ผู้ไม่รู้จักความกลัว (๓) ๒ ส.ค.๕๘

ขุนโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะ

บู๊สง.....ผู้ไม่รู้จักความกลัว

ตอนที่ ๓ คนกล้าตายยาก

"เล่าเซี่ยงชุน"

เมื่อบู๊สงได้ฟังคำสารภาพถึงวิธีการวางยา ฆ่าบู๊ตัวหนึงพี่ชายของตน จากจำเลยทั้งสองคือ นางพัวกิมเหลียน พี่สะใภ้ และ ยายเฒ่าเห็งโผ แม่สื่อตัวดี และให้เพื่อนบ้านซึ่งมีเฒ่า โอวเจ็งเค็ง เป็นผู้จดปากคำไว้โดยละเอียดแล้ว ก็ให้ทหารมัดนางเห็งโผไว้ แล้วตรงเข้าฉุดนาง พัวกิมเหลียน มาที่หน้าป้ายชื่อพี่ชาย ร้องประกาศว่า วันนี้จะฆ่าคนที่คิดร้ายแก้แค้นแทนพี่ชายเสีย

ว่าแล้วก็เอากระบี่ผ่าอกพี่สะใภ้ออกเป็นสองซีก และตัดศรีษะห่อผ้าไว้ ขณะที่ทุกคนกำลังตกตลึง บู๊สงก็บอกแก่ผู้เฒ่าที่มาเป็นพยานทั้งสี่คนว่า จะออกไปข้างนอกสักครู่หนึ่งขอให้ทั้งหมดคอยอยู่ที่นี่ก่อน

แล้วบู๊สงก็เอาห่อศรีษะนางพัวกิมเหลียน และกระบี่ซ่อนไว้ในเสื้อ ออกมาสั่งทหารให้ปิดประตูใส่กลอนให้แน่น อย่าให้ผู้ใดหนีออกไปได้ แล้วก็รีบไปยังร้านขายเครื่องยาของ ไซบุนเข่ง ถามคนหน้าร้านว่าไซบุนเข่งอยู่ที่ไหน ชายผู้นั้นบอกว่าไม่อยู่ในร้าน บู๊สงก็จูงมือออกมานอกร้านถามว่า

"...เจ้าอยากเป็นหรืออยากตาย ถ้าอยากตายก็อย่าบอกเลย ..."

ชายผู้นั้นก็ตกใจกลัวบอกว่า ไซบุนเข่งเสพสุราอยู่ที่โรงเตี๊ยมแถวสะพานไซฮังเกีย บู๊สงก็ปล่อยตัวแล้วรีบไปที่โรงเตี๊ยมนั้น ถามเจ้าของได้ความว่า เถ้าแก่ไซบุนเข่งกำลังเมาอยู่สองคนกับเพื่อนบนเหลา บู๊สงก็ขึ้นไปเห็นไซบุนเข่งเสพสุราอยู่กับชายผู้หนึ่ง และมีหญิงขับร้องสองคน

บู๊สงเอาห่อศรีษะนางพัวกิมเหลียนวางลงบนโต๊ะตรงหน้า ไซบุนเข่งตกใจกระโดดขึ้นไปยืนบนโต๊ะ กำลังคิดว่าจะโดดลงจากเหลา บู๊สงก็ทลึ่งตัวขึ้นไปยืนข้าง ๆ ไซบุนเข่งจึงเอาเท้าถีบมือบู๊สง จนกระบี่หลุดจากมือตกลงบนพื้น พอจะถีบซ้ำบู๊สงก็จับข้อเท้าผลักไซบุนเข่ง ตกจากเหลาลงไปกลิ้งอยู่บนถนน

ไซบุนเข่งแม้จะเจ็บปวดก็พอจะลุกขึ้นได้คว้ากระบี่มาถือไว้ บู๊สงก็หิ้วศรีษะนางพัวกิมเหลียน กระโดดตามลงไปแย่งกระบี่ได้ แล้วฟันไซบุนเข่งคอขาดกระเด็น คนทั้งหลายก็ตกตลึงจังงังไปหมด

บู๊สงเอาศรีษะทั้งสองผูกติดกันหิ้วกลับมาที่บ้าน แล้วก็วางศรีษะทั้งสองเซ่นไหว้หน้าป้ายชื่อพี่ชาย กล่าวว่า

".....ข้าพเจ้าบู๊สงได้แก้แค้นแทนพี่ ตัดศรีษะคนทั้งสองมาเซ่นไหว้ ถึงตัวจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต....."

