อนแอแค่ไหน ฮือๆ พี่บริงค์ เราคิดถึงพี่ คิดถึงที่สุดเลย ฮึกๆ เมื่อไหร่เราจะได้เจอกันอีก พี่บริงค์ ฮือๆๆ




    
    เช้า...

    แม่ขึ้นมาปลุกฉันให้ลงไปใส่บาตร ฉันที่ตื่นนานแล้วจึงลงไปอย่างรวดเร็วในสายตาแม่

    “อ้าว ล้างหน้าแล้วเหรอนิกิม ทำไมเร็วจัง” แม่ที่กำลังเตรียมของอยู่หน้าบ้านหันมาถามฉันพลางจัดของบนโต๊ะให้เป็นระเบียบ

    “หนูตื่นนานแล้วล่ะแม่ มันนอนไม่หลับ”

    “หืม?” แม่ที่จัดของอะไรเรียบร้อยแล้วหันมามองฉันแล้วขมวดคิ้ว ก่อนจะเดินเข้ามาหาแล้วลูบหน้าฉันอย่างเบามือ

    “ทำไมตาบวมอย่างนี้ล่ะลูก ร้องไห้อีกแล้วใช่มั้ย” แม่เอ็ดนิดๆ

    “...” แต่ฉันเลือกที่จะเงียบ เพราะปฏิเสธไม่ออก แม่จ้องหน้าฉัน ส่วนฉันก็รีบหลบตาแม่ เสมองไปทางอื่น แต่แม่ก็จับหน้าฉันให้หันมาเผชิญหน้ากันตรงๆ

    “นิกิม หนูรักใคร? หนูบอกแม่หน่อยได้มั้ย หลายวันนี้แม่...ไม่สิ ทุกคนที่รักหนูรวมทั้งบัส พวกเราห่วงหนูมากนะ วันๆ หนูเอาแต่ร้องไห้แทบจะขาดใจ ถามเท่าไหร่ก็ไม่ตอบ พร่ำเพ้อคิดถึงใครคนนั้นจนแม่คิดว่าหนูบ้าแล้วนะลูก นิกิม...หนูมีอะไรบอกแม่สิ อย่าเอาแต่ร้องไห้เป็นคนบ้าแบบนี้ ไม่เอานะ” แม่ร่ายยาวจนฉันแทบอยากจะเป็นคนบ้าอีกครั้ง

    “อ่ะ พระมาแล้ว หยุดร้องไห้ซะแล้วมาใส่บาตรกับแม่ พ่อ! พระมาแล้ว” ประโยคหลังแม่ตะโกนเรียกพ่อที่คงเข้าห้องน้ำอยู่กระมัง

    “จ้าๆๆ มาแล้วๆ” เสียงพ่อดังแว่วออกมาจากในบ้าน ไม่นานพ่อก็วิ่งออกมารวมกับเราสองคน พอดีกับที่พระเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน แล้วเราก็ใส่บาตรกันด้วยอาการสงบ





    พวกเรากรวดน้ำเสร็จแม่ก็ให้ฉันไปรอที่โต๊ะม้าหินหน้าบ้าน รอจนแม่เดินออกมาหลังจากเก็บข้าวของเสร็จ ฉันยิ้มบางๆ ให้แม่เมื่อแม่ส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ฉันพร้อมกับนั่งลง

    “ไง บอกแม่มาซิยัยลูกบ้า เป็นอะไรฮึ?” แม่ยิ้มๆ ฉันจึงยิ้มแห้งตอบกลับไป

    “เปล่าจ้ะ” เสียงเบาหวิวของตัวเองที่ตอบกลับไป มันเบามากอย่างกับกระซิบ แม่ขมวดคิ้ว

    “อะไรเปล่า ไม่ต้องมาโกหกเลยนะนิกิม บอกแม่มา ว่าทุกวันนี้ที่หนูร้องไห้ หนูร้องไห้เรื่องอะไร?” ใจจริงฉันเองก็อยากจะตอบแม่ อยากตอบทุกคนเสียด้วยซ้ำ! แต่ใครล่ะ ใครจะเชื่อในสิ่งที่ฉันพูด ถึงเป็นแม่ก็เถอะ แม่ไม่มีทางเชื่อเรื่องพรรค์นี้แน่ๆ เพราะแม่เป็นคนไม่งมงาย อาจจะเพ้อฝันไปบ้างแต่แม่ก็ไม่ค่อยเชื่อในเรื่องพวกนี้ ฉันเดาคำตอบได้เลยว่าแม่จะต้องว่าฉันว่า “อ่านนิยายมากไปแล้วนะนิกิม”  
  
    “ไม่จำเป็นต้องตอบหรอกแม่ หนูคงอ่านนิยายมากไปน่ะ” ฉันตอบเสียงเรียบ แต่แม่ก็ไม่ยอมแพ้หยุดแค่นั้น

