ผู้ไม่รู้จักความกลัว (๑) ๓๑ ก.ค.๕๘

ขุนโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะ

บู๊สง.....ผู้ไม่รู้จักความกลัว

ตอนที่ ๑ คนร้ายกว่าเสือ

"เล่าเซี่ยงชุน"

ในกลุ่มพี่น้องโจรเขาเนียซัวเปาะทั้งหมดนั้น มีอยู่คนหนึ่งที่ประวัติน่าสนใจมาก เขาคือ บู๊สง เดิมเป็นชาวเมืองเซงหัวกุ้ย อยู่กับพี่ชายชื่อ บู๊ตัวหนึง ซึ่งเป็นคนที่มีรูปร่างต่ำเตี้ย หน้าตาอัปลักษณ์ แต่ตนเองนั้นเป็นคนสูงใหญ่มีฝีมือเข้มแข็ง ชอบเสพสุรา

ครั้งหนึ่งเมาสุราแล้วเกิดวิวาทกับชายคนหนึ่ง บู๊สงตีชายคนนั้นสลบลงไป นึกว่าตายแน่จึงหนีออกจากเมืองเซงหัวกุ้ย ไปอาศัยอยู่กับ ชาจิน เศรษฐีใจดีที่ตำบลตังเกซึง เมืองซองจิวฮู้ หลบอยู่ได้ประมาณปีเศษคิดถึงพี่ชาย จึงขอลากลับไปเยี่ยมบ้าน

ระหว่างเดินทางเจอโรงสุราปิดประกาศไว้ว่า สุราโรงนี้ผู้ใดกินได้ถึงสามชามก็จะเดินทางต่อไปไม่ไหว บู๊สงอยากจะลองจึงเข้าไปสั่งสุรามากินรวดเดียวสามชามก็ยังเฉยอยู่ พอจะเอาอีกเจ้าของโรงสุราก็ไม่ยอมตักมาให้กลัวจะเมาหนัก แต่บู๊สงก็เคี่ยวเข็นให้เอาสุรามาอีก เจ้าของจึงทะยอยตักสุรามาให้กิน จนหมดทั้งสิ้นสิบแปดชาม

บู๊สงว่าสุราของท่านดีจริง แต่เราดื่มไม่เห็นเมา เมื่อคิดเงินแล้วจะเดินทางออกจากโรงไป เจ้าของอุตส่าห์เตือนว่า ในป่าที่จะเดินทางไปนี้ มีเสือใหญ่อยู่ตัวหนึ่งดุร้ายมาก คนเดินทางผ่านไปมา เสือกัดกินตายไปหลายสิบคนแล้ว เจ้าเมืองเอียงก๊กกุ้ยมีประกาศให้คนเดินทางในเวลาเที่ยง นอกเวลานั้นไปไม่ได้ ขณะนี้ก็จวนจะเย็นแล้ว สมควรพักอยู่สักคืนหนึ่งก่อน คอยเวลาพรุ่งนี้เที่ยงจึงค่อยไป บู๊สงก็หัวเราะหาว่าเจ้าของโรงให้อยู่ จะหลอกลวงเอาไว้ฆ่าเสียกระมัง จึงว่า

".....เราเดินไปมาทางนี้หลายหนไม่เห็นมีเสือที่ไหน ถ้าแม้นมีจริงก็ไม่กลัว....."

ว่าแล้วก็เดินเข้าป่าไป สักพักหนึ่งก็ถึงศาลเจ้าชำรุดหักพังอยู่ริมทาง เมื่อแวะเข้าไปดูก็เห็นมีประกาศของเจ้าเมืองปิดไว้ว่า ที่ป่าตำบลนี้มีเสือใหญ่ตัวหนึ่งดุร้าย กัดคนตายเสียหนักหนา จัดให้ขุนนางนายทหารออกเที่ยวยิงก็ยังมิได้ ผู้ใดจะเดินข้ามป่านี้ให้คอยไปพร้อมกันหลายสิบคนในเวลาเที่ยง ถ้าน้อยคนอย่าได้เดินไปมาเลยเป็นอันขาด

บู๊สงจึงเชื่อว่าเจ้าของโรงมิได้หลอกลวง ครั้นจะหวนกลับก็อายคน จึงแข็งใจเดินต่อไป พิษสุรากำเริบเมามากขึ้นความกลัวก็ลดน้อยลงไป เวลานั้นเป็นเดือนสิบกลางวันน้อยกว่ากลางคืน ตะวันก็จวนเย็นใกล้มืดค่ำลงแล้ว บู๊สงจึงปีนขึ้นไปนั่งอยู่บนก้อนศิลาใหญ่สีเขียว กะว่าจะนอนพักในคืนนี้

