ปีนัง เคยได้ยินชื่อนี้มานานสมัยเด็กๆ รุ่น 30 ขึ้นคงได้ยิน เหมือนที่เราเคยได้ยิน สมัยก่อนคนมีเงินจะส่งลูก หลานไปเรียนที่นั่น เพื่อจะได้ภาษา ในการสื่อสาร ละครหลายๆ เรื่องนางเอกต้องจบการศึกษา จากปีนัง
ปีนัง หาข้อมูลมาหลายครั้งและคิดว่า อยากไปมาก จะมีโอกาสไหมนะ... แล้วโอกาสนั้นก็มาถึง เมื่อจับได้ตั๋วราคาถูก ความฝันก็เกิดขึ้น ใกล้วันเดินทาง เพื่อนที่จะไปด้วย ก็ยกเลิก เนื่องจากติดสอบ เลยมาโพสหาเพื่อนร่วมเดินทางในพันทิพ
ก็ได้เพื่อนร่วมทริป ที่ต้องการไปเหมือนกัน
เราเดินทางวันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม ไปขึ้นเครื่องที่ดอนเมืองไปลงที่หาดใหญ่ เพื่อจะไปนั่งรถตู้ต่อ มีคนถามว่า ทำไมไม่บินตรง...คำตอบเดียว คือ ประหยัด ฮะ 5 5
หลังจากเครื่องลงถึงสนามบินหาดใหญ่แล้ว ฝนตก ต้อนรับเราเป็นอย่างดี เราเดินกางร่ม พร้อมกระเป๋าใบย่อม ไปขึ้นรถสองแถวหน้าสนามบิน ขึ้นรถสองแถวมาลงหน้าตลาดกิมหยง แล้วเดินย้อนกลับมาทางธนาคารธนชาต มีคิวรถตู้ไปปีนังอยู่ เราจองตั๋วสำหรับเดินทางไปปีนังมาแล้ว ไปถึงก็แจ้งชื่อ แล้วนั่งรอรถออก เราได้รอบเวลา 12.30 น.
นั่งรถออกจากหาดใหญ่ ไปปีนัง ผ่านด่านออกมา ใช้เวลาในการเดินทางถึงปีนัง ประมาณ 3 ชั่วโมง แดดเปรี้ยงตลอดทาง เส้นทางดีตลอด รถตู้ขับนิ่ม แอร์เย็นเฉียบ หลับมาตลอดทาง
พอใกล้ถึงปีนัง เนื่องด้วยปีนังเป็นเกาะ เราต้องข้ามสะพาน ชื่อไรไม่แน่ใจ
คนขับบอกว่า สะพานเหมือนสะพานแขวนบ้านเรา ตื่นตา ตื่นใจมาก
พอข้ามสะพานเสร็จ เราก็ถึงปีนังแล้วววววว รถตู้พาเข้าเส้น Love Lane เนื่องจากเส้นนั้นมีที่พักเยอะแยะมากมาย ไม่ต้องกลัวเลยว่า จะไม่มีที่พัก เพราะมันเยอะมากกกกกกกกก เดินหาได้เลย เส้น Love Lane ทั้งเส้น จะมีแต่ที่พัก อารมณ์เหมือนข้าวสารบ้านเรา ฝรั่ง นักท่องเที่ยวเยอะมาก
เราเลือกที่พักแถว Little India เป็นที่พักใหม่ ชื่อ Chulia Racks ตรงข้ามร้านอาหารอินเดียวชื่อ Mutafa เราเลือกห้องพักเป็น Dorm เป็นผู้หญิงล้วน ห้องน้ำรวม สะอาด ใหม่ โอเค แอร์เย็นมาก จนหนาวกันเลยทีเดียว เจ้าของเป็นคนจีน ใจดี เพราะเราไม่เอาผ้าเช็ดตัวไป ไปขอ เขาไม่มีให้ พอเราออกไปกินข้าวกลับมา เขายื่นให้ เราถาม
“For Free” เขาตอบ
“yes” ไม่ฟรี กรู..ไม่เอาค่ะ 5 55 ( งก )
วันแรก หลังจากเก็บของเสร็จแล้ว มาเจอน้องคนไทยที่นั่งรถตู้มาด้วยกัน เราพากันนั่งรถเมล์ สาย 101 ไปห้าง Plaza Gurney ติดทะเล เพื่อหาของกินกัน เรียกว่า GURNEY DRIVE อารมณ์เหมือนโต้รุ่งบ้านเรา
ใครๆ ก็ว่ากันว่า มานี่ต้องโดน คือ Laksa รสชาติ
...