    “ตัดบทง่ายไปและ เอาเถอะน่า...บอกแม่มา ตอนนี้หนูพูดอะไรแม่เชื่อหมด เพราะคงไม่มีนิยายเรื่องไหนที่ทำให้คนอ่านเขาอินได้ขนาดนั่งร้องไห้ทุกวี่ทุกวันหรอกนะ”

    “เหอะๆ ช่างมันเถอะแม่ หนูขอไปซื้อขนมหน้าปากซอยก่อนนะ” ฉันลุกขึ้นยืน แต่แม่ก็คว้ามือฉันไว้แล้วฉุดให้นั่งลงอย่างเก่า

    “จะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น นิกิมต้องบอกแม่มาก่อน ถ้าไม่บอก เราตัดแม่ตัดลูกกัน” น้ำเสียงเด็ดขาดทำเอาฉันใจหายวาบ ทำไม...ทำไมแม่พูดแรงอย่างนั้นล่ะ

    “แม่...”

    “ไม่ต้องมาเรียกแม่ว่าแม่ ถ้านิกิมไม่ยอมบอกมาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวหนู” สายตาดุๆ จ้องฉันจนต้องหลุบตาลงมองเท้าตัวเองด้วยไม่กล้าสบตาแม่

    “แม่...แม่จะเชื่อหนูจริงๆ เหรอ? แม่...แม่จะไม่หาว่าหนูบ้านิยายใช่มั้ย?” ฉันเหลือบตามองแม่อย่างคาดหวังว่าจะได้รับการตกลง และแม่ก็พยักหน้าช้าๆ ทำให้ฉันต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะบอกแม่ไปทุกอย่าง เล่าเรื่องราวเกือบทุกอย่างที่ฉันเจอตั้งแต่ที่ซื้อเตียงนี้มา หลายครั้งที่แม่เบิกตากว้างแล้วเกือบจะต่อว่าฉันอย่างลืมตัว แต่ก็ห้ามใจไว้ทันเพราะอยากฟังฉันเล่าต่อ พอเล่าจบ แม่ก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม ฉันเข้าใจล่ะว่าแม่รู้สึกยังไง คงงง สับสน ว่าจะเชื่อฉันดีมั้ย? หึๆ ยาก ยากที่ใครจะเชื่อฉันได้เลยสักคน

    “เอาล่ะ ไหนๆ หนูก็เล่าให้ฟังจนหมดเปลือกแล้ว งั้นหนูขอตัวนะ” ฉันลุกขึ้นแล้วรีบเดินออกไปจากบ้านทันที แม่ไม่รั้งฉันไว้เหมือนคราวแรก แม่เงียบไปตั้งแต่ที่ฉันเล่าจบ ฉันเดินเอื่อยๆ ไปตามริมรั้วนอกบ้านตัวเองอย่างเหม่อลอย พลางถอนหายใจออกมา แล้วคิดถึงใบหน้าคนที่ฉันรักมากที่สุดรองจากพ่อแม่ เฮ้อ...ป่านนี้พี่บริงค์จะทำอะไรอยู่นะ อยากรู้จัง

    ปิ๊นๆๆ

    “เฮ้ นิกิมมม”

    “หืม?” ฉันหันไปข้างหลัง แล้วก็พบบัสที่ยิ้มแฉ่งมาแต่ไกลพลางปั่นจักรยานคู่ใจมาด้วย เขาปั่นๆๆ แล้วจอดลงข้างๆ ฉัน

    “จะไปไหนเหรอ?”

    “ไม่รู้อ่ะ ไม่มีจุดหมาย” ฉันเบะปากแล้วมองเท้าตัวเองที่เตะฝุ่นไปอย่างนั้น

    “งั้นเอาอย่างนี้มะ เดี๋ยวฉันพาร่อนเอง ^^”

    “ร่อน?”

    “อื้ม ไปสวนสาธารณะกัน ที่นั่นสงบดีนะ และอากาศก็สดชื่นมากด้วย”

    “อืม แล้วแต่เถอะ ตามใจนายเลยบัส” ฉันยิ้มแห้งๆ

    “งั้นก็ขึ้นมาสิ ^^” บัสยิ้มตาหยี ฉันจึงทำตามคำสั่งนั้นอย่างว่าง่าย แล้วจักรยานคู่ใจของเขาก็พาเราสองคนตะลอนออกจากซอยนี้ไปอย่างเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน
    




    บัสจอดรถจักรยานลงใกล้ๆ กับต้นไม้ต้นใหญ่ที่ใบเขียวชอุ่มดูสดชื่น ฉันมองไปรอบตัวด้วยความตื่นเต้น เพราะไม่เคยมาที่นี่เลยสักครั้ง ครั้งนี้ครั้งแรกที่ได้มาเหยียบสวนสาธารณะที่อยู่ไม่ไกลจากซอยเรานี้ ฉันคลี่ยิ้มบางๆ เมื่อเห็นคู่รักคุณปู่คุณย่ากำลังเดินจูงมือกันไปนั่งที่ม้านั่งริมสระน้ำ ท่านสองคนดูรักกันดีเนอะ พลันภาพของพี่บริงค์ก็ลอยเข้ามาในหัวสมองของฉัน ฉันเผลอมองคุณปู่เป็นพี่บริงค์ และคุณย่าที่กลายเป็นฉันแทน พี่บริงค์กำลังป้อนน้ำให้ฉัน ฉันก็ยื่นหน้าไปดูดน้ำในขวดพลางยิ้มให้เขา พี่บริงค์...