แล้วหันไปบอกกับพยานทั้งหลายว่า

"...ครั้งนี้ฆ่าคนทั้งสองแทนพี่ โทษในตัวของเรามีอยู่ ท่านทั้งหลายต้องไปด้วย เราเชิญท่านมาเป็นพยาน ได้รู้เห็นประการใดจงพูดไปแต่ตามจริง จะเป็นตายอย่างไรไม่เกี่ยวข้องถึงท่าน ถ้าสำเร็จการแล้วสิ่งของในโรงนี้ ท่านทั้งสี่จงช่วยจัดแจงขายเอาเงินไปให้เรา จะได้แลกเปลี่ยนอาหารมารับประทาน...."

แล้วก็เอาป้ายชื่อพี่ชายเผาเสีย จากนั้นก็คุมตัวนางเห็งโผ พร้อมด้วยพยาน มาหาเจ้าเมืองเอียงก๊กกุ้ย เอาศรีษะทั้งสองวางไว้ แล้วแจ้งว่าตนได้ฆ่านางพัวกิมเหลียนและไซบุนเข่งตายแล้วเอา คำสารภาพที่จดไว้ให้ดู

เจ้าเมืองถามนางเห็งโผอีก นางก็ยืนยันตามความจริงเหมือนเดิม ถามผู้เฒ่าทั้งสี่ก็ให้การตามที่รู้เห็น เจ้าเมืองจดถ้อยคำให้การไว้แล้ว ก็คิดว่าไหน ๆ ตัว ไซบุนเข่งก็ตายไปแล้ว บู๊สงก็เป็นคนดีเคยใช้สอยมาแต่ก่อนควรจะช่วยไว้ จึงร่างคำฟ้อง ไปขึ้นศาลที่เมืองตงเพ็งฮู้ ให้หลักฐานอ่อนลง แล้วก็ให้เจ้าหน้าที่คุมตัวคนทั้งหมด รวมทั้งฮุนกอ และ ห้อเกาเจ้ก ซึ่งเป็นพยานแต่แรกด้วย ไปฟ้องร้องที่เมืองตงเพ็งฮู้

ตันบุนเจียว เจ้าเมืองอ่านคำฟ้องว่า

“..เดิมบู๊สงไปเซ่นไหว้บู๊ตัวหนึงพี่ชาย นางพัวกิมเหลียนแกล้งทำลายป้ายเสีย บู๊สงขัดเคืองวิวาทกันจึงได้ฆ่าตาย ไซบุนเข่งนั้นเป็นชู้กับนางพัวกิมเหลียนไม่เกรงกลัวผู้ใด จึงคิดวิวาทขึ้นบู๊สงก็ฆ่าเสีย….”

แล้วส่งคำตัดสินไปยังเมืองหลวงว่า บู๊สงฆ่าคนตายให้เฆี่ยนสี่สิบทีแล้วเนรเทศไปเมืองเม่งจิว นางเห็งโผนั้นโทษมากชักสื่อภรรยาเขา และช่วยกันวางยาสามีให้ประหาร ไซบุนเข่งไปคบหาภรรยาเขาบู๊สงฆ่าตายเสียโทษพอกลบลบกัน พยานทั้งหกคนเพียงแต่รู้เห็นไม่ได้ร่วมลงมือ ไม่มีโทษให้ปล่อยไป ทางเมืองหลวงก็ตัดสินตามที่ตันบุนเจียวเสนอ