ย มากบอกเลย เราว่าคนแนะนำ คงอยากให้กินเพราะมันราคาถูกมั้ง ( อันนี้คิด ส่วนตัวนะ ) แล้วก็ของทอดพวกนี้ รสชาติ ก็เหมือนลูกชิ้นบ้านเรา โค้กกระป๋องพร้อมน้ำแข็ง 1 แก้ว 2.5 RM. Laksa 3.5 RM. กินเสร็จนั่งรถสายเดินกลับ ค่ารถ 1.4 RM. กลับที่พัก นอนค่ะ...
เช้าตื่นขึ้นมา เดินค่ะ เดิน มาที่นี่ ไม่จักรยานก็ต้องเดินนะคะ ตั้งใจจะเช่าจักรยาน แต่หาที่ถูกใจไม่ได้ อาศัยเดินค่ะ จริงๆ ปีนังเป็นเมืองเกาะ มีเส้นทางแบ่งแยกที่ชัดเจน ถ้าดูแผนที่ออกแล้วเดินได้นะ จะง่ายมาก เราบอกเลยว่า เราเดินกันแทบจะทั่วทุกซอยจริงๆ นะ เพราะเราอยู่ 4 คืน 5 วัน เดินกันหายบ้าเลยทีเดียว ฝนตก ก็กางร่ม เดินจ้า เพื่อไม่ให้เสียเวลา ในการมาเที่ยวจริงๆ
วันแรกเดินกันมั่ว งง ไปหมด เพราะตามหารูปแต่ละรูป ดูแผนที่ก็งง อาจต้องเข้า ตรอก ซอก ซอย ในการตามหาภาพในตำนานที่ว่านี้กัน รูปสุดท้าย คือ แมว เราเดินหา เดินผ่านกัน 2-3 วันไม่เจอ วันสุดท้ายก่อนกลับ เราตั้งใจว่า เราจะต้องตามหาภาพนี้ให้ได้ 555 แล้วเราก็เจอ สมดังตั้งใจ เดินกันดำไปเลยทีเดียว แดดแรงมาก พกครีมกันแดดมาด้วยนะคะ
วันที่ 2 เราตั้งใจจะไปวัดไทย ในปีนัง ชื่อ
วัดไชยมังคลาราม พอดีมีน้องที่รู้จัก เคยทำงานด้วยกัน ย้ายไปทำงานที่นั่น น้องเลยมารับไปกินอาหารเช้า ร้านนี้ ชื่อร้านไร ไม่รู้ แต่น้องบอกว่า มาก็ต้องโดนอีกเหมือนกัน ถ้าเป็นบ้านเราคงเฉยๆ เรามีร้านประจำอยู่ร้านหนึ่ง ที่ขายขนมปังปิ้งแบบนี้ คือ ร้านลักนมสด แถวถนนข้าวสาร เราว่าของเฮียอร่อยกว่านะ หรือเพราะถูกปากไม่รู้ เซ็ทนี้ ราคา 7 RM. ที่คนนิยมและต่อแถวกันเป็นเก้าอี้ดนตรีเพราะ ร้านเขามีการปิ้งขนมปัง โดยเตาถ่าน คงมีกลิ่นและแปลกของเขามั้ง ขนมปังรสชาติไม่หวาน แต่มัน เป็นเนยกับอะไรทา สักอย่าง น้องบอกว่า เป็นสังขยา แล้วก็มีกาแฟผสมชา ที่นั่นเรียกว่า
Cham Peng รสชาติ ส่วนตัวก็เหมือนกาแฟทั่วไป แต่อาจได้กลิ่นของชาหน่อย แต่ไข่ลวกอร่อย เพราะน้ำซอสเขาจะออกหวานหน่อย ถ้าเป็นของแขกจะเค็ม
แต่เรา Confirm เลยว่า ชาที่โน้นอร่อยมาก เราชอบกินชานะ ส่วนตัว เราว่าชา กาแฟที่เป็นของแขก รสชาติจะดี เข้ม หอม แบบแขก แต่ก็บางร้านนะ ร้านที่เราแนะนำ เราแนะนำร้านตรง Little India เราไปฝากท้องที่นั่นหลายวัน เพราะชอบรสชาติของกาแฟและชาที่นั่น ดูภาพได้เลย ร้านจะติดถนนหน้าที่รับแลกเงิน
