ความสูยเสียที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดกับตัวเองในชีวิตนี้

สวัสดีคะ สมาชิกห้องชานเรือนทุกท่าน

วันนี้ดิชั้นขอมาแชร์ประสบการณ์ พร้อมทั้งขอความเห็นจากเพื่อนๆสมาชิกในห้องนี้ เกี่ยวกับการที่ดิชั้นจะต้องสูญเสียลูกชายคนที่ 2 ทั้งที่เพิ่งคลอดได้แค่ 8 วัน โดยคุณหมอระบุสาเหตุการเสียชีวิตว่ามาจากการติดเชื้อรุนแรงในปอด แต่!!! ไม่สามารถระบุได้ว่าติดเชื้อตั้งแต่ตอนไหน???

ดิชั้นขอเริ่มตั้งแต่การฝากครรภ์นะคะ พอดิชั้นทราบว่าตัวเองตั้งครรภ์ตามที่ตั้งใจไว้ ก็ตัดสินใจเลือกฝากครรภ์กับคุณหมอท่านเดิม รพ เดิม ที่ทำคลอดลูกสาวคนแรก รพ นี้เป็น รพ เอกชนชื่อดัง ตั้งอยู่ที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี คะ ตลอดระยะเวลาการฝากครรภ์ คุณหมอแจ้งว่าน้องปกติทุกอย่าง ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ มีการเจาะน้ำคร่ำตอนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ มีการเทสเบาหวาน มีการตรวจความสมบูรณ์ของทารกในครรภ์แบบพิเศษ เรียกได้ว่ามีการตรวจเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเป็นอันตรายกับน้องแทบจะทุกอย่างที่หมอแนะนำคะ ค่าใช้จ่าย รพ นี้ก็ไม่ได้ถูกเลยเพราะเป็น รพ เอกชน แต่ดิชั้นก็ยอมจ่ายเพื่อความปลอดภัยของลูก กำหนดผ่าคลอดของดิชั้นคือวันที่ 17 กค 58 ที่ผ่านมา ก่อนถึงกำหนดผ่าคลอด 1 สัปดาห์ คุณหมอนัดตรวจครรภ์ปกติ และแจ้งว่าน้องปกติ สมบูรณ์ทุกอย่าง ให้ทำใจให้สบาย เตรียมตัวคลอดในวันที่ 17 ได้เลย (ผ่าคลอดตอน 38w 5d)

พอถึงกำหนดคลอด ดิชั้นมาแอดมิดที่ รพ ตั้งแต่คืนวันที่ 16 กค 58 เพราะวันที่ 17 ดิชั้นมีนัดผ่าตัดคลอดแต่เช้า ทุกอย่างดำเนินตามขั้นตอนปกติ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่เข็นดิชั้นเข้าห้องผ่าตัดเพื่อเตรียมผ่าตัดคลอด หมอวิสัญญี ได้ฉีดยาบล๊อคหลังให้กับดิชั้น จากนั้นไม่นานคุณหมอก็เริ่มทำการผ่าตัด แต่!!! ดิชั้นรู้สึกเจ็บมากก เจ็บจนทนไม่ไหว วิสัญญีแพทย์จึงทำการฉีดยานอนหลับเข้าทางสายน้ำเกลือให้กับดิชั้น หลังจากนั้น ดิชั้นก็ไม่รุสึกตัวอีกเลย จนกระทั่ง คุณหมอทำการกดบริเวณหน้าท้อง ซึ่งมันเจ็บมากๆๆๆ ทำให้ดิชั้นรุสึกตัวตื่นขึ้นมา ไม่ได้ยินเสียงลูกร้อง ไม่ได้เห็นหน้าลูกเลย

จากนั้น ดิชั้นก็ต้องนอนพักฟื้นในห้องพักฟื้นก่อนขึ้นห้องพักประมาณ 30 นาที พอขึ้นไปบนห้องพักสามีก็เอารูปน้องให้ดู น้องตัวโต นน 3,455 กรัม ดูสมบูรณ์ทุกอย่าง แต่แล้วสัญญาณร้ายก็เริ่มขึ้นเมื่อมีโทรศัพท์จากห้องเนอสเซอรี่แจ้งให้สามีลงไปดูน้องเพราะน้องหายใจผิดปกติ (หายใจ 80 ครั้ง/นาที เด็กทั่วไปควรหายใจ 60 ครั้ง/นาที) ช่วงแรกคุณหมอสันนิษฐาน 2 กรณีคือ 1. เด็กเอาน้ำออกจากปอดไม่หมด ใช้เวลาปรับตัวสักพัก ก็จะหายเป็นปกติ 2. ภาวะปอดติดเชื้อ อาจจะต้องให้ยาฆ่าเชื้อ 7 วัน แล้วกลับบ้าน ดิชั้นก็ภาวนาให้น้องเป็นเคสแรก อย่าได้เป็นอะไรมาก