ผู้คุมก็จัดการเฆี่ยนบู๊สงและคุมตัวไว้จะพาไปส่งเมืองเม่งจิว พวกพยานก็ไปจัดการขายสิ่งของบ้านช่องตามที่บู๊สงสั่ง แล้วนำเงินมาให้ บู๊สงก็เอาเงินให้ฮุนกอไปเลี้ยงบิดาสิบห้าตำลึง นอกนั้นเก็บไว้ใช้ บู๊สงก็ขอบคุณและร่ำลาพวกพยานทั้งหลายแล้ว ผู้คุมก็พาตัวบู๊สงเดินทางออกจากเมืองตงเพ็งฮู้ไป

บู๊สงกับผู้คุมร่วมเดินทางมาด้วยกันได้สี่สิบวัน ก็มีความสนิทสนมชอบพอรักใคร่กันดี จนถึงตำบลยีปิเป็นทางสามแพร่ง มีโรงเตี๊ยมอยู่ใกล้ต้นไม้ใหญ่ จึงแวะเข้าไปพัก และสั่งสุราอาหารมารับประทาน หญิงเจ้าของโรงเตี๊ยมก็จัดเอามาให้ บู๊สงเห็นผู้คุมทั้งสองชมว่าขนมซาลาเปานี้ดีนัก จึงเอามาบิออกดูแล้วถามเจ้าของว่า ขนมนี้ทำด้วยเนื้อคนหรือสุนัข

หญิงนั้นก็หัวเราะบอกว่าจะเอาเนื้อคนที่ไหนมา มีแต่เนื้อโคกระบือดอก ท่านอย่าสงสัยเลย บู๊สงก็ขอให้ผู้คุมถอดคาที่สวมคอตนออกเสีย แล้วชวนกันเสพสุราพูดคุยตามสบาย บู๊สงพูดจาสัพยอกหญิงเจ้าของโรงก็ไม่โต้ตอบ จึงให้เอาสุราอย่างดีมาอีก

หญิงเจ้าของโรงจึงเอาสุราใส่ยาเบื่อมาให้สามชาม แล้วบอกว่าสุรานี้ดีนัก เชิญท่านดื่มดูเถิด พูดแล้วก็หัวเราะเดินห่างออกไป

บู๊สงรู้สึกผิดสังเกตุจึงยังไม่ดื่มสุรา แต่สองผู้คุมได้ดื่มเข้าไปโดยห้ามไม่ทัน จึงแกล้งสั่งให้เอากับแกล้มมาอีก พอเจ้าของโรงหญิงเดินเข้าไปข้างใน บู๊สงก็เทสุราทิ้งเสียยกชามเปล่าขึ้นดื่ม ครั้นเจ้าของโรงเอากับแกล้มมาให้ ก็วางชามลงบอกว่าสุรานี้ดีจริงฉุนเฉียวนัก พอดีผู้คุมมึนเมาหมดสติล้มลงนอนกลิ้งพูดไม่ออก บู๊สงจึงแกล้งทำเป็นฟุบลงกับโต๊ะ

หญิงเจ้าของโรงเตี๊ยมก็ตรงเข้าเก็บเอาห่อสิ่งของทั้งหมดไปเก็บไว้ แล้วเรียกคนใช้ให้หามผู้คุมสองคนไปไว้ในห้อง แล้วก็กลับมาช่วยกันหามบู๊สง แต่บู๊สงแกล้งทำตัวแข็งขืนไว้ พวกนั้นยกไม่ไหว หญิงเจ้าของโรงก็เข้ามาช่วยอุ้ม บู๊สงจึงเอามือกอดไว้ แล้วกดลงกับพื้นดิ้นไม่หลุด ต้องร้องเรียกให้คนช่วย พอดีสามีของหญิงนั้นมาถึงจึงร้องห้ามไม่ให้ทำร้ายภรรยาของตน