หลังจากเสร็จจากอาหารเช้าแล้ว เราไปต่อกันที่วัดไชยมังคลาราม วัดไทยกับวัดพม่าจะอยู่ตรงข้ามกันเลย ในวัดไชยมังคลาราม จะมีพระนอนให้เราได้กราบ ไหว้ สักการะกัน ภายในวัดพื้นที่ไม่เยอะ คนจีนพุทธ จะไปไหว้พระกันที่นั่น ประชากรส่วนมากของปีนัง คือ จีนและแขก อย่างละครึ่งๆ ไหว้พระไทยเสร็จแล้ว ข้ามมาวัดพม่าต่อ วัดพม่า สวยงามอ่อนช้อย ละเอียดดี ถ้าใครไปพม่ามาแล้ว จะเห็นถึงความศรัทธาในพุทธศาสนาของเขามาก
เวลาจอดรถที่ปีนัง เขาจะเอาไอ้นี่วางไว้หน้ารถกันนะ ตอนแรกก็สงสัย มันคืออะไรนะ เป็นโพยซื้อหวย เหมือนสิงคโปร์อ่ะป่าว 55 แต่มันคือ การแสดงว่าเรามีสิทธิ์จอดรถ ประมาณนั้น รถมาร์ชบ้านเขาน่ารักกว่าของเราอีกเนอะ แปลก
หลังจากไหว้พระเสร็จแล้วก็ออกมาไปขึ้นรถหน้า ห้าง Gurney Plaza เพื่อจะไปบาตูโฟริงกิต (Batu Ferringhi) นั่งรถสาย 101 ค่ารถจากตรงนั้น 2 RM. อารมณ์เหมือน พัทยา บ้านเรา อากาศร้อนมากกกกก ถึงร้อนที่สุด มีคนลงเล่นน้ำด้วยนะ ตอนแดดเปรี้ยง ตอนบ่ายโมง โอ๊ววววววว ฉันกลัวววววววว
อยู่ได้ไม่ถึง ชั่วโมง นั่งรถกลับ สู้แดดไม่ไหว ตอนกลับก็นั่งสาย 101 กลับ บอกจะไปลง Love Lane ค่ารถอยู่ที่ 2.7 RM. นั่งกลับมา เส้นทางจะเป็นเหมือนขึ้นเขา วิวด้านข้างจะเป็นทะเลไปตลอดทาง คนที่อาศัยอยู่แถบนั้นคงรวยมาก เพราะเป็นบ้านและตึก คอนโดด้านหน้าจะเห็นเป็นทะเล มันคง โรแมนติกมากเนอะ (โหมด..มโน)
กลับมาถึง Love Lane ฝนตก เดินกลับที่พัก ไปนั่งรอฝนหยุด แต่ถ้าจะยาว เลยเดินกางร่มออกมาหาอะไรดู เดินเข้าไป Little India เดินดูไปเรื่อยเปื่อย ก็จะเจอภาพ เจอเหล็กดัด อีกหลายรูป ก็เก็บภาพไปเรื่อยๆ เดินกันแทบขาจะหลุด 555 เจอร้านนั่งเล่น ร้านชิลล์ ร้านเหล้าเยอะมาก บนถนน Love Lane แหม่...พลี่นี่ น้ำลายไหลเยิ้มมาก แต่เนื่องด้วยอยู่ในช่วงเข้าพรรษา ไม่งั้นบอกเลย หมี่เหลือง (มีเรื่อง) เดินกันจนดึกดื่น ก็กลับที่พัก นอนสลบค่ะ คืนนั้น หลับเป็นตาย
วันที่ 3 ตื่นสายมาก เพราะเราเดินกันเยอะมากเมื่อวาน หาทุกรูปเกือบครบ วันนี้ เราตั้งใจจะไปเก็บรูปบางรูปที่ยังไม่ครบ เราไป Fifty Fifty Art Gallery เห็นเพื่อนบอกว่า ที่นี่ คือ คนที่คิดและเริ่ม ในการวาดภาพ ทั่ว ปีนัง ส่วนตัวเราชอบงาน Art แนวนี้มาก มันดูสนุก สีสัน สวยงามดี วันที่ไป เป็นช่วงเทศกาลงานของเขาพอดี มีเด็ก Skateboard เต็มที่นั่นกันเลยทีเดียว ถ่ายมุมไหนก็ติด อย่างที่บอก ช่วงเรามาฝนตกแรงมาก คนที่รู้จักมาก่อนเรา 1 อาทิตย์ได้ภาพกลับไปแบบสวยงาม เรามาถึงภาพนั้น หน้าได้หายไปแล้ว เพราะฝนตกลงมาหนัก ภาพเลยหลุด....เสียดายที่สุด ใครจะไป รีบๆ ไปนะ ภาพมันจะเลือนหายไปก่อน เราใช้เวลาอยู่ในนั้นนานมาก เพราะดู art ดีภาพมีอะไรให้ดูและมีมุมถ่ายรูปเยอะมาก