พลันก็ได้ยินเสียงป่าที่เนินเขาดังลั่นแผ่นดินไหวเสทือน แล้วก็มีเสือตัวใหญ่หน้าขาวคิ้วขาว ลูกตาแดงเหมือนแสงไฟ เดินเข้ามาใกล้ พอเห็นบู๊สงก็กระโจนเข้าตะปบด้วยกำลังแรง จนต้นไม้โยกและแผ่นดินหวั่นไหว

บู๊สงตกใจจนหายเมากระโดดหลบไปอยู่ข้างหลัง เสือก็ส่งเสียงคำรามกระหึ่มไปทั้งป่า แล้วหันหลับมาจะเล่นงานอีก บู๊สงเบี่ยงหลบไปข้างหลัง เสือก็ตะครุบตัวไม่ได้ เล่นเอาเถิดเจ้าล่อกันอยู่สามสี่ครั้ง เสือก็อ่อนกำลังลง เอาตีนตะกายดินคำรามอยู่

บู๊สงถือกระบองสั้นคู่มือ พอเสือขยับตัวก็ขว้างกระบองไปโดยแรงแต่ไม่ถูก เสือ กระโจนถึงตัว บู๊สงก็จับขาหน้าทั้งสองข้างไว้อย่างแน่นหนา แล้วเอาเท้าถีบหน้าเสือด้วยกำลังแรงประมาณสามสิบที เสือนั้นสิ้นกำลังลง บู๊สงก็ปล่อยมือเอากระบองมาทุบหัวเสือ จนขาดใจตายโลหิตไหลออกทางปาก

บู๊สงจึงลากเสือไปถึงบ่อน้ำใกล้ ๆ เอาปากเสือแช่ไว้ในน้ำ แล้วก็เดินลงจากเขาไป

เดินมาได้ไม่นานก็พบชายสองคน นุ่งห่มด้วยหนังเสือเดินสวนมา บู๊สงถามว่าแต่งตัวดังนี้จะไปไหน ชายนั้นบอกว่าข้างบนมีเสือใหญ่ กัดพวกเราตายไปหลายคนจึงรวบรวมกันถืออาวุธมาจะกำจัดเสือ สองคนนี้เดินนำมาก่อน พรรคพวกกำลังตามหลังมาอีกสิบเอ็ดคน

บู๊สงก็ว่าเราตีเสือตัวนั้นตายแล้ว พวกเหล่านั้นไม่เชื่อ จึงต้องพาย้อนขึ้นไปดู เห็นเสือนอนแช่น้ำอยู่ก็ดีใจ ช่วยกันหามเสือ และหาเกี้ยวมาหามบู๊สงไปที่บ้านของนายอำเภอ

คนทั้งปวงในหมู่บ้านก็แตกตื่นกันมาดูเสือต้วร้าย แล้วสรรเสริญบู๊สงว่ามีฝีมือเข้มแข็งนัก นายอำเภอก็จัดสุราอาหารมาเลี้ยงดู แล้วส่งบู๊สงกับเสือไปให้เจ้าเมืองเอียงก๊กกุ้ย เจ้าเมืองก็ต้อนรับอย่างดี ให้รางวัลเป็นเงินพันตำลึง

บู๊สงก็เอาเงินนั้นมาแจกแก่พวกที่จะไปปราบเสือ ทั้งสิบสามคน ให้ได้เท่ากันทุกคน เจ้าเมืองเห็นว่าบู๊สงสัตย์ซื่อมีฝีมือเข้มแข็ง ไม่เห็นแก่เงินทอง จึงตั้งให้เป็นขุนนางตำแหน่งโตวเกาเป็นครูทหาร บู๊สงจึงมีชื่อเสียงโด่งดัง และอยู่รับราชการที่เมืองเอียงก๊กกุ้ยนี้เอง

ฝ่ายบู๊ตัวหนึงพี่ชายของบู๊สงนั้น เมื่อบู๊สงหนีออกจากเมืองเซงหัวกุ้ยไป เจ้าเมืองก็มาเอาตัวไปขังไว้แทนน้องชาย แต่คนที่ถูกตีนั้นไม่ตาย จึงถูกปล่อยตัวออกมาทำมาหากินตามเดิม พอดีมีเศรษฐีคนหนึ่งมีบ่าวหญิงชื่อ นางพัวกิมเหลียน อายุยี่สิบสามปี รูปร่างงดงาม อยากจะได้ไว้เป็นภรรยาน้อย แต่นางไม่ยินยอม จึงประชดโดยยกให้เป็นภรรยาบู๊ตัวหนึง ผู้มีรูปร่างอย่างคนแคระ