บู๊สงเอาเท้าเหยียบหญิงนั้นไว้ สามีของนางจึงถามว่าท่านมาแต่ไหนชื่อแซ่ใด ฝีมือเข้มแข็งนัก บู๊สงก็บอกชื่อแซ่และตำแหน่งเดิมให้รู้ สามีของนางนั้นก็คำนับและขอโทษ บู๊สงจึงปล่อยตัวภรรยา เจ้าของโรงเตี๊ยมก็เชิญเข้าไปนั่งข้างใน บู๊สงก็ถามชื่อแซ่บ้าง เจ้าของโรงเตี๊ยมบอกว่าชื่อ เตียเช็ง ภรรยาชื่อ ซึงยีเหนีย เดิมตนเองเป็นผู้รักษาสวนผักของหลวงจีนที่วัดอยู่ในตำบลอื่น แต่ต่อมาขัดใจกันจึงฆ่าหลวงจีนนั้นเสีย แล้วหนีมาตั้งโรงเตี๊ยมอยู่ที่นี่ เกิดเป็นที่ถูกใจของท่านผู้เฒ่าผู้เดินทางผ่านมา จึงชวนไปสอนเพลงอาวุธให้ แล้วยกบุตรหญิงให้เป็นภรรยา ตัวนางซึงยีเหนียเองก็ได้ฝึกเพลงอาวุธจากบิดา มีฝีมือเข้มแข็งชำนิชำนาญ

อยู่มาจนบิดาภรรยาตาย จึงทำมาหากินอยู่ด้วยกันสองคน ถ้าผู้ใดมาพักอาศัย เห็นมีเงินทองมากก็เอายาเบื่อให้กิน เก็บเอาทรัพย์สินแล้วฆ่าเสีย เอาเนื้อมาทำขนมซาลาเปาขาย เว้นแต่บุคคลสามจำพวกที่ยกเว้น คือหลวงจีน หญิงคนเที่ยวขับร้องหาเลี้ยงชีวิต และผู้ต้องโทษเนรเทศ แต่ภรรยาไม่ค่อยเชื่อฟังมักจะแอบทำอยู่เสมอ เมื่อไม่นานมานี้ มีหลวงจีนองค์หนึ่งถือไม้เท้าเหล็กมาพัก ก็ถูกยาเบื่อ แต่ตนเองห้ามไว้ไม่ให้ฆ่า เมื่อแก้ไขฟื้นขึ้นมา ก็พูดคุยถูกอัธยาศัยจึงสาบานเป็นพี่น้องกัน คือ หลวงจีนลูตีซิม เดี๋ยวนี้ไปอยู่วัดโปจู๊ที่ตำบลเขายีเลงซัวกับเพื่อนชื่อ เอียจี้ ทั้งสองคน ก็มีหนังสือมาชวนให้ไปอยู่ด้วย แต่ยังไม่อยากจะไป

เตียเชงเล่าต่อไปว่า เมื่อวานนี้นางซึงยีเหนียก็แอบฆ่าหลวงจีนเสียอีกรายหนึ่ง มีกระดูกศรีษะคนทั้งร้อยแปดทำเป็นลูกประคำสะพายแล่ง และมีกระบี่ที่ทำด้วยเหล็กอย่างดี เวลากลางคืนมีเสียงดังกริ่ง ๆ อยู่มิขาด แล้วก็เอาของสองสิ่งนั้นมาให้ดู บู๊สงก็ว่าของสองสิ่งนี้ดีหนักหนา เตียเชงก็ว่าภรรยาไม่ควรฆ่าหลวงจีนเลย ถึงบู๊สงก็เช่นเดียวกันไม่ควรจะทำร้าย

ภรรยาก็ว่าเดิมไม่คิดจะ ทำร้าย แต่ฟังพูดผิดหูแทงใจดำ ก็เลยใส่ยาเบื่อให้ดื่ม ครั้งนี้มีความผิดมากอย่าได้ถือโทษเลย