ออกจากนั่นแล้ว เราตั้งใจกันว่าจะไปขึ้น
Penang Hill (Bukit Bemdara) เราเดินไปขึ้นรถกันตรง Comta เพราะจะเป็นจุดจอดรถเมล์ของเกือบทุกสาย(มั้ง) เรานั่งสาย 204 ไปราคาอยู่ที่ 2 RM. คนเยอะมาก เพราะเส้นนั้น จะมีย่านชุมชนอยู่ คนก็เลยเยอะ
นั่งไปสักพักก็ถึง ค่าขึ้นรถรางไปข้างบน ราคาอยู่ที่ 30 RM. เราตกลงกับเพื่อนที่ไปว่า
เฮ้ยย เราจะประหยัด เราจะเดินลง เว้ยเฮ้ยยยย ( ด้วยความงก ) แต่ขอโทษนะคะ ตอนไปซื้อตั๋ว คุยกันไม่รู้เรื่อง จับใจความได้ว่า
เฮ้ยยย อย่าเดินลงเลย ซื้อไปกลับเถอะ พรีสส 555 แล้วก็ได้ตั๋วไปกลับมา หลังจากขึ้นไปแล้ว ความเสียวก็เกิดขึ้น คิดไปต่างนานาว่า เฮ้ยยย ถ้าสลิงขาด นี่สภาพจะเป็นไงวะ เสียวมาก เมื่อมองลงมา เราใช้เวลาไต่ขึ้นไปประมาณ 3-5 นาทีได้นะ ตามความคิด พอความสูง ไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ เราก็หันไปพูดกับเพื่อนว่า กรูว่านะ..คิดดีแล้ว ที่
ให้ตั๋วไปกลับ เพราะถ้าเดินลงคืนนี้ ทั้งคืน ก็ไม่ถึง 55 แต่เขามีเส้นทางให้เดินขึ้นมา มีคนมาปั่นจักรยานกันขึ้นด้วยนะ พอขึ้นไป แม้หลายคนจะไม่แนะนำให้ขึ้นมา แต่เราว่า เรางกแล้วนะ เรายังยอมขึ้น เพราะครั้งหนึ่งไปแล้ว ก็ขึ้นเถอะ ข้างบนสวยนะ อากาศดี มองเห็นปีนังทั้งหมด เห็นสะพานที่เราข้ามมาด้วย สวยงาม เหมือนอยู่ยุโรปเลย ประเทศไรนะ ที่เป็นเกาะเหมือนกันแต่ไม่เคยไปนะ 55 มโนเอา... แดดร้อนแต่อากาศดี เย็นดี มีลม
ข้างบน Penang Hill มีที่คล้องกุญแจด้วยนะ เราตั้งใจว่า จะเอากุญแจมาจากเมืองไทยมา แต่ลืม... แต่เอาไปก็ไม่รู้จะคล้องกับใครด้วย จะเขียนชื่อ คนเดียว ก็คงแปลกๆ นะ 5 55 แต่บรรยากาศมุมนั้น สวยโรแมนติกดีนะ มีชาย หญิง มาคล้องด้วยกัน หอมแก้มกัน เล่นเอาคนโสด...อยากจะเดินไปกั้นกลาง ด้วยความอิจฉา 5 5
[CR] Street Art PeNanG ตอน (ตามหา RC มาเล่นกันเถอะ มาเล่นกันเถอะ)
ปีนัง เคยได้ยินชื่อนี้มานานสมัยเด็กๆ รุ่น 30 ขึ้นคงได้ยิน เหมือนที่เราเคยได้ยิน สมัยก่อนคนมีเงินจะส่งลูก หลานไปเรียนที่นั่น เพื่อจะได้ภาษา ในการสื่อสาร ละครหลายๆ เรื่องนางเอกต้องจบการศึกษา จากปีนัง
ปีนัง หาข้อมูลมาหลายครั้งและคิดว่า อยากไปมาก จะมีโอกาสไหมนะ... แล้วโอกาสนั้นก็มาถึง เมื่อจับได้ตั๋วราคาถูก ความฝันก็เกิดขึ้น ใกล้วันเดินทาง เพื่อนที่จะไปด้วย ก็ยกเลิก เนื่องจากติดสอบ เลยมาโพสหาเพื่อนร่วมเดินทางในพันทิพ