    “นิกิม”

    “ฮึ หะ...หา อะไรเหรอ?” ฉันสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากคนข้างๆ

    “ฮื่อ เธอนี่ประจำเลย เหม่ออีกแล้ว”

    “ขอโทษ”

    “ช่างมันเถอะ ขอท่งขอโษอะไรกัน ^^ ป่ะ เราไปนั่งตรงโน้นกันดีกว่า” บัสชี้ไปที่เก้าอี้ม้านั่งถัดจากของคุณปู่คุณย่าไปสองสามตัว

    “อืม” ฉันพยักหน้าเนือยๆ บัสยิ้มอ่อนโยนมาให้ฉันเหมือนเคยก่อนจะจูงมือฉันให้เดินไปตรงนั้นด้วยกัน ฉันเผลอมองมืออุ่นๆ ของเขาที่กุมไว้หลวมๆ พลางคิดถึงความอบอุ่นจากมือพี่บริงค์ที่เคยกุมมือฉันไว้แบบนี้เหมือนกัน

    ...พี่บริงค์ ฉันอยากเจอพี่...อีกสักครั้ง

    เราสองคนนั่งลงข้างๆ กัน และต่างก็เงียบไปทั้งคู่ ฉันทอดสายตามองไปยังผืนน้ำสงบนิ่งในสระ ที่มีแสงอาทิตย์ตกกระทบจนเกิดแสงระยิบระยับแพรวพราว ลมเย็นเบาๆ พัดโชยถูกตัวฉันจนต้องกระชับมือที่กุมกันไว้บนตักแน่น

    “ใกล้จะฤดูหนาวแล้วเนอะ”

    “ฮึ? อื้ม” ฉันเลิกคิ้วที่จู่ๆ บัสก็พูดขึ้นมาลอยๆ ก่อนจะพยักหน้าแล้วหันกลับไปมองผืนน้ำกระเพื่อมน้อยๆ เพราะปลาในสระอีกครั้ง

    “เธอดูเปลี่ยนไปมากเลยนะ มีเรื่องทุกข์ใจอะไรรึเปล่า” น้ำเสียงกังวลที่แฝงไปด้วยความห่วงใยทำให้ฉันหันกลับไปมองเขาแล้วฝืนยิ้มแห้งๆ ออกไปอีกครั้ง

    “ฉันดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ” ฉันพูดเสียงกลั้วหัวเราะ บัสหน้าเจื่อนไปเลย

    “เอ่อ มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แค่ฉันอยากให้นิกิมคนเดิมกลับมาซะทีน่ะ” บัสพูดเสียงเบาหวิวแล้วก้มหน้าลงมองต่ำ ฉันขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนจะคลายปมออกเมื่อรู้ว่าเขากำลังทุกข์ใจไม่น้อย...เพราะฉัน

    แปะ

    “หืม?” ฉันวางมือลงบนบ่าเขา ทำให้เจ้าตัวสะดุ้งเล็กน้อย แล้วเงยหน้าขึ้นมองฉันงงๆ

    “ขอบใจมากนะที่เป็นห่วงฉัน ^^ แต่ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ เชื่อสิ” ฉันไม่อยากให้ใครต้องมาทุกข์ใจเพราะฉันอีกแล้วล่ะ ทั้งแม่ พ่อ และบัส รวมทั้งพี่บริงค์ ฉันคิดว่าคงไม่มีใครอยากเห็นฉันตกอยู่ในสภาพแบบนี้หรอก ฉันจะเข้มแข็ง ฉันจะต้องโตเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว ถึงมันจะเร็วไปสำหรับตัวฉัน แต่ฉันก็เด็ดเดี่ยวพอที่จะไม่อ่อนแออีก

    “นิกิม...”

    “หึๆ ^^” ฉันหัวเราะในลำคอกับสีหน้าแบบนั้นของคนตรงหน้า ตอนแรกบัสทำหน้าแบบไม่อยากจะเชื่อเสียเท่าไหร่ แต่เขาก็ค่อยๆ คลายยิ้มออกมาแล้วพยักหน้า

    “อืม ก็ขอให้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เถอะ” บัสถือวิสาสะขยี้ผมฉันเล่น ฉันได้แต่หัวเราะไปกับเขาพลางคิดถึงการกระทำนี้ที่อีกคนชอบทำเวลามันเขี้ยวฉัน

    พี่บริงค์...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่