บู๊สงถามถึงผู้คุมทั้งสองที่ถูกหามเอาไปเก็บไว้ เตียเชงก็พาไปดูเห็นนอนสิ้นสติ อยู่ในห้องซึ่งใช้ฆ่าคนทำใส้ขนมซาลาเปา เตียเชงถามว่าเหตุใดจึงต้องเป็นคนโทษเนรเทศมาดังนี้ บู๊สงก็เล่าความเรื่องที่ได้ฆ่าพี่สะใภ้ให้ฟังทุกประการ

เตียเชงจึงว่าถ้าเราฆ่าผู้คุมนี้เสีย แล้วไปอาศัยอยู่กับหลวงจีนลูตีซิม ที่วัดเขายีเลงซัว จะมิสบายหรือ บู๊สงก็ว่า

"....ขอบใจหนักหนา แต่ผู้คุมทั้งสองนี้ก็มิได้ทำสิ่งใดให้เราเจ็บแค้น ครั้นจะฆ่าเสียคนทั้งปวงก็จะเลื่องลือว่า ไม่ใช่ชายชาติทหาร เราจะสู้ทนทุกข์ไปให้สิ้นโทษ ท่านจงเมตตาแก้ไขผู้คุมทั้งสองให้ฟื้นขึ้นเถิด..."

เตียเชงให้คนใช้หามผู้คุมออกมานอกห้อง แล้วเอายากรอกเข้าไป พอยาตกล่วงลำคอ ก็ฟื้นขึ้นมาโดยไม่รู้เรื่องอะไร กลับชมว่าสุรานี้ดีจริงกินเพียงเล็กน้อยก็เมาสิ้นสติ ช่วยกันจำไว้กลับมาจะได้ซื้อกินอีก บู๊สงกับสองสามีภรรยาก็หัวเราะ แล้วเชิญบู๊สงกับผู้คุมทั้งสองกินโต๊ะกันจน ค่ำ จึงพักอาศัยอยู่ที่นั้น

บู๊สงพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมของเตียเชงได้สามสี่วัน ต่างก็ถูกอัธยาศัยเป็นอันมาก จึงได้สาบานเป็นพี่น้องกัน แล้วบู๊สงก็ขอลาเดินทางไปเมืองเม่งจิว นางซึงยีเหนียก็เอาห่อทรัพย์สิ่งของมาคืนให้ เตียเชงก็เอาเงินให้ผู้คุมทั้งสองคนละเล็กน้อย และให้บู๊สงสิบตำลึง บู๊สงก็ใส่คาตามเดิม แล้วก็เดินทางต่อไป

เมื่อผู้คุมนำตัวบู๊สงมาส่งให้เจ้าเมืองเม่งจิวแล้ว ก็รับหนังสือตอบกลับไปเมืองตงเพ็งฮู้ ส่วนบู๊สงถูกนำตัวไปคอยอยู่ที่หน้าคุก เพราะนายใหญ่ยังไม่มา บรรดาคนที่ต้องโทษเก่าบอกว่าผู้คุมที่นี่ดุร้ายนัก จงจัดค่าธรรมเนียมไว้คอยท่า พอมาถึงก็รีบให้เสียก่อน บู๊สงว่ามีเงินติดตัวมาไม่มาก ถ้าผู้คุมพูดดีก็จะให้ ถ้าดุร้ายข่มเหงก็ไม่กลัว

พอผู้คุมมาถึงคนโทษเหล่านั้นก็พากันเลี่ยงไป เหลือบู๊สงนั่งอยู่คนเดียว ผู้คุมก็ถามเสียงดังว่า บู๊สงที่ต้องโทษมาใหม่อยู่ที่ไหน ทำไมไม่จัดค่าธรรมเนียมมาให้ บู๊สงตอบว่า

"....เงินค่าธรรมเนียมนั้นหามีไม่ มีติดตัวมาเล็กน้อยก็ซื้อรับประทานเสียหมดแล้ว ยังเหลืออยู่แต่มือทั้งสองเท่านั้น...."