ก็ได้เพื่อนร่วมทริป ที่ต้องการไปเหมือนกัน
เราเดินทางวันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม ไปขึ้นเครื่องที่ดอนเมืองไปลงที่หาดใหญ่ เพื่อจะไปนั่งรถตู้ต่อ มีคนถามว่า ทำไมไม่บินตรง...คำตอบเดียว คือ ประหยัด ฮะ 5 5
หลังจากเครื่องลงถึงสนามบินหาดใหญ่แล้ว ฝนตก ต้อนรับเราเป็นอย่างดี เราเดินกางร่ม พร้อมกระเป๋าใบย่อม ไปขึ้นรถสองแถวหน้าสนามบิน ขึ้นรถสองแถวมาลงหน้าตลาดกิมหยง แล้วเดินย้อนกลับมาทางธนาคารธนชาต มีคิวรถตู้ไปปีนังอยู่ เราจองตั๋วสำหรับเดินทางไปปีนังมาแล้ว ไปถึงก็แจ้งชื่อ แล้วนั่งรอรถออก เราได้รอบเวลา 12.30 น.
นั่งรถออกจากหาดใหญ่ ไปปีนัง ผ่านด่านออกมา ใช้เวลาในการเดินทางถึงปีนัง ประมาณ 3 ชั่วโมง แดดเปรี้ยงตลอดทาง เส้นทางดีตลอด รถตู้ขับนิ่ม แอร์เย็นเฉียบ หลับมาตลอดทาง
พอใกล้ถึงปีนัง เนื่องด้วยปีนังเป็นเกาะ เราต้องข้ามสะพาน ชื่อไรไม่แน่ใจ
คนขับบอกว่า สะพานเหมือนสะพานแขวนบ้านเรา ตื่นตา ตื่นใจมาก
พอข้ามสะพานเสร็จ เราก็ถึงปีนังแล้วววววว รถตู้พาเข้าเส้น Love Lane เนื่องจากเส้นนั้นมีที่พักเยอะแยะมากมาย ไม่ต้องกลัวเลยว่า จะไม่มีที่พัก เพราะมันเยอะมากกกกกกกกก เดินหาได้เลย เส้น Love Lane ทั้งเส้น จะมีแต่ที่พัก อารมณ์เหมือนข้าวสารบ้านเรา ฝรั่ง นักท่องเที่ยวเยอะมาก
เราเลือกที่พักแถว Little India เป็นที่พักใหม่ ชื่อ Chulia Racks ตรงข้ามร้านอาหารอินเดียวชื่อ Mutafa เราเลือกห้องพักเป็น Dorm เป็นผู้หญิงล้วน ห้องน้ำรวม สะอาด ใหม่ โอเค แอร์เย็นมาก จนหนาวกันเลยทีเดียว เจ้าของเป็นคนจีน ใจดี เพราะเราไม่เอาผ้าเช็ดตัวไป ไปขอ เขาไม่มีให้ พอเราออกไปกินข้าวกลับมา เขายื่นให้ เราถาม “For Free” เขาตอบ “yes” ไม่ฟรี กรู..ไม่เอาค่ะ 5 55 ( งก )
วันแรก หลังจากเก็บของเสร็จแล้ว มาเจอน้องคนไทยที่นั่งรถตู้มาด้วยกัน เราพากันนั่งรถเมล์ สาย 101 ไปห้าง Plaza Gurney ติดทะเล เพื่อหาของกินกัน เรียกว่า GURNEY DRIVE อารมณ์เหมือนโต้รุ่งบ้านเรา
ใครๆ ก็ว่ากันว่า มานี่ต้องโดน คือ Laksa รสชาติ...ย มากบอกเลย เราว่าคนแนะนำ คงอยากให้กินเพราะมันราคาถูกมั้ง ( อันนี้คิด ส่วนตัวนะ ) แล้วก็ของทอดพวกนี้ รสชาติ ก็เหมือนลูกชิ้นบ้านเรา โค้กกระป๋องพร้อมน้ำแข็ง 1 แก้ว 2.5 RM. Laksa 3.5 RM. กินเสร็จนั่งรถสายเดินกลับ ค่ารถ 1.4 RM. กลับที่พัก นอนค่ะ...