นางพัวกิมเหลียนรังเกียจสามี จึงเที่ยวลอบรักกับชายอื่นอยู่เนือง ๆ บู๊ตัวหนึงรู้เรื่องก็ไม่สามารถจัดการอย่างไรได้ เพราะสู้รบกับใครไม่ไหว จึงพาภรรยาย้ายออกจากเมืองเซงหัวกุ้ย มาทำมาค้าขายอยู่ที่เมืองเอียงก๊กกุ้ย

เมื่อบู๊ตัวหนึงรู้ข่าวว่าบู๊สงน้องชายมีชื่อเสียง ได้รับราชการเป็นใหญ่เป็นโตอยู่ในเมืองนี้ ก็มีความยินดีแต่ไม่มีโอกาสได้พบกัน วันหนึ่งบู๊สงมาเที่ยวตลาด เดินผ่านหน้าร้านของพี่ชาย บู๊ตัวหนึงร้องเรียกก็จำได้ จึงตรงเข้าไปคุกเข่าคำนับแล้วถามทุกข์สุข พี่ชายก็เล่าเรื่องที่ได้ภรรยาให้ฟังโดยตลอด แล้วชวนเข้าไปในร้านเรียกภรรยาออกมา แนะนำให้รู้จักกับน้องชาย แล้วบู๊ตัวหนึงก็ให้นางพัวกิมเหลียนจัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงดูกัน ด้วยความยินดี

บู๊สงเล่าความที่ไปอาศัยอยู่กับเศรษฐีชาจินที่เมืองเซงหัวกุ้ย แล้วจะกลับมาเยี่ยมบ้าน บังเอิญฆ่าเสือได้เลยต้องรับราชการอยู่ที่เมืองนี้ เมื่อพี่ชายย้ายมาอยู่ที่เมืองเดียวกัน ก็ดีแล้ว จะได้ดูแลคุ้มครองไม่ให้ใครมาย่ำยี

นางพัวกิมเหลียนถามว่าที่พักอาศัยอยู่แห่งใด บู๊สงบอกว่าอยู่ที่บ้านเจ้าเมือง มีทหารรับใช้คนหนึ่ง พี่สะใภ้จึงชวนให้มาอยู่ที่บ้านด้วยกัน บู๊สงก็ไม่ขัดข้องจึงกลับไปขนของลาเจ้าเมืองมาอยู่บ้านพี่ชาย และไปรับราชการเช้าเย็นเป็นประจำ

วันหนึ่งบู๊ตัวหนึงหาบของไปขายตามปกติ บู๊สงไปทำงานแต่เช้าแล้วกลับมารับประทานอาหารที่บ้าน พี่สะใภ้ก็จัดอาหารสุรามาปรนนิบัติเป็นอย่างดี ทั้งสองกินโต๊ะด้วยกัน นางพัวกิมเหลียนนั้นมีใจรักใคร่บู๊สง ก็คอยรินสุราส่งให้อยู่ตลอดเวลา นางอยากจะลองใจบู๊สงว่าจะคิดอย่างใดกับตน จึงรินสุราใส่ถ้วยของตนแล้วดื่มเสียครึ่งหนึ่งที่เหลือส่งให้บู๊สงแล้วว่า วันนี้เป็นวันสำคัญถ้ารักกันจริงจงดื่มสุราถ้วยนี้เถิด

บู๊สงรู้ความหมายก็โกรธแกล้งเทสุราทิ้งเสีย แล้วว่า

"....คนอะไรเช่นนี้ไม่มีความอาย เราเป็นชายชาติทหาร สัตย์ซื่อต่อฟ้าและดินปรารถนาจะตั้งตัวให้ชื่อเสียงปรากฎต่อไป มิใช่สัตว์เดียรัจฉานจะมาทำการดังนี้ หาควรไม่ เรานับถือว่าเป็นพี่สะใภ้ อย่ามาวุ่นวายรบกวน...."

นางพัวกิมเหลียนก็เสียใจ นิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงบอกว่า

".....เรามีความรักใคร่ เหมือนกับน้องร่วมไส้ จึงได้ปฏิบัติพูดหยอกล้อก็สำคัญว่าจริง เรามิใช่คนเช่นนั้นดอก....."

