การรับน้องกับการทำงานมันไม่เหมือนกัน มานี่ผมจะเล่าให้ฟัง!

พักนี้ก็ใกล้ๆจะเปิดเทอมกันแล้ว มักจะมีกระทู้รับน้องมากันประปราย
ผมก็เลยอยากจะขอแชร์ประสบการณ์ของผมสมัยเข้ามหาลัยใหม่ๆจนกระทั่งจบมาทำงานแล้วว่าเป็นอย่างไร

เริ่มกันเลยดีกว่าครับ
                     ผมเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งตอนปี 2553 ซึ่งคณะที่ผมเรียนนี้ความกดดันในการเรียนก็มีค่อนข้างสูง เนื่องจากต้องอ่านหนังสือเยอะ และสอบปลายภาคแค่ครั้งเดียว 100 คะแนนเต็ม ตอนที่ผมเข้าปี 1 ซึ่งก็ต้องไปรับน้อง ตอนที่จะไปรับน้องนั้น รุ่นพี่ก็แทบกรานการขอให้ไปรับน้องกันเยอะๆ เราไปรับน้องกันที่จังหวัดสมุทรสงครามครับ ตื่นเช้ามา เราก็ถูกบอกให้ไปรวมกันในห้องๆหนึ่ง โดยยังไม่ให้กินข้าวเช้า มีเพียงอาหารว่างคือนมกับขนม รุ่นพี่ปล่อยให้เรายนั่งรอซักพัก แล้วต่อมาก็มีรุ่นพี่เข้ามา "ว๊าก" ครับ โดยเข้ามาถึงก็สั่งให้ยืน เข้ามาถามชื่อเพื่อนข้างๆ ข้างหน้า ข้างหลัง ว่ารู้จักกันหมดไหม (ใครมันจะไปรู้จักฟระ เพิ่งจะมารับน้องวันแรก) จากนั้นก็ให้เราออกมาด้านนอก มายืนล้อมวงกันร้องเพลง บูม แล้วก็ว๊ากๆๆๆ ซ้ำไปซ้ำมาไปเรื่อยๆ จนถึงเที่ยง ก็เลิกว๊ากกันไป ก็มีการพยามจะจบให้ซึ้งๆอ่ะนะครับ ซึ่งผมก็ไม่ได้ซึ้งด้วย มองว่าไร้สาระด้วยซ้ำไป ซึ่งจากการรับน้องครั้งนั้น ทำให้ผมคิดว่า ตอนที่จะมารับน้องทำไมขอให้เรามาซะดิบดี แต่ทำไมพอมาถึงแล้วถึงได้เอาพวกเรามาทำแบบนี้ มันทำลายความรู้สึกดีๆ ความไว้ใจที่มีให้รุ่นพี่หมดเลยหละครับ พอผมกลับมามหาวิทยาลัย ไอ้คนไหนที่เคยว๊ากพวกผมไว้ ผมไม่สนใจ ไม่ไหว้ และจะเลือกไหว้เฉพาะคนที่เคารพนับถือจริงๆเท่านั้น คนอื่นๆผมอย่างมากก็ยิ้มให้เท่านั้น แต่คนที่ว๊าก ผมไม่สนใจ พอผมขึ้นไป 2 ต้องมาจัดรับน้องบ้าง ผมเลิกกิจกรรมที่มีการว๊ากทั้งหมด ซึ่งก็ต้องมีการชนกับรุ่นพี่บ้าง แต่อย่างไรๆเราก็เป็นคนจัดอยู่แล้ว เราคือคนคุมเกม ถ้ารุ่นพี่อยากจะว๊าก ก็ให้มาจัดเอง ซึ่งเราก็ทำสำเร็จ นับแต่ปี2554เป็นต้นมา ก็ได้มีการเลิกว๊ากจากการรับน้องไปโดยสิ้นเชิงจนถึงปัจจุบัน
                    หลังจากนั้นก็ตั้งใจเรียนไปเรื่อยๆ ผลการเรียนผมก็ดีครับ ก็มีได้ทุนไปดูงานต่างประเทศจากมหาลัยบ้าง ไปแข่งขันระดับมหาลัยได้รางวัลมาบ้าง จนกระทั่งสอบได้ทุนรัฐบาลตอนปีสามทำให้ได้งานทำตั้งแต่ยังเรียนไม่จบครับ ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ ผมพบว่า ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆกับการถูกว๊ากมาเลย เกิดจากการขวนขวายของตัวผมเองทั้งนั้น เพื่อนฝูงสมัยเรียนก็มีเยอะครับ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนไม่เอาว๊ากกันทั้งนั้นแหละครับ
                     มาถึงการทำงานบ้าง ตอนนี้ผมทำงานรับราชการอยู่ครับ หัวหน้าผมอายุห้าสิบปลายๆเกือบจะเกษียณแล้วครับ งานที่ได้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่ไม่เชี่ยวชาญและเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยรู้ ทำให้ต้องค่อยๆศึกษา แต่ที่สำคัญครับ คนในหน่วยงานทุกคนพูดจาดีกับผมทั้งนั้นครับ ไม่มีหรอกครับ มาพูดว่า "งานแค่นี้ทำไมได้" หรือมายืนตำหนิ ยืนด่าที่โต๊ะเหมือนการว๊าก งานไหนยากๆ รุ่นพี่หรือหัวหน้าก็จะแนะนำว่าให้ไปศึกษาจากตรงไหนบ้าง แม้กระทั่ง ผอ. เวลาใช้งานผมก็ตาม เวลาผมนำงานไปส่ง ผอ.มักจะพูดว่าขอบคุณกับผมเสมอ หรือแม้กระทั่งรองเลขาธิการ เวลาเรียกผมไปคุย สั่งการสั่งงานก็พูดกันดีๆครับ ผมบอกเลยนะครับ ถ้าองค์กรไหนพูดจากับคนในองค์กรแบบที่รุ่นพี่ว๊ากๆกันเนี่ย ผมว่าองค์กรนั้นก็แย่เต็มทีครับ เพราะไม่รู้จักวิธีการสื่อสารที่ดีกับคนในองค์กร คนในองค์กรอยู่ไปก็ไม่มีความสุขหรอกครับ แต่ถ้าจะยอมทนให้เขาโขกสับ หรือด่า ก็ตามใจครับ แต่ถ้าเป็นผม ผมไม่อยู่ในสภาพแบบนั้นหรอกครับ ที่พวกพี่ๆชอบอ้างกันว่าเวลาไปทำงานจะเจอความกดดันกว่านี้ อย่าเพิ่งไปเชื่อนะครับ เพราะพี่ที่พูดๆอยู่ก็ยังไม่มีงานทำกันเหมือนกัน ลองไปถามคนที่เขาได้ทำงานบริษัทดีๆ องค์กรดีๆดูนะครับว่าสภาพการทำงานเป็นยังไง มันกดดันเหมือนการว๊ากไหม แล้วคิดเอาเองครับ
เรื่องเล่าจากประสบการณ์ตรงครับ จากใจ คนที่เติบโตมาด้วยตัวเองไม่ใช่จากการว๊าก เข้ามาดู

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่