เช้าตื่นขึ้นมา เดินค่ะ เดิน มาที่นี่ ไม่จักรยานก็ต้องเดินนะคะ ตั้งใจจะเช่าจักรยาน แต่หาที่ถูกใจไม่ได้ อาศัยเดินค่ะ จริงๆ ปีนังเป็นเมืองเกาะ มีเส้นทางแบ่งแยกที่ชัดเจน ถ้าดูแผนที่ออกแล้วเดินได้นะ จะง่ายมาก เราบอกเลยว่า เราเดินกันแทบจะทั่วทุกซอยจริงๆ นะ เพราะเราอยู่ 4 คืน 5 วัน เดินกันหายบ้าเลยทีเดียว ฝนตก ก็กางร่ม เดินจ้า เพื่อไม่ให้เสียเวลา ในการมาเที่ยวจริงๆ
วันแรกเดินกันมั่ว งง ไปหมด เพราะตามหารูปแต่ละรูป ดูแผนที่ก็งง อาจต้องเข้า ตรอก ซอก ซอย ในการตามหาภาพในตำนานที่ว่านี้กัน รูปสุดท้าย คือ แมว เราเดินหา เดินผ่านกัน 2-3 วันไม่เจอ วันสุดท้ายก่อนกลับ เราตั้งใจว่า เราจะต้องตามหาภาพนี้ให้ได้ 555 แล้วเราก็เจอ สมดังตั้งใจ เดินกันดำไปเลยทีเดียว แดดแรงมาก พกครีมกันแดดมาด้วยนะคะ
วันที่ 2 เราตั้งใจจะไปวัดไทย ในปีนัง ชื่อ วัดไชยมังคลาราม พอดีมีน้องที่รู้จัก เคยทำงานด้วยกัน ย้ายไปทำงานที่นั่น น้องเลยมารับไปกินอาหารเช้า ร้านนี้ ชื่อร้านไร ไม่รู้ แต่น้องบอกว่า มาก็ต้องโดนอีกเหมือนกัน ถ้าเป็นบ้านเราคงเฉยๆ เรามีร้านประจำอยู่ร้านหนึ่ง ที่ขายขนมปังปิ้งแบบนี้ คือ ร้านลักนมสด แถวถนนข้าวสาร เราว่าของเฮียอร่อยกว่านะ หรือเพราะถูกปากไม่รู้ เซ็ทนี้ ราคา 7 RM. ที่คนนิยมและต่อแถวกันเป็นเก้าอี้ดนตรีเพราะ ร้านเขามีการปิ้งขนมปัง โดยเตาถ่าน คงมีกลิ่นและแปลกของเขามั้ง ขนมปังรสชาติไม่หวาน แต่มัน เป็นเนยกับอะไรทา สักอย่าง น้องบอกว่า เป็นสังขยา แล้วก็มีกาแฟผสมชา ที่นั่นเรียกว่า Cham Peng รสชาติ ส่วนตัวก็เหมือนกาแฟทั่วไป แต่อาจได้กลิ่นของชาหน่อย แต่ไข่ลวกอร่อย เพราะน้ำซอสเขาจะออกหวานหน่อย ถ้าเป็นของแขกจะเค็ม
แต่เรา Confirm เลยว่า ชาที่โน้นอร่อยมาก เราชอบกินชานะ ส่วนตัว เราว่าชา กาแฟที่เป็นของแขก รสชาติจะดี เข้ม หอม แบบแขก แต่ก็บางร้านนะ ร้านที่เราแนะนำ เราแนะนำร้านตรง Little India เราไปฝากท้องที่นั่นหลายวัน เพราะชอบรสชาติของกาแฟและชาที่นั่น ดูภาพได้เลย ร้านจะติดถนนหน้าที่รับแลกเงิน