แล้วก็เก็บสำรับอาหารไปเสีย บู๊สงเข้าไปนอนสงบสติอารมณ์ อยู่ในห้องของตนได้ สักพักหนึ่ง บู๊ตัวหนึงก็กลับมาจากค้าขาย เห็นนางพัวกิมเหลียนนั่งร้องไห้อยู่หน้าบ้าน จึงถามไถ่ว่าผู้ใดมาข่มเหงหรือ

นางพัวกิมเหลียนก็ใส่ความว่า บู๊สงมาพูดจาแทะโลมเกี้ยวพาราสี บู๊ตัวหนึงไม่เชื่อแต่ก็เก็บไว้ในใจไม่โต้ตอบว่ากระไร เดินเลยเข้าไปหาน้องชาย ถามว่ากินข้าวหรือยัง บู๊สงไม่สบายใจจึงลุกขึ้นเดินออกจากบ้านไป พี่ชายร้องเรียกก็ไม่ยอมกลับ

นางพัวกิมเหลียนก็ว่าจะกลับมาทำไมอีกเล่า เมื่อได้ทำผิดไว้แล้ว บู๊ตัวหนึงก็นิ่งไว้อีก เพราะใจยังไม่ยอมเชื่อ

บู๊สงกลับมาถึงบ้านเจ้าเมืองแล้ว ก็พาทหารไปขนสิ่งของจากบ้านพี่ชาย กลับไปอยู่ที่บ้านเจ้าเมืองอย่างเดิม พี่ชายถามก็ไม่กล้าเล่าความจริง นางพัวกิมเหลียนเห็นบู๊ตัวหนึงอาลัยน้องชายก็ว่าตามหลังไปว่า

".....เรามีความยินดี คิดว่าพี่น้องมีวาสนาเป็นขุนนางจะได้พึ่งบ้าง กลับมาคิดประทุษร้าย ไปเสียก็ดีดอกถ้าอยู่ก็คงจะวุ่นวายกัน.."

บู๊ตัวหนึงว่าน้องมาอยู่ด้วยยังมิทันนานเท่าใดก็ไปเสียดังนี้ คนทั้งหลายเขาจะหัวเราะเยาะ ไปตามให้กลับมาอยู่ตามเดิมจะดีกว่า นางพัวกิมเหลียนว่าถ้าจะให้บู๊สงมาอยู่อีกก็ทำหนังสือหย่ากันเสียก่อนเถิด บู๊ตัวหนึงกลัวภรรยาก็เลยต้องนิ่งเงียบไป

ฝ่ายเจ้าเมืองเอียงก๊กกุ้ย คิดถึงญาติพี่น้องที่อยู่ตังเกียเมืองหลวง อยากจะเอาเงินทองสิ่งของไปเยี่ยมเยียนบ้าง ก็กลัวโจรผู้ร้ายจะแย่งชิงกลางทาง จึงขอร้องให้บู๊สงเป็นผู้ควบคุม ข้าวของไปส่งให้ด้วย

บู๊สงก็ยินดีบอกว่า

".....พระคุณท่านชุบเลี้ยงเป็นที่สุดอยู่ อย่าว่าแต่การเท่านี้เลย ถึงยิ่งกว่านี้ก็จะรับอาสาไป ซึ่งตังเกียเมืองหลวงนั้น ข้าพเจ้าอยากจะใคร่เที่ยวชมเล่นสักครั้งหนึ่งอยู่แล้ว ท่านจงจัดเตรียมไว้ให้พร้อมเถิด."

แล้วบู๊สงก็ให้ทหารซื้อสุราอาหาร พากันไปบ้านพี่ชาย บู๊ตัวหนึงอยู่บ้านเห็นน้องชายมาหาก็ยินดี เรียกเข้าไปในบ้าน บู๊สงให้ทหารจัดตั้งโต๊ะอาหาร นางพัวกิมเหลียนคิดว่าบู๊สงคิดถึงตน จึงแต่งตัวให้สวยงามออกมาเจรจาด้วยดี

บู๊สงก็เชิญพี่ชายพี่สะใภ้ กินโต๊ะเสพสุราด้วยกัน แล้วบอกว่า

"....พรุ่งนี้ผู้รักษาเมืองจะให้คุมทรัพย์สิ่งของ เข้าไปเมืองหลวงประมาณสิบห้าวันจะกลับมา ถ้าพี่จะไปค้าขายจงกลับมาแต่วัน แล้วอย่าได้คบเพื่อนฝูงเที่ยวเสพสุรา เวลาเย็นให้ปิดประตูบ้านเสีย ถ้ามีผู้ใดมาว่ากล่าวข่มเหงก็อดโทโสไว้ คอยน้องกลับมาก่อน....."