ผ่านมาวันที่ 2 อาการน้องไม่ดีขึ้น หมอสรุปว่าน้องปอดติดเชื้อ ต้องให้ยาฆ่าเชื้อแล้วดูอาการอย่างใกล้ชิด ช่วงเย็นวันที่ 2 น้องอาการทรุด หายใจเองไม่ได้ ออกซิเจนตกมาก ตัวซีดเหลืองไปหมด ดิชั้นเข้าไปเห็นภาพนั้นพอดี มันติดตาจนถึงทุกวันนี้ คุณหมอต้องรีบให้การช่วยเหลือโดยการใส่เครื่องช่วยหายใจ และให้ยากระตุ้นปอด และยาอื่นๆ อีกหลายตัว วันที่ 3 ปอดน้องเริ่มมีลมรั่ว ต้องเจาะช่องท้องเพื่อระบายลมออก อาการน้องดูไม่ดีขึ้นเลย ดิชั้นกับสามีได้แต่เฝ้าถามคุณหมอว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่คุณหมอก็ตอบมาคำตอบเดียวคือหมอก็ไม่ทราบว่าเกิดการติดเชื้อจากตรงไหน วันที่ 4 5 6 อาการน้องยังทรงๆ คงที่ไม่ได้ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้แย่ลง คุณหมอเห็นว่าค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงแล้ว จึงเสนอให้ดิชั้นย้ายน้องไปรักษาที่ รพ รัฐ แห่งหนึ่งใน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งมีเตียงว่างพอดี สามารถย้ายน้องได้ภายในคืนวันที่ 6 เวลา 22.00 ซึ่งการย้ายน้องเป็นไปด้วยดี แต่การเงินของ รพ เอกชนดังกล่าวพยายามติดต่อดิชั้นและสามีตลอดเวลาเรื่องค่าใช้จ่าย โดยให้ดิชั้นและสามีเข้าไปชำระค่ารักษาพยาบาลบางส่วน และให้เซ็นต์รับสภาพหนี้สำหรับค่ารักษาพยาบาลส่วนที่เหลือในเวลาตีหนึ่ง!! ย้ำว่าตีหนึ่ง

วันที่ 7 ของการรักษาน้องอาการไม่ดีเลย ทรุดลงไปเรื่อยๆ คุณหมอเริ่มบอกให้เราทำใจ เพราะน้องไม่ไหวแล้ว และแล้วน้องก็มาเสียในวันที่ 8 ของการรักษาหรือวันที่ 25 กค 58 ที่ รพ.รัฐ ที่เราย้ายน้องมา ดิชั้นและครอบครัวเสียใจมาก เพราะน้องคือความหวังของครอบครัวเรา ดิชั้นกับสามีตั้งใจจะมีลูก 2 คน แล้วเราก็ได้ครบ ผญ 1 ผช 1 ดังนั้น ดิชั้นจึงได้ทำหมันไปพร้อมกับการผ่าคลอดครั้งนี้ ซึ่งมันทำให้ดิชั้นยิ่งเสียใจมากขึ้นอีกเพราะโอกาสท้องอีกครั้งต้องมีขั้นตอนและค่าใช้จ่ายอีกมาก แต่ทั้งนี้ ครอบครัวดิชั้นก็ยังติดใจสงสัยในหลายๆเรื่องที่ รพ ก็ยังไม่สามารถตอบได้ชัดเจน ดังต่อไปนี้
1. ตอนน้องคลอดแพทย์เด็กในห้องคลอดได้ประเมิน APGAR SCORE น้องได้ 10 แปลว่าน้องสมบูรณ์ แข็งแรง ไม่มีภาวะผิดปกติใดๆ แล้วทำไมน้องถึงมีอาการปอดติดเชื้อรุนแรงจนถึงเสียชีวิตได้ ==> แพทย์ไม่ทราบชัดเจน ตอบญาติ แม่ พ่อ ไม่ได้ ถ้าหากเด็กติดเชื้อตั้งแต่ในครรภ์ จะต้องมีภาวะผิดปกติที่สามารถสังเกตุเห็นได้เช่น มีน้ำเดินก่อนกำหนด ตกขาวมีสี มีกลิ่นผิดปกติ เป็นต้น แต่ดิชั้นไม่มีอาการดังกล่าวเลย
2. การเปลี่ยนยาขณะทำการผ่าตัดคลอด ได้ประเมินความเสี่ยง พร้อมทั้งได้เตรียมอุปกรณ์ช่วยชีวิต ตามที่ควรจะมีไว้หรือไม่ แล้วทำไมบล๊อคหลังไม่สำเร็จ ==> ทาง รพ แจ้งว่ามีการเปลี่ยนยาลอตใหม่ซึ่งมีคนไข้ที่ผ่าตัดคลอดมีอาการเดียวกันถึง 3 ราย

ดิชั้นจึงอยากจะขอความเห็นจากเพื่อนๆ ว่ากรณีแบบนี้ ดิชั้นเรียกร้องอะไรจาก รพ ได้บ้าง เพราะลูกชายดิชั้นสมบูรณ์ทุกอย่าง แต่ต้องมาเสียชีวิตโดยที่แพทย์ก็ไม่สามารถระบุสาเหตุการติดเชื้อได้ อีกทั้ง ยังทำหมันอีก จะแก้หมันที่ไหน ค่าใช้จ่ายใครจะรับผิดชอบ เสียใจที่สุด!!!
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่