หลังจากเสร็จจากอาหารเช้าแล้ว เราไปต่อกันที่วัดไชยมังคลาราม วัดไทยกับวัดพม่าจะอยู่ตรงข้ามกันเลย ในวัดไชยมังคลาราม จะมีพระนอนให้เราได้กราบ ไหว้ สักการะกัน ภายในวัดพื้นที่ไม่เยอะ คนจีนพุทธ จะไปไหว้พระกันที่นั่น ประชากรส่วนมากของปีนัง คือ จีนและแขก อย่างละครึ่งๆ ไหว้พระไทยเสร็จแล้ว ข้ามมาวัดพม่าต่อ วัดพม่า สวยงามอ่อนช้อย ละเอียดดี ถ้าใครไปพม่ามาแล้ว จะเห็นถึงความศรัทธาในพุทธศาสนาของเขามาก
เวลาจอดรถที่ปีนัง เขาจะเอาไอ้นี่วางไว้หน้ารถกันนะ ตอนแรกก็สงสัย มันคืออะไรนะ เป็นโพยซื้อหวย เหมือนสิงคโปร์อ่ะป่าว 55 แต่มันคือ การแสดงว่าเรามีสิทธิ์จอดรถ ประมาณนั้น รถมาร์ชบ้านเขาน่ารักกว่าของเราอีกเนอะ แปลก
หลังจากไหว้พระเสร็จแล้วก็ออกมาไปขึ้นรถหน้า ห้าง Gurney Plaza เพื่อจะไปบาตูโฟริงกิต (Batu Ferringhi) นั่งรถสาย 101 ค่ารถจากตรงนั้น 2 RM. อารมณ์เหมือน พัทยา บ้านเรา อากาศร้อนมากกกกก ถึงร้อนที่สุด มีคนลงเล่นน้ำด้วยนะ ตอนแดดเปรี้ยง ตอนบ่ายโมง โอ๊ววววววว ฉันกลัวววววววว
อยู่ได้ไม่ถึง ชั่วโมง นั่งรถกลับ สู้แดดไม่ไหว ตอนกลับก็นั่งสาย 101 กลับ บอกจะไปลง Love Lane ค่ารถอยู่ที่ 2.7 RM. นั่งกลับมา เส้นทางจะเป็นเหมือนขึ้นเขา วิวด้านข้างจะเป็นทะเลไปตลอดทาง คนที่อาศัยอยู่แถบนั้นคงรวยมาก เพราะเป็นบ้านและตึก คอนโดด้านหน้าจะเห็นเป็นทะเล มันคง โรแมนติกมากเนอะ (โหมด..มโน)
กลับมาถึง Love Lane ฝนตก เดินกลับที่พัก ไปนั่งรอฝนหยุด แต่ถ้าจะยาว เลยเดินกางร่มออกมาหาอะไรดู เดินเข้าไป Little India เดินดูไปเรื่อยเปื่อย ก็จะเจอภาพ เจอเหล็กดัด อีกหลายรูป ก็เก็บภาพไปเรื่อยๆ เดินกันแทบขาจะหลุด 555 เจอร้านนั่งเล่น ร้านชิลล์ ร้านเหล้าเยอะมาก บนถนน Love Lane แหม่...พลี่นี่ น้ำลายไหลเยิ้มมาก แต่เนื่องด้วยอยู่ในช่วงเข้าพรรษา ไม่งั้นบอกเลย หมี่เหลือง (มีเรื่อง) เดินกันจนดึกดื่น ก็กลับที่พัก นอนสลบค่ะ คืนนั้น หลับเป็นตาย
วันที่ 3 ตื่นสายมาก เพราะเราเดินกันเยอะมากเมื่อวาน หาทุกรูปเกือบครบ วันนี้ เราตั้งใจจะไปเก็บรูปบางรูปที่ยังไม่ครบ เราไป Fifty Fifty Art Gallery เห็นเพื่อนบอกว่า ที่นี่ คือ คนที่คิดและเริ่ม ในการวาดภาพ ทั่ว ปีนัง ส่วนตัวเราชอบงาน Art แนวนี้มาก มันดูสนุก สีสัน สวยงามดี วันที่ไป เป็นช่วงเทศกาลงานของเขาพอดี มีเด็ก Skateboard เต็มที่นั่นกันเลยทีเดียว ถ่ายมุมไหนก็ติด อย่างที่บอก ช่วงเรามาฝนตกแรงมาก คนที่รู้จักมาก่อนเรา 1 อาทิตย์ได้ภาพกลับไปแบบสวยงาม เรามาถึงภาพนั้น หน้าได้หายไปแล้ว เพราะฝนตกลงมาหนัก ภาพเลยหลุด....