แล้วก็รินสุราให้พี่ชายว่า ถ้าเชื่อตามที่บอกก็ดื่มสุราถ้วยนี้เถิด บู๊ตัวหนึงรับมาดื่มแล้วว่าจะเชื่อฟังทุกอย่าง บู๊สงก็รินสุราส่งให้นางพัว กิมเหลียนแล้วว่า

"...บัดนี้มีราชการจะลาพี่ทั้งสองไป ซึ่งพี่ชายของน้องเป็นคนโง่เขลา ไม่รู้จักการอันควรมิควร พี่เป็นคนเฉลียวฉลาดรู้การงานทุกอย่าง น้องขอฝากพี่ชายด้วยเถิด ทุกวันนี้ถ้าในบ้านเรือนปกติเรียบร้อยดี คนนอกก็ไม่มีผู้ใดดูหมิ่นข่มเหงได้ พี่เป็นคนเข้าใจจัดการให้ดี เชิญเสพสุราถ้วยนี้เสียเถิด....."

นางพัวกิมเหลียนได้ฟังก็โกรธนัก ไม่รับถ้วยสุราจากบู๊สง แต่กลับด่าผัวว่า

".....คงจะเอาความเท็จไปเที่ยวนินทาบอกแก่ผู้ใดเป็นมั่นคง บู๊สงจึงได้มาว่าดังนี้ ตัวเราไม่มีราคีสิ่งใดเลย ช่างมาพูดเปรียบเทียบเอาได้ เรารู้อยู่ดอก...."

บู๊สงได้ฟังก็หัวเราะแล้วว่า กลัวแต่ปากกับใจจะไม่ตรงกัน นางพัวกิมเหลียนก็ยิ่งโกรธมากขึ้น ลุกขึ้นกระทืบเท้าเดินบ่นออกไปว่า

"...เดิมเมื่ออยู่กินเป็นสามีภรรยากัน ก็ไม่ได้ยินว่ามีญาติพี่น้อง เดี๋ยวนี้มีพี่น้องมาตั้งตัวเป็นใหญ่จะเท็จจริงหรืออย่างไรก็ไม่รู้ มาว่ากล่าวดังนี้เราแค้นนัก....."

แล้วก็หนีไปนั่งร้องไห้อยู่หน้าบ้าน สองคนพี่น้องกินอาหารต่อไปจนอิ่ม เมื่อบู๊สงลากลับ บู๊ตัวหนึงก็ร้องไห้สั่งให้รีบกลับมาโดยเร็วอย่าได้นอนใจ บู๊สงเวทนาพี่ชายจึงว่า

"....ถ้าน้องไปแล้วพี่อย่าค้าขายเลย เงินทองจะใช้สอยมากน้อยเท่าไร จะส่งมาให้ซื้อหารับประทาน จงอยู่รักษาบ้านเถิด....."

แล้วบู๊สงก็กลับไปรับหนังสือจากเจ้าเมือง พาคนใช้ที่สนิทของเจ้าเมืองสี่คน คุมเกวียนทรัพย์สินเงินทองออกจากเมืองเอียงก๊กกุ้ย เดินทางไป ในเช้าวันรุ่งขึ้นนั้นเอง

เมื่อบู๊สงคุมเกวียนไปถึงเมืองหลวง ก็เอาเงินทองสิ่งของ มอบให้ญาติพี่น้องของเจ้าเมืองเอียงก๊กกุ้ยเรียบร้อยแล้ว อยู่เที่ยวชมบ้านเมืองได้สี่ห้าวัน ก็คิดถึงพี่ชาย จึงขอลากลับพร้อมกับคนใช้ที่ไปด้วยทั้งสี่คน

เมื่อบู๊สงเดินทางไปเมืองหลวงนั้นเป็นฤดูแล้ง เดินทางทั้งไปและกลับรวมเวลาสองเดือนจนเข้าฤดูฝน พอมาถึงเอาหนังสือตอบของญาติส่งให้ เจ้าเมืองรู้เรื่องแล้วก็ให้รางวัลเงินทองเป็นอันมาก บู๊สงลามาเก็บสิ่งของไว้ในที่พัก แล้วก็รีบไปหาบู๊ตัวหนึงที่บ้านทันที.

##########

นิตยสารโล่เงิน
กรกฎาคม ๒๕๓๙
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่