ผู้คุมได้ฟังก็โกรธด่าว่าบู๊สงด้วยคำหยาบต่าง ๆ แล้วลุกขึ้นเดินไปหานายคุกใหญ่ คนโทษเก่าก็กลับมาบอกว่า ถ้าขัดแข็งเช่นนี้เห็นทีจะไม่พ้นความตายแน่ จงพูดจาอ่อนน้อมยอมเอาเงินค่าธรรมเนียมให้เสียเถิด บู๊สงก็ว่า

"...เงินค่าธรรมเนียมนี่เราไม่ให้ เกิดมาเป็นชายชาติทหาร จะกลัวความตายทำไม ผู้คุมคิดอย่างไรจึงจะให้เราตายได้....."

คนโทษเก่าก็เล่าว่ามีหลายวิธี เช่นใส่เครื่องจองจำครบแล้วให้ผูกเท้าแขวนห้อยหัวลงมาไม่ช้าก็ตาย อีกอย่างหนึ่งก็เอากระสอบใส่ทรายทับหน้าอกไว้ ไม่ทันถึงยามก็ตาย บู๊สงก็ยืนคำว่าไม่กลัวตาย พอดีมีผู้คุมสี่คนมาตามตัวบู๊สงเข้าไปหานายคุกใหญ่

เมื่อผู้สำเร็จราชการคุกเห็นหน้าบู๊สง ก็สั่งให้ทหารเฆี่ยนร้อยหนึ่ง แล้ว เอาตัวไปจำคุกไว้ บู๊สงก็ว่า

".....เราไม่กลัวดอก จะนอนให้เฆี่ยนโดยดี ถ้าร้องจนคำหนึ่งก็มิใช่ชายชาติทหาร...."

ขณะนั้นผู้ช่วยนายคุกใหญ่เห็นว่าบู๊สงเป็นคนกล้าหาญใจเข้มแข็ง คิดอยากจะเอาไว้เป็นพวกพ้อง จึงกระซิบกับผู้สำเร็จราชการคุก ขอร้องให้งดเฆี่ยนไว้ก่อน แต่เมื่อนายคุกใหญ่ถามเป็นทีว่า เดินทางมาเจ็บป่วยเป็นอะไรบ้างหรือเปล่า บู๊สงกลับตอบว่าไม่ได้เจ็บป่วยเป็นอะไรดอก จะเฆี่ยนตีประการใดก็เชิญเถิด นายคุกใหญ่ได้ฟังก็หัวเราะ ร้องสั่งแก่ทหารว่า

"...บู๊สงนี้เดินทางมา คงจะถูกสิ่งใดกระทำเอา จึงพูดจากล้าหาญนัก จงเอาตัวไปขังเสียก่อนเถิด หายดีแล้วจึงทำโทษ..."

ทหารจึงพาบู๊สงมาส่งให้ผู้คุมคนเดิม ผู้คุมก็แค้นนักที่บู๊สงไม่ถูกทำโทษ แต่ก็ขัดขืนคำสั่งของนายใหญ่ไม่ได้ ต้องรับเอาไว้

นักโทษทั้งหลายก็สงสัยว่าบู๊สงคงจะมีหนังสือของใคร ฝากฝังมาเป็นแน่ จึงสามารถท้าทายอำนาจนายคุกใหญ่ได้ บู๊สงว่าไม่มีแต่ใจไม่นึกกลัวเลย จะเป็นจะตายประการใดก็ตามแต่บุญกรรมเถิด

เมื่อบู๊สงเข้าห้องขังในคุกแล้ว ก็มีคนเอาอาหารอย่างดีและสุรามาให้กิน พอจวนค่ำมีคนหาบน้ำมาให้อาบ และจัดปูที่นอนกางมุ้งให้เสร็จ บู๊สงก็นอนหลับสบายไปโดยไม่มีใครมาทำร้าย

พอเช้าวันต่อมาก็มีคนปฎิบัติเช่นนั้นอีก บู๊สงมีความสงสัยจึงถามว่า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่