เสียดายที่สุด ใครจะไป รีบๆ ไปนะ ภาพมันจะเลือนหายไปก่อน เราใช้เวลาอยู่ในนั้นนานมาก เพราะดู art ดีภาพมีอะไรให้ดูและมีมุมถ่ายรูปเยอะมาก
ออกจากนั่นแล้ว เราตั้งใจกันว่าจะไปขึ้น Penang Hill (Bukit Bemdara) เราเดินไปขึ้นรถกันตรง Comta เพราะจะเป็นจุดจอดรถเมล์ของเกือบทุกสาย(มั้ง) เรานั่งสาย 204 ไปราคาอยู่ที่ 2 RM. คนเยอะมาก เพราะเส้นนั้น จะมีย่านชุมชนอยู่ คนก็เลยเยอะ
นั่งไปสักพักก็ถึง ค่าขึ้นรถรางไปข้างบน ราคาอยู่ที่ 30 RM. เราตกลงกับเพื่อนที่ไปว่า เฮ้ยย เราจะประหยัด เราจะเดินลง เว้ยเฮ้ยยยย ( ด้วยความงก ) แต่ขอโทษนะคะ ตอนไปซื้อตั๋ว คุยกันไม่รู้เรื่อง จับใจความได้ว่า เฮ้ยยย อย่าเดินลงเลย ซื้อไปกลับเถอะ พรีสส 555 แล้วก็ได้ตั๋วไปกลับมา หลังจากขึ้นไปแล้ว ความเสียวก็เกิดขึ้น คิดไปต่างนานาว่า เฮ้ยยย ถ้าสลิงขาด นี่สภาพจะเป็นไงวะ เสียวมาก เมื่อมองลงมา เราใช้เวลาไต่ขึ้นไปประมาณ 3-5 นาทีได้นะ ตามความคิด พอความสูง ไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ เราก็หันไปพูดกับเพื่อนว่า กรูว่านะ..คิดดีแล้ว ที่ให้ตั๋วไปกลับ เพราะถ้าเดินลงคืนนี้ ทั้งคืน ก็ไม่ถึง 55 แต่เขามีเส้นทางให้เดินขึ้นมา มีคนมาปั่นจักรยานกันขึ้นด้วยนะ พอขึ้นไป แม้หลายคนจะไม่แนะนำให้ขึ้นมา แต่เราว่า เรางกแล้วนะ เรายังยอมขึ้น เพราะครั้งหนึ่งไปแล้ว ก็ขึ้นเถอะ ข้างบนสวยนะ อากาศดี มองเห็นปีนังทั้งหมด เห็นสะพานที่เราข้ามมาด้วย สวยงาม เหมือนอยู่ยุโรปเลย ประเทศไรนะ ที่เป็นเกาะเหมือนกันแต่ไม่เคยไปนะ 55 มโนเอา... แดดร้อนแต่อากาศดี เย็นดี มีลม
ข้างบน Penang Hill มีที่คล้องกุญแจด้วยนะ เราตั้งใจว่า จะเอากุญแจมาจากเมืองไทยมา แต่ลืม... แต่เอาไปก็ไม่รู้จะคล้องกับใครด้วย จะเขียนชื่อ คนเดียว ก็คงแปลกๆ นะ 5 55 แต่บรรยากาศมุมนั้น สวยโรแมนติกดีนะ มีชาย หญิง มาคล้องด้วยกัน หอมแก้มกัน เล่นเอาคนโสด...อยากจะเดินไปกั้นกลาง ด้วยความอิจฉา 5 5
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น